หลังจากผ่านการยืนยันตัวตนอันแสนวุ่นวายไปแล้ว เกาจิ้งก็พาฉินซีมายังห้องทำงานของตัวเอง
“เชิญนั่งครับ” เกาจิ้งไม่ได้ถือตัว เขามีมารยาทมาก แม้ฉินซีจะไม่มีอะไรโดดเด่นไปนอกจากหน้าตา เขาก็ยังแสดงความเคารพแก่ฉินซีในอย่างที่ควรจะเป็
หลังจากเลขาถามความเห็นของฉินซีอย่างคุ้นชินแล้ว เธอก็ชงกาแฟเข้ามาเสิร์ฟให้
ฉินซีจำได้ว่าที่บริษัทเฉินซีฟื้นกลับมาได้อีกครั้งนั้น เป็เื่ที่เกิดขึ้นหลังจากที่เกาจิ้งกลับตระกูลไป และบังเอิญได้เจอกับนักพัฒนาเทคโนโลยีด้านเกมที่ต่างประเทศ เกาจิ้งใช้เงินจำนวนมากเชิญเขามายังบริษัท หลังจากนั้นก็ได้จ้างผู้บริหารระดับสูงเข้ามาอีก 2 คน ผ่านการแนะนำจากคนอื่น ผู้บริหารทั้งสองมีขั้นตอนและความสามารถในการจัดการมาก หลังจากนั้นพนักงานทั้งระดับสูงต่ำในบริษัทเฉินซีต่างก็เต็มไปด้วยความพยายาม นั่นจึงสามารถพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ออกมาอย่างราบรื่นไม่น้อย เกมที่ปล่อยออกมาติดต่อกันในภายหลังก็ได้รับคำชื่นชมเป็เสียงเดียวกัน
ตอนนี้เท่ากับว่าฉินซีรู้ปัญหาของบริษัทเฉินซีอยู่ก่อนแล้ว เทคโนโลยีล้าหลัง การจัดการวุ่นวาย ความไม่แน่นอนทำให้พนักงานในบริษัทเองก็ถูกปล่อยปละละเลยจนไม่ใส่ใจและไม่มีไฟในการทำงาน แค่ลองคิดดูก็รู้แล้วว่าบริษัทแบบนี้ไม่อาจจะดีอะไรได้
“ท่านประธานเกาเคยมีความคิดจะปล่อยเกมออนไลน์ 3D เป็เ้าแรกของตลาดเกมบ้างไหมครับ?” ฉินซีเองก็ไม่ได้จะปิดบังอะไร เขาถามออกมาอย่างเปิดเผย
เมื่อเกาจิ้งได้ยินฉินซีถามเช่นนี้ ก็ประเมินระดับของฉินซีสูงขึ้นอีก ตอนนี้ภายในประเทศยังไม่มีเทคโนโลยี 3D ในระดับสากล บางบริษัทยอมควักเงินจำนวนมากไปซื้อเทคโนโลยีจากต่างประเทศ แต่หลังจากซื้อมาแล้ว ตัวเองก็ไม่มีความสามารถพอจะพัฒนาต่อ ดังนั้นตอนนี้ตลาดเกมจึงเข้าสู่สถานะหยุดนิ่ง ในขณะนี้เองก็เป็เวลาที่ทุกคนต่างเฝ้ารอคอยเกมที่ดีๆ กันอย่างจดจ่อเช่นกัน เนื่องจากตอนนี้ประเทศจีนเจริญรุ่งเรืองขึ้นแล้ว คนจำนวนไม่น้อยซื้อคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือมา ยามว่างย่อมต้องอยากเล่นเกมสนุกๆ สักเกม ตอนนี้ตลาดในประเทศจีนต่างก็ถูกบริษัทที่มีชื่อเสียงอย่างพวกเป้าเซวี่ยยึดครองพื้นที่ไปหมด บริษัทของเกาจิ้งขาดแคลนกำลังในการแข่งขัน มีเกมที่พอจะใช้ได้อยู่แค่เกมเดียว แล้วมันจะรองรับให้พวกเขาเดินไปต่อได้นานแค่ไหนกัน? คนที่ไม่ได้ติดตามตลาดเกมไม่น่าจะรู้จักเกม 3D เมื่อตอนนี้ฉินซีพูดถึง ก็นับว่าเขามองเห็นปัญหาของบริษัทออก
“ใครก็ต้องอยากเป็คนแรกกันทั้งนั้น แต่ตอนนี้คุณเห็นใครปล่อยเกม 3D ออกมาแล้วบ้างล่ะ? ก่อนหน้านี้เป็ที่พูดถึงกันอย่างมากมาย น่าเสียดายที่ขาดเทคโนโลยีทางด้านนี้ไป” เกาจิ้งตอบกลับฉินซีไปอย่างราบเรียบ
“ท่านประธานกำลังลำบากตรงที่หาคนถนัดทางด้านนี้ไม่ได้ใช่ไหมครับ?” ฉินซีถามอีกประโยค
“ใช่” เกาจิ้งนิ่งไป ก่อนจะมองฉินซีด้วยรอยยิ้ม “หรือคุณจะบอกว่า คุณคือคนที่มีความสามารถทางด้านนี้?”
ฉินซีส่ายหน้า “แน่นอนว่าไม่ใช่ ผมไม่เคยเรียนทางด้านการพัฒนาเกมมาก่อนเลยครับ”
เกาจิ้งรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “คุณ้าจะบอกอะไรกับผมกันแน่?”
“ถ้าผมให้ช่องทางการติดต่อของคนต่างประเทศที่มีความสามารถในการพัฒนาทางด้านนี้ให้คุณได้ล่ะครับ?”
เกาจิ้งเลิกคิ้ว “เขาสามารถพัฒนาได้ถึงระดับไหน?”
“เขาเข้าใจเทคโนโลยี 3D เป็อย่างดี สามารถนำทีมให้พัฒนาเกม 3D ได้สำเร็จแน่นอนครับ เขามีประสบการณ์ทางด้านนี้มาก่อน และเคยทำงานกับบริษัทเจี๋ยซวิ้นที่มีชื่อเสียงของประเทศสหรัฐอเมริกามาก่อนด้วย” ฉินซีแนะนำอย่างไม่รีบไม่ร้อน
ดวงตาของเกาจิ้งอดเปล่งประกายขึ้นมาไม่ได้ เขาเกิดความสนใจขึ้นมาแล้ว “ตามที่คุณพูด เขาน่าจะถูกบริษัทมากมายแย่งตัว เขามีอนาคตที่ดีในการทำงานอยู่ต่างประเทศขนาดนั้น แล้วเขาจะยอมมาประเทศจีนเหรอ?”
ฉินซีเลิกคิ้วขึ้น “แต่เขาเป็คนจีนที่ไปอยู่ต่างประเทศนะครับ”
“เพียงแค่นี้ก็สามารถทำให้เขากลับมาที่ประเทศจีนได้แล้ว?” เกาจิ้งถามต่ออย่างอดไม่ได้ ในใจของเขาไม่ค่อยรู้สึกเชื่อถือนัก
“แน่นอนครับ เขาเพิ่งจะลาออกจากเจี๋ยซวิ้นเกม และยังอยู่ใน่เวลาที่ไม่แน่ไม่นอน ถ้าในตอนนี้มีบริษัทเกมที่มีอนาคตยื่นข้อเสนอให้ เขาจะต้องยินดีกลับประเทศแน่ เพราะถึงอย่างไรครอบครัวของเขาก็อยู่ในประเทศกันหมด”
“คุณเองก็พูดออกมาแล้ว จะต้องเป็บริษัทที่มีอนาคตมากๆ ถึงจะสามารถทำได้...” เกาจิ้งรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แม้เขาจะเป็ประธานบริษัทของเฉินซี แต่ก็รู้ดีว่าบริษัทในการดูแลของเขามีอนาคตหรือไม่
“ตอนที่ยังไม่ได้มาบริษัท ผมได้ยินว่าเฉินซีกำลังพัฒนาเกมออนไลน์แฟนตาซี 3D อยู่ใช่ไหมครับ? ผมคิดว่าเกมนี้จะต้องดึงดูดคนได้มากแน่ๆ” ฉินซีพูดพลางกะพริบตาปริบๆ ความจริงแล้วเขาเพียงคิดขึ้นเองตามการคาดเดาจากความทรงจำเมื่อชาติก่อนเท่านั้น
หนังตาของเกาจิ้งกระตุกขึ้นแรงๆ “คุณ… ใช่แล้ว พวกเรามีแผนการนี้จริง แต่ว่าถูกหยุดเอาไว้ด้วยปัญหาทางเทคโนโลยี เงินลงทุนที่ใช้ไปแล้วก็ไม่สามารถเอาคืนกลับมาได้”
“ดังนั้นมันก็ไม่ได้พอดีเลยเหรอครับ? เขา้าหนทางในการกลับประเทศ และคุณก็้าเทคโนโลยี” ฉินซีขยับโทรศัพท์มือถือในมือเล่น “ช่องทางการติดต่อเขาอยู่ในโทรศัพท์มือถือของผม ถ้าท่านประธานเกา้า ผมก็ให้ได้ตลอดเวลา”
ในที่สุดเกาจิ้งก็พ่ายแพ้แก่คำเชิญชวนของฉินซี เขาไม่อยากให้บริษัทเฉินซีล่มลงไปแบบนี้ เขามอบแรงกายแรงใจกับมันไปมาก แล้วเขาจะสามารถทนกลับตระกูลไปอย่างน่าสมเพชได้อย่างไร ที่เขาดิ้นรนมานานขนาดนี้ก็ไม่ใช่เพื่อทำให้บริษัทเฉินซีเปล่งประกายขึ้นด้วยมือของเขาในวันหนึ่งเหรอ? อย่างไรตอนนี้ก็มีโอกาสวางอยู่ตรงหน้าแล้ว...
“ก็ได้ เอาช่องทางการติดต่อมาให้ผม แล้วคุณ้าอะไร?”
ฉินซีเองก็ไม่ได้เล่นตัว เพียงพูดออกมาตรงๆ “ผมมีความ้าเพียงอย่างเดียว หลังจากนี้คุณต้องเชิญผมมาเป็แบรนด์แอมบาสเดอร์[1] ของบริษัทเฉินซี”
“อะไรนะ?” เกาจิ้งนิ่งไป เนื่องจากตอบสนองไม่ทัน
ฉินซีอธิบายซ้ำอีกครั้ง เกาจิ้งคิดวิเคราะห์สักพักก่อนจะเข้าใจ “หลังจากนี้คุณ้าให้เราเชิญคุณมาเป็แบรนด์แอมบาสเดอร์ให้เราตลอดเหรอ?”
“ใช่ครับ มันไม่น่าจะมีปัญหาอะไรใช่ไหม?” ฉินซีไม่ใช่แม่พระ เมื่อมีหนทางหาผลประโยชน์ ก็ต้องคว้ามันไว้ในมือให้แน่น
แม้เกาจิ้งจะไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่เป็พนักงานประชาสัมพันธ์คนหนึ่งอย่างฉินซีถึงเสนอคำขอแบบนี้ แต่เพื่อช่องทางการติดต่อ เกาจิ้งพิจารณาอย่างหนักสักครู่ ก่อนจะตอบรับ “ไม่มีปัญหา ถ้าคุณไม่วางใจละก็ พวกเราสามารถเซ็นสัญญาข้อตกลงร่วมกันได้” เกาจิ้งเป็คนที่มีความยุติธรรมในด้านนี้มาก หลังจากตอบตกลงแล้ว เขาก็อดพิจารณาใบหน้าของฉินซีไม่ได้ ในใจของเขาคิดขึ้น หน้าตางดงามแบบนี้ ก็ไม่แปลกใจว่าทำไมถึงอยากเป็แบรนด์แอมบาสเดอร์
ระยะเวลาในการพัฒนาเกมไม่ใช่สั้นๆ ในตอนนั้นกระบี่เย้ยยุทธจักรน่าจะออกอากาศแล้ว ฉินซีจึงส่งยิ้มให้เกาจิ้ง “วางใจเถอะครับ การที่ได้ผมมาเป็แบรนด์แอมบาสเดอร์ให้ บริษัทของคุณย่อมไม่มีทางขาดทุนแน่”
เกาจิ้งเพียงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจนัก เขาไม่ได้คิดอะไรกับคำพูดนี้ของฉินซี
แต่ฉินซีเชื่อมั่นในตัวเองมากว่า หลังจากกระบี่เย้ยยุทธจักรออกอากาศ ตัวเขาจะต้องโด่งดังขึ้นมาบ้าง สำหรับคนที่ได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งอย่างเขา หากว่าข้อดีนี้ยังไม่มี นั่นก็หมายความว่าระดับของเขาต่ำเกินไปแล้ว!
เมื่อเกาจิ้งบอกว่าจะทำเขาก็ทำ เขาเรียกเลขามาจัดการทำสัญญาแบรนด์แอมบาสเดอร์อย่างรวดเร็ว เมื่อทั้งสองเซ็นสัญญาร่วมกันแล้ว ฉินซีก็นำช่องทางการติดต่อให้เกาจิ้งทันที นอกจากนี้เขายังแนะนำนักเทคโนโลยีในประเทศให้เกาจิ้งไปอีกเล็กน้อย ความจริงช่องทางการติดต่อเหล่านี้ต่างก็เป็ของชาติก่อน และฉินซีบังเอิญได้รู้มาตอนเป็แบรนด์แอมบาสเดอร์ของเกมเกมหนึ่ง เพียงแต่ถ้าเบอร์ไหนติดต่อไม่ได้ก็ช่างมัน อย่างไรภายในร้อยก็จะต้องมีสักเก้าสิบที่บังเอิญสำเร็จ!
ในใจของเกาจิ้งเกิดความสงสัยขึ้นว่า ทำไมฉินซีถึงรู้จักคนในวงการมากกว่าเขาเสียอีก แต่ก็ไม่ได้ถามออกมา เขาจดจำช่องทางการติดต่อเหล่านี้เอาไว้อย่างละเอียด รวมทั้งนิสัยความชอบของแต่ละคน และความถนัดในแต่ละด้านเอาไว้ด้วย เกาจิ้งไม่ได้พูดพร่ำทำเพลง ก็จัดการทำเื่เหล่านี้จนเสร็จสมบูรณ์ด้วยตัวเอง
ฉินซีพูดจนคอแห้ง จึงยกแก้วกาแฟขึ้นมาดื่ม เมื่อเขาวางแก้วกาแฟลง โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้นพอดี ฉินซีหยิบโทรศัพท์ดู ก่อนจะพบว่าเป็สายจากเฉินเจวี๋ย ฉินซีนิ่งไปสักพัก ก่อนจะส่งยิ้มอย่างเกรงใจไปให้เกาจิ้ง และลุกขึ้นเดินออกมารับสายข้างหน้าต่างบานใหญ่
“รับละครเื่ใหม่ไปแล้วหรือยัง?” น้ำเสียงของเฉินเจวี๋ยดังขึ้นจากอีกฝั่ง เห็นได้ชัดว่าเป็คำพูดแสดงความห่วงใย แต่น้ำเสียงของเขากลับไม่ได้มีความใส่ใจแม้แต่น้อย
ฉินซียิ้มแห้งๆอย่างช่วยไม่ได้ “คุณเฉินครับ คนหน้าใหม่ตัวเล็กๆ อย่างผมไม่ได้มีงานเข้ามาง่ายๆ พอว่างขึ้นมาก็เกรงว่าจะไม่มีข้าวทานไปหลายเดือนเลยล่ะครับ” ฉินซีแค่อยากจะทำตัวอ่อนแอต่อหน้าเฉินเจวี๋ยเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าเฉินเจวี๋ยที่ปลายสายจะฟังคำพูดของเขาจริงๆ เสียอย่างนั้น ทั้งยังเป็ฝ่ายถามเขาอีก “ฉันมีละครอยู่เื่หนึ่ง ว่ายังไง? คุณชายฉินยินดีจะมาลองสักหน่อยไหม?”
ฉินซีถึงกับตกตะลึงไป ด้วยคิดไม่ถึงว่าหลังจากเฉินเจวี๋ยจัดการงานเรียบร้อยแล้วจะนึกถึงเขา และยิ่งคิดไม่ถึงว่าเฉินเจวี๋ยจะล้อเขาเล่นแบบนี้
“คุณเฉินอย่ามาล้อผมเล่น...”
เฉินเจวี๋ยพูดขัดขึ้น “ไม่ได้ล้อเล่น” น้ำเสียงของเขากดต่ำลงไม่น้อย มันนิ่งเรียบอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับมอบความรู้สึกปลอดภัยให้แก่ผู้คน และดูควรค่าแก่การเชื่อถือ
ฉินซีคลี่ยิ้มบางๆ ก่อนพูดไปตามคำพูดของเฉินเจวี๋ย “ถ้าแบบนั้นก็รบกวนคุณเฉินบอกผมหน่อยว่ามันคือละครแบบไหนหรือครับ?”
“ละครโทรทัศน์ที่ทำมาจากการ์ตูน”
“ทำมาจากการ์ตูน? ปรับมาจากการ์ตูนเื่ไหนเหรอครับ?” ฉินซีประหลาดใจขึ้นมา เมื่อชาติก่อนเขาไม่เคยัักับเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน
“ได้ยินผู้ช่วยบอกว่ามันโด่งดังมาก ชื่อว่า...” เฉินเจวี๋ยพึมพำกับตัวเองหลายวินาที “ตำนานยุคฉิน”
ตำนานยุคฉิน?! หัวใจของฉินซีเต้นระรัวเร็วขึ้นอีกหลายระดับ แฟนคลับของตำนานยุคฉินมีมากมาย! ตอนที่ถูกทำเป็อนิเมชั่นฉายทางโทรทัศน์ก็สามารถสะสมแฟนคลับจำนวนมากได้ในเวลาอันรวดเร็วด้วยสไตล์ลายเส้นที่มีเอกลักษณ์และเื่ราวเื้ัที่โดดเด่น หลังจากฉายออกมาหลายตอนก็เป็กระแสไปทั่วประเทศจีน เมื่อชาติที่แล้ว ฉินซีก็ได้ยินว่าถูกนำไปทำเป็ละครโทรทัศน์มาก่อน แต่ตอนนั้นบริษัทที่ซื้อลิขสิทธิ์ไปเลือกนักแสดงหน้าใหม่ในสังกัดของตัวเองเป็หลัก ทำให้การคัดเลือกตัวละครล้มเหลว หลังจากปล่อยออกอากาศก็ถูกตำหนิมาไม่ได้ และกลายเป็ผลงานที่ล้มเหลวชิ้นหนึ่ง ทว่าก็ยังสามารถทำเงินได้ไม่น้อยจากความโด่งดังนี้
ฉินซีเริ่มจะใจสั่น ละครโทรทัศน์ที่อาศัยชื่อเสียงจากต้นฉบับแบบนี้มั่นคงมาก เพียงแค่ได้แสดง โดยพื้นฐานก็เป็การลงทุนที่ไม่เสียกำไรแน่นอน ดังนั้นฉินซีจึงไม่มีทางปล่อยผ่านไป
“ขอบคุณที่คุณเฉินมาบอกโอกาสดีๆ แบบนี้ให้กับผมนะครับ แล้วคุณเฉินว่างเมื่อไรครับ? ให้ผมเลี้ยงข้าวคุณสักมื้อจะดีไหม?” เมื่อฉินซีพูดจบ ในใจของเขาก็เกิดความลังเล คนที่ยุ่งมากอย่างเฉินเจวี๋ยจะมีเวลามาทานข้าวกับเขาไหม?
เฉินเจวี๋ยไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เพียงพลิกดูตารางเวลาของตัวเอง “วันหยุดสุดสัปดาห์นี้ก็แล้วกัน นายมาหาฉันที่โรงแรมเถิงหวาเลยก็ได้”
ฉินซีใจนสะดุ้ง คิดไม่ถึงว่าเฉินเจวี๋ยจะพูดแบบนี้ เขาจึงส่งเสียงลังเลออกมา “นี่… นี่จะไม่ค่อยดีหรือเปล่าครับ?”
เฉินเจวี๋ยตัดหนทางถอยของเขาอย่างเยือกเย็น “ก็เพื่อเลี่ยงไม่ให้เป็อย่างครั้งก่อนอีก”
เมื่อพูดไปถึงครั้งที่กองถ่าย ฉินซีก็รู้สึกผิดขึ้นมาอย่างประหลาด จึงหดคอเข้ามาอย่างไม่รู้ตัว “อ่า... แบบนั้นก็ได้ครับ”
เมื่อเฉินเจวี๋ยพูดธุระเสร็จ ก็วางสายไปอย่างไม่ลังเล ฉินซีจับโทรศัพท์มือถือไว้แล้วกลับไปยังที่นั่ง เกาจิ้งส่งยิ้มให้เขา “เมื่อครู่ผมติดต่อไปยังนักเทคโนโลยีที่ต่างประเทศคนนั้นแล้ว ผมจะไปต่างประเทศเพื่อพบเขาเสียหน่อย ครั้งนี้ต้องขอบคุณคุณมาก” เพราะฉินซีมีความ้าจากตัวเขา ดังนั้นเกาจิ้งจึงวางใจ
ฉินซีเข้าใจความคิดของอีกฝ่ายดี จึงยิ้มออกมา “ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ ทุกฝ่ายต่างก็ได้สิ่งที่ตัวเอง้ากันทั้งนั้น อืม… ถ้าอย่างนั้น ผมไปรายงานตัวกับผู้จัดการหลี่ก่อนนะครับ” ฉินซีนึกถึงหลี่ซิงิที่ถูกตัวเองลืมไปขึ้นมาได้
เกาจิ้งหัวเราะออกมา ก่อนจะลุกขึ้นส่งฉินซี “ทำงานประชาสัมพันธ์ดีๆ ล่ะ”
“อ้อ ใช่แล้ว ผมต้องบอกกับท่านประธานเกาเสียหน่อย คุณพี่สาวที่เคาน์เตอร์ด้านหน้าควรเพิ่มความใส่ใจในการบริการนะครับ แค่หน้าบริษัทก็เป็แบบนี้แล้ว จะมีภาพลักษณ์ที่ดีในสายคนอื่นได้ยังไงล่ะครับ?” แล้วบริษัทนี้จะทำให้ดีได้ยังไง? ฉินซีกลืนประโยคหลังลงท้องไปเงียบๆ
สีหน้าของเกาจิ้งพลันหมองลง “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะครับ ผมจะไปจัดการให้เรียบร้อย”
“ไว้พบกันนะครับ ท่านประธานเกา” ฉินซีหมุนตัวเดินจากไป ตอนนี้จะไปทำงานที่ประชาสัมพันธ์หรือไม่ ความจริงมันก็ไม่ได้มีอะไรต้องไปสนใจแล้ว หลังจากผ่านเื่ครั้งนี้ไป ฉินซีรู้สึกว่าตัวเองได้เผยด้านใหม่ขึ้นมาแล้ว ต่อจากนี้เขาน่าจะมีเื่ให้ทำอีกมาก
……
[1] แบรนด์แอมบาสเดอร์ (Brand Ambassador) หมายถึง ทูตของแบรนด์นั้นๆ มีหน้าที่ในการส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์