เพียงแค่ชั่วขณะเดียว จางกุ้ยฮัวเ็ปจนใบหน้าซีดขาว เหงื่อไหลซึมทั้งที่เพิ่งจะเป็่เริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่นางกลับตัวเย็นเฉียบ อาการหนาวเย็นจากข้างในกระดูกทำให้ร่างกายสั่นจนสภาพจิตใจหนักหน่วง
“กุ้ยฮัว อดทนไว้ก่อน หากเ้าไม่มีแรงจริงๆ ก็พิงป้าไว้ก่อน”
หลิวซานกุ้ยเองก็มีชาวบ้านมาช่วยพยุงไว้ ทางฝั่งจางกุ้ยฮัวอาจจะลำบากหน่อย เนื่องจากป้าหลี่ไปเรียกหมอท้องถิ่น ตอนนี้จึงมีเพียงย่าหวงคอยพยุงนางไว้
เป็ครั้งแรกที่จางกุ้ยฮัวรู้สึกว่าบ้านของนางอยู่ไกลจากลานบ้านเหลือเกิน
แค่ระยะทางสองก้าว แต่เหงื่อกลับซึมหน้าผากเต็มไปหมด ภายในท้องราวกับมีเข็มทิ่มแทง สองมือของนางกดหน้าท้องไว้แน่น มีเพียงการทำเช่นนี้จึงจะสามารถคลายอาการปวดลงได้เล็กน้อย เพื่อให้ตนเองได้หายใจหายคอหน่อย
“ท่าน ท่าน ท่านป้า เอิ่ก...” จางกุ้ยฮัว้าเตือนย่าหวงว่าตนเองกำลังจะอาเจียนอีกแล้ว
แต่นางยังไม่ทันได้พูด ก็รู้สึกถึงกลิ่นคาวที่พุ่งขึ้นจมูก ถัดจากนั้นก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป
ดวงอาทิตย์ส่องแสงจ้าจนทิ่มแทงสายตา!
กลิ่นคาวเืที่ออกมาจากจมูกทำเอาย่าหวงใชะงัก รู้สึกเพียงว่าคนที่พิงตัวเองอยู่ร่วงลงไป นางจึงเอื้อมมือออกไปคว้าตัวจางกุ้ยฮัวที่ตัวอ่อนยวบยาบไว้
“เร็ว... เร็วเข้า มีใครอยู่บ้าง”
เมื่อะโออกไปก็รู้สึกว่าคนที่นางช่วยพยุงอยู่นั้นจู่ๆ ก็ตัวหนักราวกับเขาไท่ซาน
จังหวะที่คอเกือบจะฝังลงดินโคลน ย่าหวงก็พอจะรู้ว่าครอบครัวกำลังจะเกิดเื่แล้ว
“ย่าหวง พี่สะใภ้กุ้ยฮัวเป็อะไรไป?”
แม่บ้านสาวหลายคนที่ซักผ้าอยู่ริมลำธารได้ยินเสียงป้าหลี่ที่วิ่งออกไปก่อนหน้านั้น จึงเรียกกันให้ออกมาช่วยย่าหวง
เมื่อย่าหวงเห็นว่าเป็ลูกหลานสะใภ้ข้างบ้าน ในที่สุดก็ส่งเสียงออกมาได้ “เร็วเข้า รีบพาข้ายกนางเข้าไปในห้อง”
แม่บ้านสาวๆ ทั้งหลายรีบรับต่อจากย่าหวง จวบจนขณะนี้นางถึงพบว่าเท้าสองข้างของตนเองหนักเพียงใด ราวกับนุ่นที่เบาจนไม่มีเรี่ยวแรง และก้าวเท้าไม่ออก
หมอท้องถิ่นยังไม่มา หลิวซานกุ้ยเองก็เ็ปจนกลิ้งไปมาบนคั่ง ส่วนจางกุ้ยฮัวกำลังสลบไสลไม่ได้สติ
ย่าหวงรู้สึกตัวหนาวสั่น
“ท่านย่า เกิดอะไรขึ้น?”
เดิมทีหลี่ชุ่ยฮัว้ามาหาแม่ของนาง แต่พบว่าผู้คนในบ้านใหม่ดูยุ่งเหยิงวุ่นวาย
ไม่ง่ายเลยกว่าที่นางจะตามหาสองสามีภรรยาเจอ และพบว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับทั้งสองคน
“ชุ่ยฮัว รีบส่งข่าวกลับบ้านตระกูลหลิว บอกให้พวกนางก่อไฟไว้ในคั่ง คั่งตรงนี้ยังไม่เคยก่อไฟ มันเย็นเกินไป ต้องรีบเรียกคนหาไม้มาหามพวกนางไปบ้านหมอก่อน”
ย่าหวงหายใจหอบ จากนั้นก็ได้สติแล้วสั่งให้หลี่ชุ่ยฮัวไปส่งข่าว
ด้วยเหตุนี้ หลิวเต้าเซียงจึงรู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับพ่อแม่ของนาง
“เ้าว่าอะไรนะ? พ่อแม่ข้าเป็อย่างไรบ้างแล้ว?”
ปฏิกิริยาแรกของนางคือทั้งสองคนติดกับหลิวฉีซื่อแล้ว
แต่ก่อนหน้านั้นนางจับตาดูอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็ข้าว ทุกคนก็กินเหมือนกัน ไม่เห็นถึงความผิดปกติแต่อย่างใด
“ข้าได้ยินมาว่าแม่ของเ้าอาเจียนออกมาเป็เืด้วย ย่าหวงให้ข้าส่งข่าวกลับมาว่าให้เ้าก่อไฟในคั่งไว้ก่อน”
หลิวเต้าเซียงเอื้อมมือออกไปคว้าหลี่ชุ่ยฮัว “พี่สาวข้าไปที่ด้านหลังเชิงเขาเพื่อค้นหาผักป่า ชุ่ยฮัว เ้าช่วยไปตามนางกลับมาที”
หลี่ชุ่ยฮัวลังเล “เ้าก่อไฟคั่งคนเดียว ไม่มีปัญหาใช่หรือไม่?”
หลิวเต้าเซียงตอบรับว่าไม่มีปัญหา จากนั้นหลี่ชุ่ยฮัวก็ไปตามหาหลิวชิวเซียงอย่างวิตกกังวล
ประตูลานบ้านของตระกูลหลิวเปิดอยู่เสมอ หลิวเต้าเซียงหยิบฟืนจากมุมหนึ่งของลานบ้าน ขณะที่ประตูห้องทิศเหนือปีกตะวันตกเปิดอยู่ หลิววั่งกุ้ยสวมเสื้อชุดฤดูใบไม้ผลิสีเขียวไม้ไผ่ ใบหน้าขาว คงเพราะไม่ได้เจอแสงแดดเป็เวลานานจึงดูสุขภาพไม่ค่อยดีเท่าไร
เขาเพิ่งหายจากไข้หวัด ร่างกายยังอ่อนเพลีย เพียงแค่เดินไม่กี่ก้าวก็กินแรงไปพอสมควร เมื่อเห็นหลิวเต้าเซียงอุ้มฟืนเดินมาอย่างเร่งรีบ เขาก็รวบรวมลมหายใจ วางมือตรงปากและกระแอมไอสองที
“เกิดอะไรขึ้น เสียงดังเพียงนี้ เ้าไม่รู้หรือว่าข้า้าพักฟื้นอย่างสงบ?”
หากก่อนหน้านี้ใครได้เห็นเขาในสภาพบัณฑิตผู้อ่อนแอ คงต้องรู้สึกเอ็นดูและเป็ห่วง แต่เมื่อมีคำพูดนี้ออกมา จึงทำให้คนฟังรู้สึกว่าคำพูดของเขาเต็มไปด้วยหนามเล็กๆ
ตอนนี้หลิวเต้าเซียงอารมณ์ไม่ดี จึงไม่ได้มีความอดทนใดๆ
“ไม่ต้องมายุ่งกับข้า หากหนวกหูก็กลับสถาบันไป”
ไม่รู้ว่าชุ่ยหลิวนั้นดีตรงไหน มองไปก็รู้ว่าเป็นางจิ้งจอก หลิวเต้าเซียงดูแคลนคนที่มีสัมพันธ์รักสามเศร้าที่สุด
ในทำนองเดียวกัน นางเองก็ดูถูกหลิววั่งกุ้ย เพราะรู้สึกว่าตำราที่เขาเล่าเรียนมานั้นเปล่าประโยชน์สิ้นดี
“ต่ำทราม นี่คือสิ่งที่เด็กอย่างเ้าควรพูดหรือ?” หลิววั่งกุ้ยคือคนมีการศึกษา ในบ้านนอกชนบทแห่งนี้ก็ยิ่งได้รับความเคารพ อีกทั้งมารดายังมีเด็กรับใช้ข้างกาย เขาจึงเชิดหน้าและภูมิใจที่มีคนเรียกเขาว่าคุณชายสี่
สิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้หลิววั่งกุ้ยรู้สึกว่าตนเองคือบัณฑิต สถานะสูงส่งกว่าชาวบ้านธรรมดาหนึ่งขั้น
หลิวเต้าเซียงเหลือบมองไปที่เขาที่กำลังเชิดปลายจมูกชี้ขึ้นฟ้า นางส่งเสียงฮึ่มอย่างเ็าแล้วก้าวเท้าเตรียมเข้าบ้าน
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
หลิววั่งกุ้ยะโด้วยความโกรธอยู่ตรงทางเดิน
หลิวเต้าเซียงหันมามองเขาอย่างเ็า “ข้าจําได้ว่า ข้าควรเรียกท่านว่าอาสี่ ข้าเองก็มีพ่อแม่ของตนเอง หากข้าพูดจาหรือทำอะไรไม่ถูกต้อง ย่อมมีพ่อแม่ข้าสั่งสอนเอง”
มือของหลิววั่งกุ้ยสาวออกมายาวเกินไปและล้ำเส้น
หลิวเต้าเซียงเกลียดเขามากพอๆ กับที่เกลียดหลิวฉีซื่อ
“เ้าเด็กทราม บังอาจไม่เชื่อฟังคำผู้ใหญ่”
เมื่อเห็นว่าหลิวเต้าเซียงจะก้าวเท้าเข้าประตูจริงๆ หลิววั่งกุ้ยก็โมโหจนหน้าดำหน้าแดง
“ทรามนี่พูดถึงใคร!” หลิวเต้าเซียงโยนฟืนไปไว้อีกทาง หันหลังกลับมาใช้สองมือเท้าสะเอวถลึงตามองหลิววั่งกุ้ย
ใครกลัวใคร!
คิดว่าตนเองมีสถานะเป็ผู้าุโกว่า เรียนตำรานิดหน่อยแล้วคิดจะมาข่มเหงนางหรือ
“เด็กทรามก็หมายถึง...”
หลิววั่งกุ้ยเป็คนฉลาด ขณะนั้นจึงได้สติ เขาเกือบจะติดกับหลิวเต้าเซียงแล้ว
“อาสี่ หากท่านว่างมากนัก ก็ไปช่วยท่านย่าให้อาหารหมูดีกว่า!”
หลิวเต้าเซียงไม่ต้องมองก็รู้ว่า ตอนนี้ใบหน้าของหลิววั่งกุ้ยคงเขียวคล้ำไปหมด
มีการศึกษาแล้วอย่างไร? นางจะจัดการเหยียบย่ำคนมีการศึกษาที่อวดดีสูงส่งให้จมอยู่ในดินโคลนให้ดู
“เ้ากล้าเอาข้าไปเทียบกับคนชั้นต่ำหรือ นางเด็กนี่วอนเสียแล้ว”
หลิววั่งกุ้ยโกรธจัด ตั้งท่ายกมือขึ้นเพื่อจะตีหลิวเต้าเซียง
“หลิววั่งกุ้ย!”
แต่ขณะนั้นก็มีเสียงตะคอกด้วยความโมโหดังขึ้นตรงลานบ้าน
ปรากฏว่าคือหวงเสียวหู่ที่กำลังพาคนหามสองสามีภรรยากลับมาที่บ้าน เขาเพิ่งเข้ามาก็เห็นหลิววั่งกุ้ยกำลังจะทุบตีหลิวเต้าเซียง จึงเกิดความโมโหจนกล้าทำอะไรบ้าระห่ำ
หลิววั่งกุ้ยที่ใบหน้าเขียวปั๊ดหันศีรษะมา เมื่อเห็นว่าตรงประตูมีคนกลุ่มใหญ่เข้ามาก็ใ ก่อนจะเลื่อนสายตามองดูคนบนแคร่ทั้งสอง
ด้วยแววตาที่ไร้ซึ่งความรู้สึก นอกจากความเ็าก็ไร้ซึ่งสิ่งอื่นใด
“พี่สามกับพี่สะใภ้สามเป็อะไรไป?”
ชาวบ้านต่างก็ไม่พอใจ คิดในใจว่าเหตุใดเ้าหลิววั่งกุ้ยผู้นี้ถึงได้เืเย็นไร้ความรู้สึกเช่นนี้
“นี่ ที่เ้าพูดมาคือสิ่งที่คนควรถามหรือ ไม่เห็นหรือว่าเกิดเื่กับทั้งสองคน”
หวงเสียวหู่เกลียดชังหลิวฉีซื่อและคนที่เกี่ยวข้องกับหลิวฉีซื่อทั้งหมด ยกเว้นครอบครัวของหลิวเต้าเซียง
หลิววั่งกุ้ยเงยหน้าขึ้นมองหวงเสียวหู่ สำหรับการเยาะเย้ยถากถางนี้เขาไม่ได้โต้ตอบกลับ เพียงแต่จดบัญชีแค้นไว้ในใจเพื่อสั่งสอนคนที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเช่นนี้ หากวันใดเขาได้เป็ขุนนางจะต้องเล่นงานตระกูลหวงให้สาแก่ใจสักครา
ทั้งใจแคบและเ้าคิดเ้าแค้น หลิววั่งกุ้ยนั้นเก็บซ่อนสองเื่นี้ได้ลึกที่สุด เพราะเขารู้ดีว่ามนุษย์โลกไม่ได้ชื่นชอบนิสัยสองข้อนี้ของเขา
หวงเสียวหู่ไม่ได้มองไปที่หลิววั่งกุ้ยด้วยซ้ำ เขาพาคนทั้งหมดมาที่ทางเดินปีกตะวันตก เมื่อเห็นหลิววั่งกุ้ยยังคงยืนทำท่าเหมือนเป็เทพเฝ้าประตูอยู่ตรงนั้น ไฟโมโหก็ยิ่งปะทุ “คุณชายสี่ ได้โปรดยกขาอันสูงส่งออกไปหน่อยเถิด”
หลิวซานกุ้ยและภรรยาของเขาอยู่ในสถานการณ์ที่วิกฤต คนที่ยกแคร่ทั้งหลายได้ยินคำพูดนี้จึงต้องอดกลั้นไว้
อดทนไม่ให้หลุดขำออกมา
ชั่วขณะนั้น หวงเสียวหู่กับหลิววั่งกุ้ยยืนประจันหน้ากัน
ป้าหลี่รีบพาตัวหมอท้องถิ่นเข้ามาในบ้านตระกูลหลิวอย่างร้อนรน เมื่อเข้ามาแล้วก็เห็นคนทั้งหมดยืนกระจุกกันอยู่ตรงประตูห้องปีกตะวันตก พลันรู้สึกว่าเบื้องหน้านั้นมืดมน
“เหตุใดยังไม่รีบยกคนเข้าไปอีก รีบยกเข้าไปเร็ว ให้หมอช่วยดูหน่อย”
ข้างหลังป้าหลี่มีหลิวชิวเซียงกับหลี่ชุ่ยฮัวที่ยืนหายใจหอบ ชัดเจนว่าวิ่งกลับมาอย่างเร่งรีบ
หวงเสียวหู่ถึงนึกขึ้นได้ และด่าตนเองในใจว่าไม่มีสมอง ดันมางัดข้อกับเ้าบัณฑิตจอมงั่งคนนี้ในเวลานี้
หมอท้องถิ่นมาถึง ขณะที่ชาวบ้านก็ช่วยกันวางทั้งสองไว้บนคั่งในห้องข้างนอก
หลิวเต้าเซียงเหงื่อออกเพราะความร้อนใจ เมื่อเห็นหมอท้องถิ่นจับชีพจรของทั้งสองคนอยู่นาน นางอยากพุ่งตัวเข้าไปเขย่าตัวหมอที่จับชีพจร แล้วปลุกให้ตื่น
ตกลงว่ารักษาไหวหรือไม่ไหว?
นี่ท่านหลับไปแล้วหรือ?
ละแวกนี้มีหมอท้องถิ่นเพียงคนเดียว หลิวเต้าเซียงทำได้เพียงแค่คิดในใจ
“เฮ้อ ทั้งสองคนเกรงว่าคง... พวกเ้าทำใจเถิด ข้าดูไม่ออกจริงๆ ว่าทั้งสองคนเป็โรคอะไร เพียงแต่สองคนนี้ชีพจรอ่อนแรง ก่อนหน้านี้มีอาเจียนเป็เื เกรงว่าคงไม่ดีแน่”
หา ถุยน่ะสิ!
เ้าน่ะสิไม่ดี บ้านเ้าไม่ดีทั้งบ้าน
หลิวเต้าเซียงสติแตก!
“หมอ ปกติสองคนนี้ร่างกายแข็งแรง เหตุใดจึง...”
หัวใจของป้าหลี่ตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม พลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี
“มีโรคที่เกิดขึ้นกะทันหันมากมายในโลก!” หมอท้องถิ่นเอื้อมมือไปลูบเคราสีขาวของตน แล้วนั่งส่ายหน้าอยู่ตรงนั้น
หลิวเต้าเซียงสูดหายใจเข้าลึกๆ และบังคับให้ตัวเองไม่ตบหมอท้องถิ่นคนนี้ให้ติดผนัง
“ตกลงว่าท่านสามารถรักษาได้หรือไม่ หากไม่รู้ให้บอกมาตามตรง พวกข้าจะได้ไปหาหมอที่ดีกว่า และไม่เป็การเสียเวลา”
ทั้งความวู่วามและความกดดัน หลิวเต้าเซียงเอาแต่จดจ้องไปที่หมอท้องถิ่น
“เอ่อ พวกเ้ารีบไปหาหมอดีๆ ในตำบลดีกว่า!”
โชคดีที่ตำบลไม่ได้อยู่ห่างจากหมู่บ้านสามสิบลี้นัก
หลิวเต้าเซียงขอบคุณผู้คนที่ช่วยเหลืออย่างสุภาพ จากนั้นเชิญให้คนไปเรียก เหล่าหวัง บอกให้เขาบังคับรถเกวียนวัวมา ก่อนที่ทุกคนจะช่วยยกหลิวซานกุ้ยและภรรยาของเขาไว้บนเกวียนวัว
เมื่อเห็นว่าหลิวชิวเซียงจะตามไปด้วย หลิวเต้าเซียงก็เอื้อมมือไปขวาง
ถ้าไปทั้งคู่ แล้วใครจะดูแลน้องสาวคนเล็กในครอบครัว?
สุดท้ายหลิวชิวเซียงก็ไม่ได้ไป มีหลี่เจิ้งที่ได้รับข่าวไปพร้อมกับหลิวเต้าเซียง และยังมีป้าหลี่ด้วย
เกวียนวัวลากทั้งกลุ่มคนไปที่ตำบล ย่าหวงไม่วางใจให้หลิวชิวเซียงกับหลิวชุนเซียงอยู่ตามลำพัง จึงให้หวงเสียวหู่มาพาหลิวชิวเซียง หลิวชุนเซียงและหลี่ชุ่ยฮัวไปรอที่บ้านตนเอง
หลังจากความวุ่นวาย บ้านตระกูลหลิวก็ตกอยู่ในความสงบอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครสนใจหลิววั่งกุ้ยที่เข้าห้องปิดประตูไป และไม่มีใครคิดจะไปตามสองสามีภรรยาหลิวต้าฟู่กลับมาด้วย
แม้ชาวบ้านจะไม่พูด แต่ในความเป็จริงทุกคนย่อมรู้ดี
ใครๆ ก็รู้ว่าหลิวฉีซื่อเป็ประมุขในบ้าน ส่วนหลิวต้าฟู่นั้นไม่ใส่ใจเื่ใดๆ ทั้งสิ้น
-----
