พระราชวังต้องห้ามในคืนนี้ปกคลุมไปด้วยความระส่ำระสาย นางสนมทุกคนยืนมองเหยียนอู๋อวี้ที่สวมเพียงอาภรณ์บางๆ คุกเข่าอยู่บนพื้นในตำหนักเฟิ่งชัยด้วยความรู้สึกที่ทั้งตื่นตระหนก ทั้งเยาะเย้ยและกระวนกระวายใจ
แน่นอนว่าในการเยาะเย้ยย่อมมีความรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น ฮ่องเต้โปรดปรานนาง ทว่ากลับหมดสติบนร่างของนาง เรียกได้ว่ามิใช่เพียงแค่เป็เื่แสลงหู หากแต่ยังถูกสงสัยเื่การลอบปลงพระชนม์อีกด้วย
ส่วนความรู้สึกกระวนกระวายใจและความรู้สึกตื่นตระหนกที่เหลือนั้น ย่อมเป็เพราะกังวลเื่อาการประชวรของซ่งอี้เฉินและหวาดกลัวต่อชะตากรรมในอนาคตของตนเอง
หากซ่งอี้เฉินตจริง ในชีวิตนี้พวกเขาคงไม่มีความหวังแล้ว
เมื่อคิดถึงเื่เหล่านี้ ความตื่นตระหนกและความกระวนกระวายใจแปรเปลี่ยนเป็ความโกรธเคืองที่พุ่งเป้าไปยังเหยียนอู๋อวี้ บางครั้งความโปรดปรานของโอรส์ต้องใช้วิธีการบางอย่างเพื่อเพิ่มความสนุกสนาน ยามนี้เกิดเื่เช่นนี้ขึ้น ต้องเป็เพราะนางเห็นฝ่าาโปรดปรานอู๋เจาหรง ทำให้นางใช้วิธีการบางอย่างล่อลวงฝ่าา กลับกลายเป็ว่านางใช้มากเกินไป
เหยียนฉายเหรินผู้นี้สมควรตายยิ่งนัก!
ไทเฮานั่งมองเหยียนอู๋อวี้อยู่บนเก้าอี้ด้วยสายตาที่อยากจะฉีกร่างนางเป็ชิ้นๆ
ซ่งอี้เฉินเป็โอรสของนาง แม้ความสัมพันธ์ระหว่างมารดากับบุตรจะมีความขัดแย้งกันบ้าง ทว่านางคิดเสมอว่าวันหนึ่งซ่งอี้เฉินจะเข้าใจความมุมานะในการปกครองชาติบ้านเมืองของตนเอง นางเรียนรู้จากอดีตฮ่องเต้มามากมายและคิดว่าตนเองมีความสามารถมากกว่าบุตรชายอยู่บ้าง นางจึงยึดไว้ให้มั่น รอจนกระทั่งบุตรชายปีกกล้าขาแข็งแล้วนางจะคืนอำนาจให้ซ่งอี้เฉินอย่างแน่นอน
เพียงแต่น่าเสียดายที่พระโอรสรีบร้อนเกินไป หากเขาเชื่อฟังนางโดยการผูกมิตรกับตระกูลอวิ๋นก่อนแล้วค่อยกำจัดตระกูลอวิ๋นให้สิ้นซาก เื่ก็คงไม่ยุ่งยากอย่างเช่นตอนนี้
ไทเฮายังหวังว่าซ่งอี้เฉินจะสามารถให้กำเนิดโอรสัได้ในเร็ววันเพื่อสืบสายเืราชวงศ์ตระกูลซ่งต่อไป ไม่คาดคิดว่านางจะได้พบเห็นสถานการณ์ในปัจจุบัน
หมดสติคาร่างสตรีเช่นนี้จะไปแบกภาระอันยิ่งใหญ่ของใต้หล้าได้อย่างไร!
ความคิดนี้เพียงแค่ปรากฏขึ้นมาในสมองชั่วครู่เท่านั้น เวลานี้ไทเฮาเป็กังวลเื่อาการประชวรของซ่งอี้เฉินมากกว่า
ซางจือิเข้าไปนานแล้ว ทว่ายังไม่ออกมาเสียที ไทเฮาวิตกกังวลเสียจนควบคุมความเดือดดาลไว้ไม่อยู่อีกต่อไป!
“บอกมาว่าเ้าถวายยาอันใดให้ฝ่าา?!” ไทเฮากัดฟันตรัสประโยคนี้ออกมา ตอนนี้นางอยากจะปะาเหยียนอู๋อวี้ที่ตัวสั่นเทาอยู่บนพื้นจนแทบทนไม่ไหว
เหยียนอู๋อวี้เองก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน
เมื่อครู่หลังพบว่าซ่งอี้เฉินหมดสติ นางก็สั่งให้คนไปตามหมอหลวงทันที เว่ยหรูไห่วิ่งว่องไว เขารีบรายงานเื่นี้ให้ไทเฮาทราบทันที ไม่นานก็แพร่สะพัดไปทั่ววังหลวง
หัวหน้าหมอหลวงมาวินิจฉัยพระอาการ ทว่ากลับหาสาเหตุไม่พบ เขาลองใช้หลายวิธีแล้วซ่งอี้เฉินกลับยังคงหมดสติไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมาเลย
ในเวลานี้ไทเฮาเสด็จมาถึงแล้ว เมื่อได้ยินข่าวนางพลันตบหน้าเหยียนอู๋อวี้แล้วสั่งให้คนรีบไปเชิญซางจือิทันที
ปลอกเล็บยาวขูดบนใบหน้าอ่อนช้อยของเหยียนอู๋อวี้ พริบตาเดียวโลหิตสีสดพลันซึมออกมา โชคดีที่ป้าโฉ่วก้าวไปข้างหน้าและแอบทายาห้ามเืได้ทันเวลา ทว่ายามนี้ใบหน้านางยังคงมีคราบเือยู่จึงดูน่ากลัวอย่างยิ่ง
เหยียนอู๋อวี้หมอบอยู่บนพื้นพลางกำหมัดแน่น นางคิดอยู่นาน ทว่าสุดท้ายก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดซ่งอี้เฉินจึงหมดสติ จนกระทั่งอู๋เจาหรงปรากฏตัว นางพลันเกิดลางสังหรณ์ในใจ เกรงว่าอาจเกี่ยวข้องกับอู๋เจาหรง
ทว่านางต้องพูดอย่างไรไทเฮาจึงจะเชื่อนาง?
“ทูลไทเฮา หลังจากฝ่าาเสด็จมาตำหนักเฟิ่งชัย แม้แต่น้ำสักหยดก็มิได้เสวยเพคะ หม่อมฉันไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดพระองค์จึงหมดสติ” ภายในน้ำเสียงของเหยียนอู๋อวี้มีอาการสะอึกสะอื้นปนหวาดกลัวแบบพอเหมาะพอควร ราวกับกำลังตื่นตระหนก
ไทเฮาตบโต๊ะอย่างแรงพลางตะคอกใส่ “ยังกล้าเล่นลิ้นอีก! มิได้ถวายยาให้ฝ่าาเสวยแล้วฝ่าาจะหมดสติไปตอนพวกเ้ากำลังมีสัมพันธ์สวาทได้อย่างไร?”
เหยียนอู๋อวี้สะอึกสะอื้น “ไทเฮาโปรดตรวจสอบให้ชัดเจน ฝ่าายังมิได้ถอดอาภรณ์ จุดนี้หัวหน้าหมอหลวงเป็พยานให้หม่อมฉันได้เพคะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้แววตาไทเฮาจึงเต็มไปด้วยความสงสัย นางตรัสเสียงเ็า “เ้ามิได้ทำอันใดแล้วฝ่าาจะเกิดเื่ได้อย่างไร!”
“ทูลไทเฮา ฝ่าามิได้เสด็จมาตำหนักเฟิ่งชัยหลายวันแล้ว พระองค์ค้างอยู่กับพี่หญิงเจาหรงมาตลอด คืนนี้เพิ่งมาเยี่ยมหม่อมฉันอย่างกะทันหัน หม่อมฉันเองก็ไม่คาดคิดเช่นกัน แม้กระทั่งเตรียมต้อนรับสักนิดก็มิได้ทำ ฝ่าาตรัสกับหม่อมฉันอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ลากหม่อมฉันไปทำ...…ฝ่าาเสด็จมาตำหนักเฟิ่งชัยได้ไม่ถึงหนึ่งก้านธูป หม่อมฉันมิได้ทำอันใดจริงๆ เพคะ ไทเฮาโปรดตรวจสอบให้ชัดเจนด้วยเพคะ!” เหยียนอู๋อวี้เอ่ยสะเปะสะปะแก้ต่างให้ตนเอง ทว่าแอบดึงความสงสัยไปที่อู๋เจาหรงอย่างมีชั้นเชิง
แม้ไทเฮาไม่รู้ความคิดของเหยียนอู๋อวี้ ทว่าพระนางก็พบปัญหาในคำพูดของนางทันที สายตาจึงพุ่งไปยังอู๋เจาหรง พบว่าอู๋เจาหรงที่สวมชุดฤดูใบไม้ผลิสีชมพูกำลังยืนตรงอย่างสง่างามราวกับดอกท้อล้อสายลม เมื่อได้ยินเหยียนอู๋อวี้กล่าวถึงตนเอง อู๋เจาหรงพลันสีหน้าเปลี่ยนและแก้ต่างให้ตนเองทันที “เหยียนฉายเหริน เ้ากล้ากล่าวหาคนสุ่มสี่สุ่มห้าได้อย่างไร! ฝ่าาเกิดเื่ในสถานที่ของเ้าชัดเจน คิดไม่ถึงว่าเ้าจะโยนความผิดปัดความรับผิดชอบมาให้ข้า!” อู๋เจาหรงหมุนกายไปกราบทูลกับไทเฮา “ไทเฮา ่นี้ฝ่าาทรงเสด็จมาอยู่กับหม่อมฉันมากสักหน่อย ทว่าหม่อมฉันปรนนิบัติฝ่าาเป็อย่างดี ไม่กล้าทำผิดพลาด ไฉนพอไปถึงตำหนักเฟิ่งชัย ฝ่าาจึงเกิดเื่! เหยียนฉายเหรินไม่พ้นต้องเกี่ยวข้องกับเื่นี้แน่นอนเพคะ! ไทเฮาทรงตรวจสอบการเดินทางในคืนนี้ของฝ่าาดูเพคะ ดูว่าพระองค์ไปที่ใด เสวยอันใดบ้าง ไม่แน่ว่าอาจเกี่ยวข้องกับที่อื่นก็เป็ได้เพคะ!”
ไทเฮาเผยสีหน้ารังเกียจออกมา แม่นมซูที่อยู่ด้านข้างตะคอกเสียงต่ำ “บัดซบ ก่อนฝ่าาไปตำหนักเฟิ่งชัย พระองค์ทรงอยู่เสวยเป็เพื่อนไทเฮาในตำหนักอี้คุนตลอด จะไปเสวยของผิดมาจากที่ใดได้อีก!”
“ไทเฮา หม่อมฉันมิได้หมายความเช่นนั้นเพคะ ไทเฮาไม่มีทางทำร้ายฝ่าาอย่างแน่นอน!” อู๋เจาหรงรีบแก้ตัวอย่างร้อนรน “หากไม่ใช่ของเสวย เช่นนั้น…...เช่นนั้นเครื่องหอมที่จุดในตำหนักเฟิ่งชัยเล่า ยังมีสิ่งอื่นที่ล้วนเป็ไปได้ทั้งสิ้นเพคะ!”
เหยียนอู๋อวี้ตอบกลับทันที “คืนนี้หม่อมฉันมิได้จุดเครื่องหอม ไทเฮาสั่งให้คนเข้าไปตรวจดูในห้องได้เลยเพคะ”
“ฮึ ข้าเพียงเปรียบเปรยก็เท่านั้น” อู๋เจาหรงเปลี่ยนคำพูดทันที “ผู้ใดจะรู้ว่าเ้าคิดอยากบิดเบือน แอบเอาเครื่องหอมนั่นไปกำจัดแล้วกระมัง!”
เหยียนอู๋อวี้น้ำตาไหลรินเต็มใบหน้าสวย ทุกคนมองนางด้วยสายตาเ็า ทว่าไม่มีผู้ใดเปิดปากเอ่ย ขณะที่เหยียนอู๋อวี้กำลังคิดว่าทุกคนเตรียมแสร้งทำเป็ไม่รู้ไม่ชี้ จู่ๆ เต๋อเฟยกลับอ้าปากเอ่ยขึ้น “ทูลไทเฮา ที่อู๋เจาหรงเอ่ยอาจไม่เป็ความจริง เกรงว่ายังต้องไปตรวจค้นตำหนักเฟิ่งชัยดูสักรอบเพคะ”
ไม่คาดคิดว่าฮวารั่วซีจะส่งเสียงคัดค้าน “ทูลไทเฮา หม่อมฉันคิดว่าแม้เวลานี้เหยียนฉายเหรินหนีไม่พ้นความเกี่ยวข้อง ทว่าอู๋เจาหรงก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเื่นี้เช่นกันเพคะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้อู๋เจาหรงจึงกระชากเสียงดังด้วยความโกรธเกรี้ยว “ซูเฟย ท่านกำลังพูดเหลวไหลอันใด!”
ฮวารั่วซีก้าวไปข้างหน้าแล้วคำนับไทเฮา จากนั้นจึงหมุนกายกลับมาเอ่ยกับอู๋เจาหรงด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลไพเราะเสนาะหู ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความกังวล “ตอนเยาว์วัยฝ่าาสุขภาพมิค่อยดีนัก เป็ไทเฮาปกป้องเลี้ยงดูพระองค์จนเติบใหญ่ เมื่อก่อนหกตำหนักรับใช้ฝ่าา ทุกคนต่างยึดถือคำสี่คำที่ว่าทำเพียงพอเหมาะ ไม่กล้าทำสิ่งใดเกินเลย ทว่าหลายวันมานี้ขณะอยู่ตำหนักน้องหญิง กลับได้ยินขันทีพูดกันว่า คล้ายน้องหญิงจะลืมกฎเกณฑ์เมื่อก่อนไปแล้ว”
อู๋เจาหรงได้ยินคำพูดนี้ ใบหน้าพลันแดงขึ้นเล็กน้อย นางกล่าวเสียงแ่เบา “กล่าวว่าเป็ความผิดของหม่อมฉันได้อย่างไร ฝ่าา้าโปรดปรานหม่อมฉัน หม่อมฉันไร้เรี่ยวแรงยับยั้งเพคะ”
“ปัง!” ไทเฮาตบฝ่ามือลงบนโต๊ะอย่างรุนแรง ปลอกเล็บกระเด็นไปพร้อมกับถ้วยชาที่กลิ้งลงไปแตกบนพื้น