หญิงชราเมื่อครั้งอดีตเคยออกรบฆ่าพวกปีศาจญี่ปุ่น แม้ตอนนี้ขาจะใช้งานไม่ได้ และต้องนั่งรถเข็น แต่ก็ยังมีอำนาจอยู่
เมื่อเธอทำหน้าขึงขังพูดขึ้นมา คนอื่นจะเป็ยังไงไม่รู้ แต่สะใภ้ทั้งสองกลับหวาดกลัว โดยเฉพาะจ้าวลี่เจวียนที่คอยปรนนิบัติเธอมาตลอด ใจนปากพูดเป็น้ำไหลไฟดับ “ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเรากำลังทำอาหารอยู่ในครัว จู่ๆ หลิงซานก็วิ่งเข้ามาลากเสี่ยวอวี่ออกไป”
“ไม่นานก็ได้ยินเสียงพวกเธอทะเลาะกัน พอวิ่งไปดูก็เห็นหลิงซานคร่อมเสี่ยวอวี่แล้วตบตี พวกเราสองคนเลยเข้าไปห้าม ไม่ให้พวกเขาทะเลาะกัน ตอนที่จือจือเข้าไปห้ามหลิงซานก็คว้าแขนหล่อนไว้ พอคนบ้านรองเข้ามาถึงก็โวยวายด่าว่าฉันกับจือจือ”
“คุณแม่” จ้าวลี่เจวียนคลื่นไส้ “ไม่ใช่ว่าพวกเราไปรังแกหลิงซานจริงๆ คุณแม่ไม่เห็นเหรอคะว่าสถานการณ์ตอนนั้นมันเป็ยังไง คำพูดที่ด่าออกมาน่ะ”
ทนฟังไม่ได้เลยจริงๆ
“พี่สะใภ้ใหญ่” เหอเสวี่ยฉินตาแดงก่ำ “พี่ไม่รู้เื่อะไรก็จับหลิงซานของฉันให้สวี่จือจือตบตีเหรอ?”
“หลิงซานบ้านฉันว่านอนสอนง่ายและรู้ความมาั้แ่เด็ก แม้แต่จะเหยียบมดบนพื้นก็ยังไม่กล้า ถ้าไม่ใช่เพราะถูกรังแกอย่างหนัก จะบีบคั้นให้เด็กดีๆ คนหนึ่งต้องเป็แบบนี้ได้ยังไง?” เหอเสวี่ยฉินปวดใจยิ่งนัก
จ้าวลี่เจวียนกลอกตา
“แน่นอน เสี่ยวอวี่บ้านเราก็เป็เด็กดี” เหอเสวี่ยฉินกล่าว “ฟันคนเรายังกัดปากตัวเองได้เลย นับประสาอะไรกับพี่น้องที่โตมาด้วยกัน”
“บ้านไหนไม่มีลูกบ้าง? เื่เด็กๆ ทะเลาะกันวันนี้ พรุ่งนี้ก็ดีกันไม่ใช่เื่แปลกอะไรเลยไม่ใช่เหรอ? แล้วพี่สะใภ้อย่างเธอจะเข้าไปยุ่งทำไม?”
เหอเสวี่ยฉินกล่าวพร้อมหัวเราะเ็า “ถ้าพูดให้น่าฟังก็คือไปช่วยห้ามปรามไม่ให้น้องสาวทะเลาะกัน ถ้าพูดอย่างไม่น่าฟังก็คือ เธอแค่หาโอกาสแก้แค้น”
“ใช่แล้ว หลิงซานบ้านฉันอาจพูดจาไม่เข้าหูไปบ้าง แต่หล่อนก็ยังเป็เด็ก แค่พูดอะไรไม่ดีไป ทำให้พี่สะใภ้อย่างเธอขุ่นเคือง เธอก็มาบอกฉัน ฉันจะไปสั่งสอนหล่อนเอง”
“ลูกสาวที่ฉันไม่กล้าแตะต้องเลยสักนิ้ว เธอมีสิทธิ์อะไรมาตบตีหล่อน”
“พูดจบแล้วเหรอคะ?” สวี่จือจือมองอีกฝ่ายอย่างเฉยเมย
เหอเสวี่ยฉินถึงกับพูดไม่ออก
“ถูก ลูกสาวของน้าถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี” เมื่อพูดถึงตรงนี้ น้ำตาของเธอก็ไหลออกมาอย่างไม่รักดี “แล้วหนูกับเสี่ยวอวี่ล่ะ พวกเราก็เป็ผู้หญิงเหมือนกัน ทำไมต้องถูกลูกสาวที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีของน้าตบตีด้วย?”
“เสี่ยวอวี่ต้องถูกลูกสาวของน้าคร่อมแล้วตบตีอย่างนั้นเหรอคะ?”
“เด็กๆ เหรอ?” สวี่จือจือหัวเราะเยาะ “หล่อนเจ็ดแปดขวบหรือสิบเอ็ดสิบสองปีกัน?”
อายุสิบหกสิบเจ็ดปีก็จะบรรลุนิติภาวะแล้ว!
“ก็แค่เด็กคนหนึ่ง” สวี่จือจือกล่าวพร้อมหัวเราะเยาะ “ถึงเป็เด็กก็ไม่ควรทำอะไรตามใจชอบ”
“ถ้าพวกเราไปไม่ทัน เสี่ยวอวี่จะเป็ยังไงก็ไม่รู้” สวี่จือจือเงยหน้าขึ้น เช็ดน้ำตาที่ไหลลงมา “หนูหาโอกาสแก้แค้น? ถ้าหนูจะแก้แค้นจริงๆ ตอนนี้น้าคงร้องไห้ไปแล้ว”
ไม่ใช่มายืนทะเลาะกับเธออยู่แบบนี้
เหอเสวี่ยฉินพูดไม่ออกอีกครั้ง
“เธอพูดเก่ง ฉันพูดสู้เธอไม่ได้” เธอก้มหน้าลงร้องไห้สะอึกสะอื้น “ฉันมันก็แค่แม่เลี้ยง ทำดีก็ถูกว่ามีเจตนาแอบแฝง ทำไม่ดีก็ถูกหาว่าใจร้าย”
“เธอเก่ง” เหอเสวี่ยฉินเช็ดน้ำตาพลางหัวเราะ “สมแล้วที่เป็ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทั้งประชาคมชีหลี่ถึงไม่มีใครกล้ายุ่งกับบ้านตระกูลสวี่”
“น้าเหอ” สวี่จือจือเม้มปากพลางหัวเราะ “น้าพูดถูกแล้วค่ะ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ”
ทุกคนงุนงง
เธอพูดต่อ “น้ากำลังพูดถึงหนู แต่กลับโยงไปถึงแม่ของหนู”
“เหมือนกับที่หลิงซานกับเสี่ยวอวี่ทะเลาะกันเมื่อกี้เลยค่ะ” พอพูดถึงตรงนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของสวี่จือจือก็หายไป เธอเหลือบมองลู่หลิงซานอย่างเฉยเมย “หลิงซาน ฉันถามเธอหน่อย เธอว่าเสี่ยวอวี่ขโมยของเธอ แล้วทำไมถึงไปโยงถึงแม่สามีฉันด้วยล่ะ? หล่อนเสียไปตั้งหลายปีแล้ว จะไปขโมยอะไรของเธอได้?”
หลังจากสวี่จือจือถามจบ ในบ้านก็เงียบสงัดไปหลายวินาที
ไม่เพียงแต่คนในตระกูลลู่เท่านั้น แต่ชาวบ้านที่มามุงดูก็ยังไม่มีใครส่งเสียง
พอได้สติทุกคนก็เข้าใจแล้วว่าทำไมสวี่จือจือถึงบอกว่าเหอเสวี่ยฉินพูดถูก ก็ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ นั่นแหละ
จะทะเลาะกันก็ทะเลาะกันไป ทำไมต้องไปลากพ่อแม่คนอื่นมาเกี่ยวด้วย
หวังซิ่วหลิงแม่แท้ๆ ของสวี่จือจือก็ว่าไปอย่าง นั่นขึ้นชื่อในเื่ของความร้ายกาจในประชาคมชีหลี่ ไม่มีใครกล้ายุ่งด้วย แต่กู้ฉิงโหรวไม่เหมือนกัน
คนที่อยู่ในเหตุการณ์ อายุอานามก็มากพอที่จะจำกู้ฉิงโหรวได้
ครูที่โรงเรียนประถมศึกษาของประชาคม เป็ที่รักของเด็กๆ ทุกคน แต่งเข้ามาในหมู่บ้านผานสือของพวกเขา แล้วก็ปฏิบัติต่อเพื่อนบ้านอย่างสุภาพ เป็ผู้หญิงที่อ่อนโยนเรียบร้อย แต่กลับต้องมาจบชีวิตลงในวัยที่กำลังงดงามที่สุด
ตอนนี้เมื่อนึกถึงก็เสียดายกันไม่น้อย เธอจะไปขโมยของใครได้ยังไง?
เหอเสวี่ยฉินหน้าเสียเล็กน้อย คำพูดพวกนี้เป็คำพูดที่เธอเอาไปด่ากู้ฉิงโหรวเป็การส่วนตัว แล้วลู่หลิงซานก็ดันได้ยินเข้า แต่ด้วยความสามารถทางการแสดงของเธอที่สั่งสมมาหลายปี เธอก็สามารถควบคุมสีหน้าของตัวเองได้ในทันที “พวกเธอคงฟังผิดไปแล้ว หลิงซานบ้านฉันถึงแม้จะไม่เคยเจอพี่โหรว แต่เธอก็เคารพหล่อนมาโดยตลอด เธอไม่มีทางพูดอะไรแบบนั้นออกมาแน่นอน พวกเธอต้องฟังผิดไปแน่ๆ”
เธอหันไปมองสวี่จือจือ “ฉันรู้ว่าเธอไม่พอใจที่มีแม่สามีคอยกดขี่ ั้แ่เธอแต่งงานเข้ามา เธอเอาฉันไปขังไว้ในห้องใต้ดิน ทำให้ฉันอับอาย แล้วตอนนี้...” เธอเอามือปิดปากแล้วร้องไห้ “ตอนนี้เธอยังมาใส่ร้ายหลิงซานอีก”
“เธอทำให้ชื่อเสียงของหล่อนเสียหาย แบบนี้ก็เหมือนฆ่าหล่อนให้ตายทั้งเป็” เหอเสวี่ยฉินร้องไห้อย่างน่าสงสาร “แล้วหล่อนจะหาคนแต่งงานได้ยังไง?”
ใช่แล้ว ผู้หญิงแบบนี้ ใครจะกล้าแต่งเข้าบ้านกัน? อย่างน้อยบ้านพวกเขาก็ไม่กล้ารับผู้หญิงแบบนี้แน่นอน
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะมองสวี่จือจือด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป แถมยังคิดถึงเื่ที่เหอเสวี่ยฉินถูกหาเจอในห้องใต้ดินวันนั้น ตอนนั้นอีกฝ่ายก็บอกว่าสวี่จือจือเป็คนทำร้าย
ตอนนั้นทุกคนคิดว่าเธอเป็สะใภ้ใหม่ที่เพิ่งแต่งเข้าบ้าน จะไปมีเื่บาดหมาง ทำเื่พวกนั้นได้ยังไง?
ถ้าหากว่าล่ะ?
หวังซิ่วหลิงก็ไม่ต่างกัน ตอนที่เพิ่งแต่งเข้าบ้านตระกูลสวี่ก็ไล่สองผัวเมียเฒ่าของบ้านตระกูลสวี่ออกไปจากบ้านไปนอนในเพิงหญ้าผุพัง
จุ๊ๆ...
ตอนแรกคุณนายลู่บอกว่าการแต่งงานครั้งนี้รีบร้อนเกินไป ล่าสัตว์ทั้งวันสุดท้ายกลับถูกเหยี่ยวจิกตา!
ไม่นึกว่าลู่จิ่งซานจะได้ภรรยาที่ร้ายกาจขนาดนี้ ต่อไปชีวิตของบ้านตระกูลลู่คงต้องวุ่นวายน่าดู แถมลู่จิ่งซานก็เป็คนดีๆ คนหนึ่งที่หาได้ยากในประชาคมชีหลี่ แต่กลับได้ภรรยาที่เ้าเล่ห์แบบนี้ น่าเสียดายจริงๆ!
“ไม่ใช่แบบนั้นนะคะ” จู่ๆ ลู่ซื่ออวี่ที่หลบอยู่ข้างกำแพงก็ชี้หน้าลู่หลิงซานด้วยความโมโห “เธอมาด่าหนู บอกว่าหนูขโมยของ แถมยังด่าแม่ของหนู บอกว่าหนูกับแม่เป็ขโมยเหมือนกัน”
“และบอกว่าพวกเรามันหน้าไม่อาย”
!!!
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้