ผมชื่อ “ธัชวิน” ผมใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นมาห้าปีแล้ว เพราะต้องมาดูแลกิจการโรงแรมซึ่งเป็หนึ่งในธุรกิจของตระกูลผม โรงแรมนี้ชื่อว่า “เดอะ ไรซิ่ง ซัน รอยัล โฮเต็ล (The Rising Sun Royal Hotel)” เป็โรงแรมระดับสี่ดาว นอกจากนี้ผมยังมีกิจการส่วนตัว ที่ผมลงทุนกับเพื่อนสนิท เป็ร้านอาหารไทยชื่อ “ไทยสตรีทฟู้ด” อยู่ที่ย่านคิจิโจจิ เมืองมูซาชิโนะ ย่านนี้เคยถูกจัดอันดับว่าเป็ย่านที่น่าอยู่ที่สุดของญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของกรุงโตเกียว ใช้เวลาในเดินทางด้วยรถไฟ จากสถานีชินจูกุไม่ถึง 20 นาที วันนี้ผมมาทำธุระในโตเกียว กว่าจะเสร็จก็เย็นมากแล้ว ตอนนี้ผมกำลังยืนรอต่อรถไฟที่สถานีชินจูกุเพื่อกลับไปคิจิโจจิ
่กลางเดือนมีนาคม ในโตเกียวอากาศเย็นจนถึงขั้นหนาว บ่อยครั้งมักจะมีลมแรง จนแทบไม่อยากจะใช้ชีวิตอยู่ข้างนอก ยิ่งตอนกลางคืนอากาศก็ยิ่งหนาวมากขึ้น สถานีรถไฟคือสถานที่ที่พอจะทำให้ความทรมานจากความหนาว และลมลดลงได้บ้าง ผมนั่งรถไฟจากสถานีชินจูกุมาถึงสถานีคิจิโจจิประมาณเกือบ ๆ หนึ่งทุ่ม สถานีนี้ไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็ก มีสี่ชานชาลาที่ยกสูง และมีรางรถไฟหกราง มีรถไฟให้บริการสองสายคือ สายเจอาร์ และเคโอ ไลน์ ภายในสถานีมีทั้งร้านค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟมากมาย รวมทั้งห้างสรรพสินค้า
ผมออกจากรถไฟ เดินผ่านช่องเก็บตั๋วออกมายืนอยู่ที่โถงของสถานี ผู้คนจำนวนมากต่างเดินเข้าออกผ่านไปมา ตอนนี้ผมยังไม่มีความคิดที่จะเดินออกไปนอกสถานี เพราะข้างนอกมันหนาว และลมแรงมาก ถึงแม้ว่าผมจะอยู่ในชุดที่พร้อมรับมือกับมันก็ตาม แต่ที่สำคัญกว่าคือ ผมรู้สึกว่าจะได้เจอเธออีก แม้ว่าวันนี้ผมจะมาผิดเวลาก็ตาม แต่ผมก็ไม่ได้คาดหวังอะไร
ผมยืนอ้อยอิ่งอยู่ที่เดิมไม่นานก็เริ่มรู้สึกหิว เลยคิดว่าจะไปหากาแฟกับอาหารสักอย่าง ผมเดินมาจนถึงบันไดที่มีทั้งแบบธรรมดา กับบันไดเลื่อน ผมเลือกลงบันไดธรรมดาเพื่อลงไปที่ชั้นหนึ่ง เมื่อลงมาถึงทางซ้ายจะเป็ทางเข้าออกสถานีทางทิศเหนือ ทางขวาจะเป็ประตูทางเข้าห้างอาเทร ส่วนด้านหน้าจะเป็บันไดลงไปชั้นบีหนึ่งของห้าง ซึ่งมีทั้งแบบธรรมดา และบันไดเลื่อนเช่นกัน ผมเลือกลงบันไดธรรมดาเหมือนเดิม ที่ชั้นบีหนึ่งมีทั้งร้านค้า ร้านอาหาร และร้านกาแฟอยู่หลายร้าน ผมเลือกเข้าร้าน “ฮาร์บส์” ร้านนี้เป็คาเฟ่ที่มีทั้งกาแฟ เค้ก และอาหาร มีหลายสาขาในประเทศญี่ปุ่น ถือว่าเป็ร้านที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะปกติมักจะมีลูกค้าต่อคิวกันยาวเหยียด แต่ตอนนี้เหลือเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงร้านก็จะปิดแล้ว จึงทำให้ไม่มีคิวเลย
พนักงานพาผมไปที่โต๊ะ ซึ่งผมขอนั่งโต๊ะตัวในสุด โดยนั่งหันหน้าออกมาทางหน้าร้าน เพื่อที่จะได้เห็นทั่วทั้งด้านใน และด้านนอกร้าน ที่นี่ตกแต่งในสไตล์ร่วมสมัย ผสมผสานความคลาสสิกอย่างลงตัว ใช้โทนสีขาว และสีน้ำตาลอ่อนเป็หลัก เคาน์เตอร์คิดเงิน และตู้เค้กอยู่ด้านหน้าสุด มีเค้กและขนมหวานหลากหลายชนิด ของตกแต่งในร้านไม่มีอะไรมาก แต่เลือกสรรมาอย่างดี ไม่ว่าจะเป็กรอบรูป ภาพวาด และต้นไม้เล็ก ๆ ช่วยเพิ่มชีวิตชีวาให้กับร้าน เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่เป็ไม้สีน้ำตาลเข้มทั้งโต๊ะ และเก้าอี้ โซฟาบุหนังสีน้ำตาลอ่อน นั่งได้สะดวกสบาย บนเพดานมีโคมไฟห้อยทรงคลาสสิก ที่ให้แสงสว่างนุ่มนวล ในขณะที่ผนังร้านเป็กระจกใส จึงทำให้บรรยากาศร้านดูโปร่งสบาย อบอุ่น และผ่อนคลาย
เมื่อเหลือเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงร้านก็จะปิดแล้ว ผมจึงสั่งอาหารไม่ได้ เลยเลือกสั่งกาแฟแมนฮัตตัน เบลนด์ ราคา 680 เยน กับมาร์รอน ทาร์ต ราคา 830 เยน รวมเป็เงิน 1,510 เยน ถือว่าคุ้มกับความอร่อยที่ได้รับ เกือบ ๆ สองทุ่มผมจัดการกับทาร์ตคำสุดท้าย ตามด้วยกาแฟจนหมดแก้ว ผมจึงลุก และเดินออกจากร้าน เดินขึ้นบันไดไปที่ชั้นหนึ่ง เลี้ยวขวาออกทางออกทิศเหนือ ตอนนี้ไม่มีลมแรงแล้วแต่ความหนาวยังคงอยู่ ผมเดินข้ามถนนไปยังจัตุรัสเล็ก ๆ ที่อยู่กลางถนนหน้าสถานี ที่รายล้อมด้วยกระถางต้นไม้พุ่มเตี้ย ลานตรงกลางมีม้านั่ง และรูปปั้นช้างฮานาโกะ ช้างไทยที่ในอดีต ถูกส่งมาเป็ทูตสันถวไมตรีอยู่ที่นี่ และกลายเป็ที่รักของผู้คนในเมืองนี้ ผมนั่งลงที่ม้านั่งตัวหนึ่ง ขณะเดียวกันก็มีข้อความไลน์ส่งเข้ามาจากเ้ากรณ์เพื่อนสนิทของผม
“เฮ้ยธัช ตอนนี้อยู่ไหน จะกลับเข้าบ้านกี่โมง”
ผมพิมพ์ตอบกลับมันไป
“ตอนนี้อยู่หน้าสถานีคิจิโจจิ ยังไม่รู้ว่าจะเข้าบ้านตอนไหน”
มันพิมพ์ตอบกลับมาว่า “จะถามว่า จะกินข้าวด้วยกันมั้ย”
“กินก่อนเลย ไม่ต้องรอ” ผมตอบ
“เครๆ” มันตอบกลับมาแค่นั้นแล้วก็เงียบไป
ยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งหนาวมากขึ้นจนผมเริ่มทนไม่ไหว นั่งตรงนี้ก็มีแต่นั่งหนาวเฉย ๆ คิดได้อย่างนั้นผมก็รีบเดินกลับเข้าไปในสถานี ตอนนี้เกือบสามทุ่มแล้ว ร้านรวงต่าง ๆ ในสถานีก็ปิดกันเกือบหมดแล้ว เหลือแต่ร้านที่เปิดกันเกินสามทุ่ม ผมเดินขึ้นไปที่ชั้นสองยืนอยู่แถว ๆ โถงสถานี ยืนอยู่ได้ไม่นาน เ้ากรณ์ก็ส่งข้อความไลน์มาอีก
“อย่าบอกนะว่าแกไปรอเจอผู้หญิงคนนั้นอีก”
ผมอ่านแต่ยังไม่ทันได้ตอบ มันก็ส่งข้อความมาอีก
“ปกติแกจะเจอน้องเค้าประมาณ่เย็นๆ ไม่ใช่เหรอ”
“ตอนนี้สามทุ่มกว่าแล้ว แกคงคลาดกับน้องเค้าแล้วละมั้ง”
“กลับบ้านก่อนมั้ย ข้างนอกมันหนาวนะ” ข้อความหยุดที่ตรงนี้
ผมตอบกลับ “แกกลัวชั้นไม่สบายเหรอเพื่อน”
“ก็ถ้าแกไม่สบายขึ้นมา เดี๋ยวชั้นก็ต้องทำงานแทนแกอีกน่ะสิ” มันตอบกลับมาแบบกวน ๆ
"ขอบใจนะที่เป็ห่วง ไอ้เพื่อนเวร” ผมประชดพร้อมกับว่ามัน แล้วมันก็ส่งสติกเกอร์กวน ๆ มาให้ผม
เมื่อบทสนทนาทางไลน์สิ้นสุดลง ผมก็กลับมาสู่ความไม่มีอะไรทำเหมือนเดิม ที่จริงตอนนี้ผมก็ไม่ได้รอเธอแล้ว คิดว่าวันนี้คงไม่ได้เจอกันแน่นอน บางทีเธออาจจะมาถึงั้แ่่เย็น แต่กว่าผมจะกลับมาจากโตเกียว ก็เลยเวลาแล้ว เราก็เลยคลาดกัน หรือไม่ก็วันนี้เธออาจจะไม่ได้มาเลยก็ได้ แต่ที่ผมยังอยู่ถึงตอนนี้ ก็แค่ยังรู้สึกไม่อยากกลับบ้าน หรือเป็เพราะผมรู้สึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ กันแน่
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้