บนเส้นทางชนบทสายเล็ก ชายหนุ่มขี่จักรยานสองแปดเก่าคร่ำครึ โดยมีภรรยาตัวน้อยนั่งซ้อนท้าย
เวลานี้เป็่เลิกงานจากไร่นา ผู้คนต่างเดินสวนกันไปมา บ้างก็ทักทายพวกเขาด้วยรอยยิ้ม “จือจือ นี่เธอกับเขยใหม่กำลังกลับบ้านเหรอ?”
ทุกครั้งที่ได้ยินคำทักทายแบบนี้ สวี่จือจือก็จะตอบรับด้วยน้ำเสียงหวานชื่น
เมื่อไม่มีคน ชายหนุ่มก็ปั่นจักรยานไปข้างหน้า ส่วนเด็กสาวก็นั่งซ้อนท้ายอย่างเงียบๆ บรรยากาศดูอึมครึมเล็กน้อย
เมื่อผ่านคันดินริมแม่น้ำระหว่างสองหมู่บ้าน สวี่จือจือก็ทนไม่ไหวจึงะโลงจากรถ
ชายหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าไม่ได้ลงจากรถ เขาเพียงใช้เท้าหนึ่งยันพื้นเพื่อหยุดรถแล้วหันไปมองเธอ “เป็อะไรไป?”
เป็อะไรไปงั้นเหรอ?! สวี่จือจืออยากจะหัวเราะ
หวังซิ่วหลิงเป็คนเสียงดังอยู่แล้ว ยิ่งตอนที่พูดประโยคนั้น อีกฝ่ายะโออกมาเสียด้วยซ้ำ ลู่จิ่งซานที่ยืนอยู่หน้าประตูต้องได้ยินแน่ๆ
“พวกเรามาคุยกันหน่อยเถอะ” เธอพูด
ชายหนุ่มมองเธอด้วยความสงสัย “คุยอะไร?”
สวี่จือจือถึงกับพูดไม่ออก
“ในใจฉันไม่มีใคร” เธอพูดอย่างเฉยเมย
ชาติก่อน เธอเป็เพียงนักศึกษาที่เพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยได้ไม่นาน โสดสนิท ส่วนเ้าของร่างเดิมก็เป็เหมือนคนเงียบๆ ที่เอาแต่ทำงานบ้านอย่างหนักเหมือนวัวแก่ตัวหนึ่ง จะมีใครอยู่ในใจได้ยังไง?
“อืม เข้าใจแล้ว” ชายหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เสียงทุ้มต่ำของเขาจะดังขึ้น
แค่นี้เองเหรอ?
สวี่จือจืออดไม่ได้ที่จะมองเขา ชายหนุ่มก็มองเธอด้วยดวงตาคมกริบ จากนั้นก็ลงจากรถ
“คุณ...จะทำอะไร?” สวี่จือจือมองเขาด้วยความระแวดระวัง
“คุณทำได้ดีมาก” ลู่จิ่งซานจูงรถ มองเธอด้วยรอยยิ้ม
อะไร?
“เื่ลูก” ลู่จิ่งซานมองเธอด้วยรอยยิ้มบางๆ “ไม่ต้องห่วง เมื่อเรามีลูกแล้ว ผมจะไม่ให้ลูกต้องลำบากแน่นอน”
เดิมทีเขาคิดว่าสวี่จือจือจะยอมยกลูกของพวกเขาให้สวี่เจวียนเจวียน ถึงแม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะยังไม่ได้เข้าหอกันก็ตาม แต่ไม่คิดเลยว่าภรรยาตัวน้อยของเขาจะไม่เหมือนกับข่าวลือที่ได้ยินมาเลย ไม่ต้องให้เขาแสดงท่าทีอะไร เธอก็ปฏิเสธอย่างหนักแน่นแล้ว
สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น จากการได้ใกล้ชิดกับเธอใน่สองวันที่ผ่านมา ลู่จิ่งซานรู้สึกว่าภรรยาตัวน้อยคนนี้แตกต่างจากผู้หญิงในหมู่บ้านอย่างสิ้นเชิง
เดิมทีเขาแต่งงานด้วยความรู้สึกรับผิดชอบ แต่ตอนนี้กลับเริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ไม่รู้ว่าในวันข้างหน้า เธอจะสร้างความประหลาดใจอะไรให้เขาอีก?
ขณะที่เขายังคงยิ้มอยู่ ก็ได้ยินเสียงหวานนุ่มของสวี่จือจือ “ลู่จิ่งซาน คุณฟังฉันนะ พวกเรา...อย่างน้อยก็ลองทำความรู้จักกันก่อน แล้วค่อยไปขั้นตอนถัดไปได้ไหม?”
“ฉันรู้ว่าฉันพูดแบบนี้ คุณอาจจะไม่เข้าใจ แต่ว่า...” สวี่จือจือพูดด้วยความกระวนกระวาย “การคบหาดูใจโดยไม่มีความตั้งใจจะแต่งงานคือพวกหวังฟัน ดังนั้นการแต่งงานก็ต้องเริ่มจากการคบกันก่อนสิ?”
เมื่อพูดถึงตรงนี้เธอก็ก้มหน้าลง มือกำชายเสื้อของตัวเองไว้แน่นด้วยความประหม่า เสียงของเธอก็เบาลงเรื่อยๆ “เราจะทำอะไรกันโดยที่ไม่รู้จักกันเลย นอกจากชื่อของอีกฝ่ายไม่ได้หรอกใช่ไหม?”
เธอไม่สามารถร่วมเตียงกับผู้ชายแปลกหน้าได้จริงๆ
ลู่จิ่งซานเงียบไปครู่หนึ่ง มองมือเล็กๆ หยาบกร้านของเธอที่กำลังกำชายเสื้อของตัวเองไว้แน่น แล้วรู้สึกแปลกใจ
“คำพูดพวกนี้ คุณไปฟังใครมา?” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มกังวาน
สวี่จือจือร้องอ๊ะทีหนึ่ง แล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาก็ต้องชะงักไป
“เอ่อ...” ดวงตาของเธอเริ่มกลอกไปมา มือก็จับเส้นผมที่แห้งเสียของตัวเอง “ลืมไปแล้วว่าฟังมาจากใคร”
ในใจยิ่งประหม่า ลู่จิ่งซานคงจะดูออกแล้วใช่ไหม?
กำลังคิดว่าจะหาเหตุผลอะไรมาแก้ตัวดี ก็ได้ยินเสียงของชายหนุ่มดังขึ้น “ต่อไปอย่าพูดคำพวกนี้อีก” แล้วก็พูดต่อ “หนึ่งปี? หรือสองปี?”
สวี่จือจือมองเขาด้วยความงุนงง
“คุณไม่ได้บอกเหรอว่าจะทำความรู้จักกัน?” ลู่จิ่งซานมองดวงตาใสแจ๋วของเธอ แล้วรู้สึกเขินขึ้นมา จึงลูบจมูกตัวเองแล้วพูด
“อืมๆ” สวี่จือจือพยักหน้าอย่างดีใจ “สองปี ดีไหม?” เธอรู้สึกว่าลู่จิ่งซานดีเกินไปแล้ว
“ภายในสองปีนี้ ถ้าคุณเจอคนที่ชอบ เราสามารถ...”
“สวี่จือจือ” เธอยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกเสียงเ็าของชายหนุ่มขัดขึ้น “ผมบอกแล้วไงว่าอย่าพูดคำนั้น”
“ทำไมล่ะ?” สวี่จือจือมองเขาด้วยความสงสัย “ถ้าเกิดคุณเจอคนที่ชอบ? หรือฉันเจอคนที่ชอบล่ะ?”
ถ้าเป็แบบนั้นเธอจะยึดครองตำแหน่งนี้ไว้ก็ไม่ดีไม่ใช่เหรอ?
“ไม่มีทาง” ลู่จิ่งซานกัดฟันพูด
ไม่รู้ว่าเขากำลังพูดว่าเขาจะไม่มีวันชอบใคร หรือกำลังพูดว่าเขาจะไม่ให้สวี่จือจือมีโอกาสไปชอบคนอื่น?
แต่ใครจะรู้ว่าเื่ในอนาคตจะเป็อย่างไร? โดยเฉพาะเื่ความรู้สึก เป็สิ่งที่ซับซ้อนและควบคุมได้ยากที่สุด!
“ในใจคุณไม่มีใคร ในใจผมก็ไม่มีใคร มันก็ดีไม่ใช่เหรอ?” ลู่จิ่งซานมองเธอแบบนั้นแล้วอยากจะเปิดกะโหลกของเธอออกมาดูว่าในนั้นมีอะไรอยู่ แต่ก็กลัวว่าเธอจะใจึงต้องอดทนไว้ “คุณไม่มั่นใจในตัวเอง หรือว่าอะไร?”
“ฉันเปล่านะ” สวี่จือจือเชิดหน้าขึ้น
ถึงแม้จะเป็แม่เลี้ยงเดี่ยวหลายปี แต่เธอก็ไม่เชื่อว่าตัวเองจะไม่สามารถเอาชนะคนท้องถิ่นคนหนึ่งได้
“พอดีเลย ผมก็มั่นใจในตัวเองมากเหมือนกัน” ลู่จิ่งซานพูดด้วยรอยยิ้ม
สวี่จือจือเม้มปาก ประโยคที่ว่า ‘ถ้าเกิดฉันไปชอบคนอื่นขึ้นมา’ เธอไม่ได้พูดออกไป
คิดว่าถึงคนคนนี้จะดีมาก แต่ก็หน้าหนาเหมือนกัน
แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องลงบนสะพานเล็กๆ เหมือนกับว่ากำลังห่มผ้าคลุมสีทองให้ทั้งผืนดิน
ลู่จิ่งซานยิ้มออกมา ก้าวขึ้นคร่อมจักรยาน แล้วมองภรรยาของเขา “กลับบ้านกันเถอะ”
สวี่จือจือพยักหน้า แล้วปีนขึ้นไปนั่งบนเบาะหลังจักรยานสองแปดอย่างว่าง่าย
หน้าหนาหน่อยก็หน้าหนาหน่อยเถอะ อย่างน้อยตอนนี้ลู่จิ่งซานก็เห็นด้วยกับข้อเสนอของเธอแล้ว แค่นี้ก็พอแล้ว
ใครจะรู้ว่ากลับมาถึงบ้านก็เห็นคุณนายลู่ทำหน้าบึ้งตึงนั่งอยู่บนรถเข็น
เมื่อเห็นพวกเขาทั้งสองคนเข้ามา หญิงชราก็หมุนรถเข็นเข้าไปในบ้าน
“แกตามฉันเข้าไป ส่วนจือจือคงเหนื่อยแล้ว กลับห้องไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
สองสามีภรรยามองหน้ากัน
“น้องชาย นี่นายทำไมถึง...” ลู่ซือหยวนดูเหมือนจะผิดหวังในตัวน้องชาย แต่ยังไม่ทันที่จะพูดจบ ก็ได้ยินเสียงคุณย่าดังขึ้นมา เธอใจนรีบโบกมือ “รีบเข้าไปเถอะ อย่าให้คุณย่าต้องรอนาน”
ในบ้านหลังนี้ เธอเกรงกลัวคุณย่ามากที่สุด
ลู่หลิงซานที่อยู่ไม่ไกลหัวเราะเยาะ แล้วมองสวี่จือจือด้วยสายตาภาคภูมิใจ
“มา ผมจะดูซิว่าใครทำให้คุณย่าของพวกเราโกรธกัน?” เมื่อเข้าไปในบ้าน ลู่จิ่งซานก็พูดด้วยรอยยิ้ม “ผมจะไปสั่งสอนมันสักหน่อย”
ถ้าสวี่จือจือได้ยินคงจะประหลาดใจมาก ในความทรงจำของเธอลู่จิ่งซานเป็คนเ็าและเ้าเล่ห์ แล้วเมื่อไหร่กันที่เขาถึงได้กลายเป็คนพูดจาเลี่ยนๆ แบบนี้ไปได้?
คุณนายลู่ปัดมือของเขาออกอย่างรังเกียจ “อย่ามาทำหน้าทะเล้นอยู่ตรงนี้”
“ย่าถามแกหน่อย” เธอมองหลานชายที่เธอรักมากที่สุดด้วยสีหน้าจริงจัง “เมื่อคืนนี้พวกแกไม่ได้เข้าหอกันใช่ไหม?”
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้