“วางใจเถอะ อีกสองวันก็จะถึงวันแต่งงานของแม่ทัพเยี่ยนกับคุณหนูหนิงแล้ว อีกอย่างเื่ที่เกิดขึ้นก็ผ่านมาเป็สิบกว่าปีแล้ว” เสิ่นเยี่ยนปลอบใจ
กู้เจิงพยักหน้ารับฟัง “ท่านพี่ ท่านว่าซู่เหนียงทำให้ท่านแม่ทัพเยี่ยนเกิดปมในใจหรือเปล่าเ้าคะ ดังนั้นเขาจึงรอจนอายุเท่านี้ถึงได้เพิ่งจะแต่งงาน?”
เสิ่นเยี่ยนตอบกลับไปอย่างจริงจังว่า “ในฐานะบุรุษธรรมดาคนหนึ่ง เขาคงจะรู้สึกอัปยศอดสู และมีความโกรธแค้นอยู่บ้าง ส่วนปมในใจนั้น ถ้าดูจากรูปลักษณ์ที่งดงามของซู่เหนียงแล้ว ข้าว่ายังไม่ถึงขั้นนั้น”
“ถ้าซู่เหนียงของข้าหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ ถึงกลายเป็ปมในใจหรือเ้าคะ?” กู้เจิงถามกลับอย่างไม่สบอารมณ์
เสิ่นเยี่ยนยิ้มบางๆ “ถ้าเป็ข้า นอกจากเ้าแล้ว สตรีคนอื่นล้วนจะกลายเป็ปมในใจได้ทั้งนั้น”
กู้เจิง “...” เห็นแววตาร้อนแรงของบุรุษผู้นี้ นางก็ลอบคิดในใจว่าเห็นท่าจะไม่ดีนัก
คืนนี้ กู้เจิงต้องตกอยู่ในสภาพน้ำลึกไฟร้อน* อีกครั้ง ชายคนนี้ตอนกลางวันดูเ็าจิตใจใสสะอาด แต่พอตกกลางคืนกลับขยันทำงานไม่บันยะบันยัง
(*หมายถึง ความทุกข์ยากลำบาก หรือ ตกนรกทั้งเป็)
วันถัดมา กู้เจิงกว่าจะได้ลุกจากเตียงก็ตอนเที่ยงไปแล้ว ตอนที่ตื่นขึ้นมา นางก็ตบตีเตียงอย่างหงุดหงิด
ฝนที่ตกติดต่อกันมาหลายวัน ในที่สุดก็หยุดลงได้เสียที
ซู่หลันเมื่อช่วยกู้เจิงแต่งตัวเสร็จ นางก็เปิดหน้าต่างออกให้แสงแดดสาดส่องเข้ามาในห้อง
“เป็วันที่อากาศดีจังเลยนะ” กู้เจิงบิดี้เี “วันนี้ไม่ต้องกินยาสมุนไพรแล้วกระมัง?”
“เ้าค่ะ” ซู่หลันยิ้มพร้อมตอบกลับไปว่า “นายท่านเคยกำชับไว้ว่า ขอเพียงท้องฟ้าอากาศแจ่มใสก็ไม่จำเป็ต้องดื่มยาแล้วเ้าค่ะ”
นางนั่งลงทานอาหารเช้าซึ่งที่จริงเป็อาหารมื้อเที่ยง กู้เจิงร้อง ‘ซี๊ด’ รู้สึกปวดั้แ่ส่วนเอวลงไปจึงแอบก่นด่าเสิ่นเยี่ยนในใจ นางเห็นขนมบนโต๊ะก็เอ่ยถามอย่างแปลกใจ “ขนมฟักทอง?”
“เ้าค่ะ แม่นางชุนหงเอามาให้ั้แ่เช้าตรู่ บอกว่าเป็ฝีมือของท่านป้าเสิ่นเ้าค่ะ”
กู้เจิงชอบกินขนมฟักทอง โดยเฉพาะขนมฟักทองที่เป็ฝีมือของแม่สามี
“นายหญิง คนงานใหม่ทั้งสองคนมาแล้ว และคนขับรถม้าคนใหม่ด้วยเ้าค่ะ พวกกำลังรออยู่หน้าโถงใหญ่เ้าค่ะ”
“เป็คนจากที่ไหนกัน?” กู้เจิงถามและกินไปพลาง
“คนงานสองคนมาจากทางใต้ของเมือง ส่วนคนขับรถม้ามาจากทางเหนือ นี่เป็สัญญาระยะยาวของพวกเขาเ้าค่ะ” ซู่หลันวางสัญญาสามฉบับให้กู้เจิง
กู้เจิงหยิบขึ้นมาดูอย่างละเอียด ไม่มีปัญหาอะไร
ที่หน้าห้องโถงใหญ่ สาวใช้กำลังทำความสะอาดอยู่ พอเห็นกู้เจิงมาต่างก็รีบทำความเคารพ กิริยาท่าทางของพวกนางดูมีระเบียบกว่าเมื่อหลายวันก่อนมาก
คนงานกับคนขับรถม้าล้วนหน้าตาซื่อๆ ดูแล้วเหมือนชาวบ้านชาวนาตามชนบท
“พวกเรายังไม่รู้จักกันเท่าไหร่ ข้าขอแนะนำตัวเองก่อนแล้วกัน ข้าชื่อกู้เจิง ทุกคนเรียกข้าว่านายหญิง” กู้เจิงยิ้ม “ในเมื่อพวกเ้าจะเข้ามาทำงานที่จวน พวกเ้าก็จงตั้งใจทำงานให้ดี ข้าจะไม่ปฏิบัติต่อพวกเ้าอย่างไม่เป็ธรรม แต่หากทำผิดก็ต้องรับโทษ เข้าใจหรือไม่?”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ” ทั้งสามคนต่างพูดเป็เสียงเดียวกัน
หลังจากไปพบคนงานใหม่แล้ว กู้เจิงก็เดินเตร็ดเตร่อยู่ในลานบ้าน นางมองดูลานบ้านที่สะอาดเรียบร้อยอย่างพอใจ
“ซู่หลัน”
“เ้าคะ”
กู้เจิงถามขึ้น “คนขับรถม้ากับคนงานใหม่ควรจะมีที่พักกัน ข้าอนุญาตให้พวกเขาพาครอบครัวเข้ามาในจวนได้”
ซู่หลันใ “นายหญิง สำหรับพวกเขาแล้วจะใจกว้างเกินไปหรือเปล่าเ้าคะ อย่างไรเสียพวกเขาก็เพิ่งเข้ามาในจวน”
“ในเมื่อเข้ามาในจวนข้าแล้ว ข้าก็อยากปฏิบัติต่อพวกเขาให้เหมือนกับที่ทำต่อพวกเ้า เ้าลองพิจารณาดู ถ้าพื้นฐานนิสัยสามคนนี้ไม่เลว เราก็ไม่ควรปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไม่เป็ธรรม”
“เ้าค่ะ” ซู่หลันรู้สึกว่านายหญิงใจกว้างเกินไป
ในตอนนั้นเองเหอเซียงก็เดินเข้ามาพร้อมกับเด็กรับใช้คนหนึ่ง กู้เจิงดูแล้วคุ้นตา แต่เมื่อคิดทบทวนสุดท้ายก็นึกออกที่แท้ก็เป็ลั่วจิ่วคนงานในหอสมุดนั่นเอง
ลั่วจิ่วเดินเข้ามาคำนับให้กู้เจิง “คารวะนายหญิง ลุงหม่าให้ข้าน้อยเอาต้นฉบับมาส่งให้ท่านขอรับ” เขาบอกก่อนจะส่งกองกระดาษในมือมาให้
กู้เจิงพลิกเปิดอ่านบันทึกวิถีเซียนกับบันทึกสวนบุปผาที่ลั่วจิ่วนำมาส่งให้ “เขียนได้ไวมาก”
“ลุงหม่าให้ข้าน้อยมาถามนายหญิงว่าต้องใช้เวลาในการอ่านและตรวจสอบกี่วันขอรับ?” ลั่วจิ่วถาม
“สามวันแล้วกัน”
“ได้ขอรับ งั้นอีกสามวันข้าน้อยจะมาถามนายหญิงอีกที”
เหอเซียงตามออกไปส่งลั่วจิ่วที่หน้าจวน
“กำลังคิดอยู่เลยว่าตอนบ่ายจะทำอะไรดี แต่ตอนนี้ข้ามีอะไรให้ทำแล้ว ซู่หลันเ้าไปเอาพู่กันมาหน่อย” กู้เจิงเริ่มเปิดอ่านต้นฉบับ จุดสำคัญของบันทึกสวนบุปผาคือบัณฑิตและคุณหนูจากครอบครัวขุนนางนัดพบกันในสวนบุปผา จากนั้นตามโครงเื่พวกเขาก็จะหนีตามกันไป แน่นอน บัณฑิตผู้นั้นจะต้องหล่อเหลาสง่างาม และเต็มไปด้วยพร์และความสามารถ ส่วนฝ่ายหญิงก็ต้องมีรูปลักษณ์งดงามจนมัจฉาจมใต้วารี ปักษีตกจากนภา จันทราหลบซ่อน มวลผกายังอาย กู้เจิงอ่านพลางสั่นไปทั้งร่าง
ซู่หลันได้นำพู่กันกับหมึกเข้ามาพอดีตอนที่กู้เจิงกำลังวิจารณ์ “ราบรื่นเกินไป การพบกันในสวนต้องน่าตื่นเต้นกว่านี้ อาจจะเกือบถูกคนเห็นเข้า ระหว่างที่หลบอยู่ ทั้งสองคนต้องมีการััร่างกาย อย่างพวกริมฝีปากเฉียดกัน ต้องััตัวกัน ต้องทำให้คนอ่านใจเต้นไปด้วย ส่วนเวลาทรมานก็ต้องเอาให้เจ็บไปทั้งร่างแบบไม่มีชิ้นดี เวลาหวานก็เอาให้หวานจนมดขึ้นไปเลย” วิจารณ์เสร็จ กู้เจิงก็ลอบยิ้ม
ซู่หลันเบิ่งตาฟังการวิจารณ์ของนายหญิงอย่างตกตะลึง
กู้เจิงอ่านบันทึกวิถีเซียนไปอีกหลายหน้า ก่อนจะแสดงความคิดเห็นว่า “พระเอกเขียนได้ไม่เลว ตัวประกอบไม่ค่อยโดดเด่น แบบนี้เวลาพระเอกกับตัวประกอบฆ่ากัน ยิ่งต้องสู้กันให้โหด คนอ่านจะได้สนุก คนที่อ่านบันทึกวิถีเซียนส่วนใหญ่เป็ผู้ชาย ต้องให้มีอนุภรรยาหลายๆ คนด้วย” นางวิจารณ์เสร็จ ก็จุ๊ปากไปสองที ก่อนจะก่นด่าพระเอกในใจว่าเลวเกินไป
ก่อนพลบค่ำ กู้เจิงก็อ่านต้นฉบับจบไปแล้วครึ่งเล่ม นางเขียนคำวิจารณ์อย่างละเอียด นางคิดเอาไว้ว่าหลังจากพิมพ์บันทึกสวนบุปผานี้ออกมา ไม่เพียงแต่บุรุษจะชอบอ่าน สตรีเองก็ต้องชอบยิ่งกว่าแน่ ส่วนบันทึกวิถีเซียนนี้ ก็เป็เพียงหนังสือต้องห้ามที่ได้สวมเปลือกนอกอย่างการฝึกเซียนเพื่อให้บรรลุถึงความพึงพอใจในตัวเองของพวกบุรุษที่มีภรรยาอนุมากมาย
“พี่ใหญ่” เสียงของกู้เหยาเอ่ยทักขึ้น
กู้เจิงเงยหน้าขึ้น นางเห็นกู้เหยาวิ่งเข้ามาในศาลา ดวงตาเมล็ดซิ่งคู่สวยคลอด้วยน้ำตา ไม่รอให้นางเอ่ยปาก ก็กอดนางร้องไห้เสียงดัง
กู้เจิงส่งสัญญาณให้ซู่หลันเก็บต้นฉบับไป นางกอดน้องสี่และตบไหล่นางเบาๆ “เกิดอะไรขึ้น?”
“ท่านแม่ตีข้า ท่านดูสิ” กู้เหยายื่นหน้าให้ดู ใบหน้าซีกซ้ายอันขาวเนียนของนางมีรอยฝ่ามือชัดเจน
“เ้าไปทำเื่อะไรผิดมา ท่านแม่ถึงได้โกรธขนาดนี้?” กู้เจิงมองนางด้วยความประหลาดใจ ทุกคนต่างรู้ว่าเว่ยซื่อเอ็นดูน้องสี่ที่สุด ั้แ่เล็กจนโตอย่าว่าแต่ตีเลย แม้แต่ด่าก็ยังตัดใจทำไม่ลง
“ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด วันนี้ข้ากับองค์หญิงก็แค่ไปจวนเซี่ยกงเจวี๋ยเพื่อเล่นกับิ่หรูเท่านั้น” กู้เหยาร้องไห้
กู้เจิงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาบนใบหน้าให้นาง “เป็เื่เซี่ยกงเจวี๋ยน้อยอีกแล้วหรือ?”
กู้เหยาส่ายหน้า “คนที่ข้าไปพบคือิ่หรู ไม่ใช่เขาเ้าค่ะ”
กู้เจิงมองนางอย่างจริงจัง แล้วถามว่า “น้องสี่ เ้าบอกข้ามาตามตรง ว่าเ้ารู้สึกเช่นชายหญิงต่อเซี่ยกงเจวี๋ยน้อยใช่หรือไม่?”
“ไม่ใช่แน่นอนเ้าค่ะ พวกเราเพียงแค่เล่นด้วยกัน ข้าบอกไปหลายครั้งแล้ว ทำไมพวกท่านถึงไม่เชื่อข้า”
“ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่เชื่อเ้า แต่เป็เพราะเ้าชอบเขาโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า?"
กู้เหยาครุ่นคิด “ข้ารู้แน่นอนว่าอะไรคือชอบเ้าค่ะ”
กู้เจิงถอนหายใจ “ความสัมพันธ์อันร้ายแรงนี้ ท่านแม่คงเคยบอกเ้าแล้วกระมัง?”
“บอกแล้วเ้าค่ะ สาเหตุก็มาจากพี่เขยสามมิใช่หรอกหรือเ้าคะ? พระสนมซูยังให้นางกำนัลมาคุยเื่นี้กับท่านแม่ด้วย มีสิทธิอะไรกัน?” กู้เหยาพูดอย่างโมโห พระสนมบอกว่าหากนางแต่งเข้าตระกูลเซี่ย จะทำให้องค์ชายที่เหลือมองว่าตวนอ๋องเป็หนามยอกอก “พระสนมซูมีสิทธิอะไรกับการที่ข้าจะเป็เพื่อนกับใคร แม้แต่เื่นี้นางก็ต้องก้าวก่ายด้วยงั้นหรือเ้าคะ?”
“น้องสี่ เ้าก็น่าจะโตขึ้นแล้ว” กู้เจิงส่ายหน้ายิ้มๆ พลางจิ้มหน้าผากของกู้เหยา