เมืองเทียนลั้วนั้นตั้งอยู่ใจกลางของอาณาจักรเสวี่ยเยว่ นิกายใหญ่ที่อยู่ใกล้ที่สุดก็คือนิกายเฮ่าเยว่ ถัดมาคือหมู่บ้านเสวี่ยอิงซานที่อยู่ทางตอนใต้ ดังนั้นมักจะเป็คนของนิกายเฮ่าเยว่และหมู่บ้านเสวี่ยอิงซานที่มาเมืองเทียนลั้ว
ในเมืองเทียนลั้วมักจะมีสิ่งที่พวกเขา้า และพวกเขาก็นิยมค้างแรมอยู่ที่นี่กัน
เมื่อปีก่อน ลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ได้ถูกสถาปนาขึ้น แล้วนิกายหยุนไห่ก็ถูกทำลายลง ในขณะเดียวกันนิกายเฮ่าเยว่และหมู่บ้านเสวี่ยอิงซานก็ยังถูกเลือกศิษย์ที่ยอดเยี่ยมให้เข้าร่วมลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ แต่ความก้าวหน้าในระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา นิกายใหญ่ๆ นั้นต่างเกิดศิษย์ใหม่ที่ยอดเยี่ยมขึ้นมาอีกครั้ง
ดังเช่นเจียงซานที่เป็ศิษย์อันดับหนึ่งของนิกายเฮ่าเยว่ รวมถึงเหลิ่งเยว่ที่เป็อันดับสอง และยังมีปิงหยวนจากหมู่บ้านเสวี่ยอิงซาน คนเหล่านี้ต่างเป็ศิษย์ที่มีชื่อเสียงอย่างมาก
โดยเฉพาะเหลิ่งเยว่นั้นเจิดจรัสมากที่สุดในสามคนนี้ เหลิ่งเยว่เป็ผู้มีทักษะมีดที่เก่งกาจ หากใบมีดของเขาทิ่มแทงเข้าไปแล้วนั่นหมายถึงความตาย ซึ่งมีน้อยคนนักที่เขาจะใช้ใบมีดเป็ครั้งที่สอง แม้แต่คู่ต่อสู้ส่วนใหญ่ที่เขาได้เจอก็เช่นเดียวกัน
ใบมีดของคุณชายเตาถือว่าสมบูรณ์แบบ ว่ากันว่าตอนที่เขาอยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 3 เขาก็บรรลุถึงอำนาจมีด เมื่ออยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 6 ก็บรรลุการผสานอำนาจ ตอนนี้คุณชายเตาได้ทะลวงถึงขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 8 แต่เนื่องจากเขาบรรลุขอบเขตมีด แม้แต่ผู้ที่อยู่ระดับขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 9 ก็ยังไม่อยากเป็ศัตรูกับเขานัก
ใบมีดของเหลิ่งเยว่นั้น หากได้ปรากฏแล้วก็จะมีคนตายทันที ดังนั้นเพียงระยะเวลาแค่ครึ่งปี เหลิ่งเยว่ก็ได้รับการยกย่องให้เป็ ‘คุณชาย’
ทุกคนต่างรู้จักแปดคุณชายแห่งเสวี่ยเยว่ และเหลิ่งเยว่ที่ถูกเรียกว่าคุณชายเตา ไม่แน่ว่าในอนาคตเขาอาจได้เป็หนึ่งในแปดคุณชายแห่งเสวี่ยเยว่ก็เป็ได้
ภัตตาคารเทียนซานในเมืองเทียนลั้ว เป็จุดนัดพบยอดนิยมที่ใครๆ ต่างก็แวะเวียนมา
ภัตตาคารเทียนซานเป็ที่รู้จักกันดีในเมืองเทียนลั้ว ที่แห่งนี้สามารถได้รับข่าวสารที่เร็วและใหม่ที่สุด หลายๆ คนจึงชอบมาที่นี่
ในขณะนั้นเองร่างเงาร่างหนึ่งก็เข้ามาในภัตตาคาร เมื่อผู้คนเห็นผู้ที่มาเยือนแล้ว พวกเขาก็เงียบเสียงโดยมิได้นัดหมาย
“เจตจำนงมีด!”
“ช่างเป็เจตจำนงมีดที่เยือกเย็นนัก!”
ฝูงชนต่างประหลาดใจและจ้องมองคนที่เพิ่งมาถึง ดูจากภายนอกแล้วเขาดูคล้ายกับชายหนุ่มธรรมดา
ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ได้แต่งตัวหรูหราและไม่ค่อยมีอะไรโดดเด่น แต่มีดที่เขาแบกอยู่ด้านหลังนั้นดูเก่าแก่จนมีสนิมเกาะ ไม่มีใครรู้ว่ามีดเล่มนี้ถูกใช้งานมานานแค่ไหน
ทว่าชายหนุ่มที่ดูธรรมดาๆ ผู้นี้ ทันทีที่เขาเดินเข้ามาในภัตตาคาร ทุกคนต่างสงบวาจาไปตามๆ กัน เพราะชายหนุ่มผู้นี้มีเจตจำนงมีดที่รุนแรงราวกับจะปะทุได้ทุกเมื่อ นี่แหละคือใบมีดที่แท้จริง ใบมีด... ที่สังหารผู้คน
เมื่อเห็นชายหนุ่มผู้นี้แล้ว ผู้คนต่างรู้สึกว่าเขานั้นราวกับใบมีดที่คมปลาบ!
หลังจากชายหนุ่มเดินเข้ามาก็ปรายตามองฝูงชนอย่างเ็า หลายๆ คนรู้สึกได้ถึงใบมีดที่ทิ่มแทงเข้ามา พวกเขาไม่กล้าสบตาชายหนุ่มผู้นี้ จึงหันไปมองทางอื่นแทน
แตในขณะนั้น ชายหนุ่มเ้าของเจตจำนงมีดที่แข็งแกร่งก็ชะงักฝีเท้าเมื่อเห็นคนคนหนึ่ง คนผู้นี้สวมหน้ากากทองแดงและมีกลิ่นอายที่น่าสะพรึง... เป็กลิ่นอายของมีด
คนคนนี้ก็เป็มือมีดเช่นเดียวกับเขา
อย่างไรก็ตาม ใบมีดของคนคนนี้เป็ใบมีดที่รุนแรงและแหลมคมอย่างมาก
มุมปากของเขาพลันปรากฏรอยยิ้มเสียดสี จากนั้นชายหนุ่มก็กวาดสายตามองหาที่นั่ง เพราะว่าั้แ่เขาเข้ามา ภัตตาคารแห่งนี้ก็ถูกปกคลุมไปด้วยบรรยากาศที่ตึงเครียด
“ป้าเตา เป็ยังไงบ้าง?”
ขณะที่หลินเฟิงนั่งอยู่ชั้นสอง เขาก็หันไปถามป้าเตาอย่างแ่เบา
“แข็งแกร่งมาก ข้าไม่อาจเป็คู่ต่อสู้ของเขาได้เลย”
ป้าเตาตอบด้วยเสียงแ่เบาและกล่าวต่อว่า “การบ่มเพาะของเขาอยู่ในระดับขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 8!”
“อืม”
หลินเฟิงพยักหน้าเล็กน้อย แน่นอนว่าเขารู้ถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 8 และยังมีเจตจำนงมีดที่ทรงอำนาจ คนคนนี้น่าจะบรรลุขอบเขตการผสานแล้ว
เขาทำให้ทุกคนรู้สึกได้ถึงเจตจำนงมีดอันแข็งแกร่งที่ปลดปล่อยออกมาจากตัวของเขาได้ ทว่ากลับยังไม่ได้ปลดปล่อยออกมาทั้งหมด นอกจากนี้มันง่ายมากที่จะทำเช่นนี้ เหมือนกับเขาไม่จำเป็ต้องควบคุมมันแล้วปล่อยไปตามธรรมชาติ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงขอบเขตการผสาน มันทั้งเล็ก ละเอียดอ่อนและเป็ไปตามเจตนารมณ์
ประกอบกับความแข็งแกร่งของขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 8 ของอีกฝ่าย แม้แต่ผู้ที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 9 ก็ยังสามารถสังหารได้ นอกจากนี้คนผู้นั้นก็ยังเยาว์วัยนัก
“แต่เขาหยิ่งผยองเกินไป ทำให้เขาไม่อาจเทียบเคียงกับท่านได้เลย” ป้าเตากล่าวเช่นนี้ ซึ่งเรียกรอยยิ้มจากหลินเฟิงได้เป็อย่างดี
“คุยโวอย่างไม่รู้สึกละอายใจเลยนะ”
ในขณะนั้นพลันเกิดน้ำเสียงถากถางดังขึ้นขัดจังหวะพวกเขา ซึ่งเสียงดังกล่าวมาจากโต๊ะข้างๆ หลินเฟิง โต๊ะนั้นมีกันอยู่สี่คนเป็ผู้ชายสองคน และผู้หญิงอีกสองคน
หนึ่งในหญิงสาวมองมาที่หลินเฟิงและป้าเตา แล้วกล่าวเยาะเย้ยว่า “ช่างโอหังและไร้ยางอายนัก ศิษย์พี่เหลิ่งเยว่คือศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในนิกายเฮ่าเยว่ ถูกยกย่องเป็คุณชายเตา ในอนาคตจะเป็ดั่งคุณชายต้าเผิง และเป็หนึ่งในแปดคุณชายแห่งเสวี่ยเยว่ อย่างพวกเ้าไม่มีทางเทียบศิษย์พี่ได้แม้แต่ส่วนเสี้ยว... หึ”
ทั้งสี่คนต่างพูดจาอย่างเย่อหยิ่งและดูแคลนผู้อื่น เมื่อได้ยินคำพูดของพวกเขาก็รู้ได้เลยว่าเป็ศิษย์ของนิกายเฮ่าเยว่ มิหนำซ้ำยังภาคภูมิใจในตัวคุณชายต้าเผิงและคุณชายเตา
“คุณชายเตา? ช่างเป็ชื่อที่เย่อหยิ่งเสียจริง” ป้าเตากล่าวเสียงแ่เบา จากนั้นก็พูดต่อว่า “ไม่เห็นจะรู้จัก”
“ตูม!” มีเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้น และราวระเบียงที่อยู่ข้างๆ โต๊ะหลินเฟิงก็แตกกระจาย เหมือนกับถูกตัดด้วยใบมีดที่แหลมคม
หลินเฟิงหันไปและมองไปยังชั้นแรก จึงเห็นคุณชายเตาที่นั่งดื่มเหล้าเงียบๆ อยู่ตรงนั้น จากนั้นเขาก็วางแก้วลง แล้วน้ำเสียงที่เ็าก็ออกมาจากปากของเขาในทันที
“ครั้งต่อไป จงระวังคำพูดให้ดี”
น้ำเสียงที่นิ่งสงบ กลับไม่สามารถซ่อนความเย่อหยิ่งได้เลยแม้แต่น้อย
“สมแล้วที่เป็ถึงคุณชายเตา ช่างร้ายกาจยิ่งนัก แม้แต่ใบมีดของเขาเมื่อครู่ ข้าก็ยังไม่เห็น”
บางคนกำลังพึมพำขณะที่สาวๆ ต่างกำลังมองไปที่เหลิ่งเยว่ด้วยดวงตาเป็ประกาย ผู้ชายที่น่าเกรงขามเช่นนี้หากได้แต่งงานด้วยล่ะก็ มันต้องเป็เื่ที่ดีมากแน่ๆ
ป้าเตาลุกขึ้นขณะปลดปล่อยลมปราณที่น่าหวาดกลัวออกมา
“นั่งลง!”
หลินเฟิงกล่าวอย่างเ็า ทำให้ป้าเตาประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ยอมนั่งลงอย่างว่าง่าย ทั้งที่ดวงตาภายใต้หน้ากากกลับกลายเป็เยือกเย็นยิ่งขึ้น
“ดื่มเถอะ” หลินเฟิงกล่าวอย่างสงบ ป้าเตาจึงหยิบแก้วและดื่มสุราในทันที แม้ว่าเขาจะเป็ทาส แต่หลินเฟิงก็มอบอิสรภาพให้กับเขา ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงเต็มไปด้วยความก้าวร้าวและดุดันอยู่
“เ้าคนไร้ความสามารถ!”
มีเสียงเยาะเย้ยเสียงหนึ่งดังมาจากด้านข้าง ทำให้ดวงตาของป้าเตาต้องแข็งกร้าวอีกครั้ง ทว่าหลินเฟิงและเมิ่งฉิงกลับยังนิ่งสงบ ไม่มีแม้แต่คลื่นอารมณ์ใดๆ ราวกับเื่พวกนี้ล้วนไม่อยู่ในสายตาพวกเขา
“นิกายเฮ่าเยว่ คุณชายเตา!”
หลินเฟิงพึมพำขณะหัวเราะเบาๆ เป็เวลาเกือบครึ่งปีแล้วที่เขาไม่ได้ไปไหนเลย เห็นได้ชัดว่าโลกภายนอกได้มีหลายอย่างที่เปลี่ยนไป
ครึ่งปีที่ผ่านมา เขาฝึกฝนเสี้ยวิญญา์ที่ตำหนักเ้าเมืองมาโดยตลอด และยังศึกษาการเล่นแร่แปรธาตุและทักษะยุทธ์ ทว่ายิ่งเขาศึกษามากเท่าไร เขาก็ยิ่งพบข้อบกพร่องในตัวเองมากยิ่งขึ้น สิ่งที่เขาต้องพัฒนาอีกนั้นมันมีมากเกินไป
หลินเฟิงไม่คิดว่าเขาจะอยู่ในอาณาจักรเล็กๆ อย่างอาณาจักรเสวี่ยเยว่ตลอดไป ในความทรงจำของบรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่นั้น ด้วยพลังของเขาเพียงแค่ขยับมือเล็กน้อยก็สามารถพลิก์และปฐีได้อย่างง่ายดาย