หลังจากฉินซีออกมาจากกองถ่ายกระบี่เย้ยยุทธจักร ก็ได้เข้าสู่่เวลาว่างไม่มีอะไรทำ เขาไม่มีทั้งบริษัทจัดการอย่างเป็ทางการ และผู้จัดการส่วนตัว ต้องจัดการทุกเื่ด้วยตนเองคนเดียว แม้จะมีความสามารถหรือประสบการณ์มากแค่ไหน แต่ก็คงไม่อาจอาศัยสถานะมือใหม่ไปหาถ่ายทำละครเื่ที่สองได้ อย่างไรก็คงไม่มีผู้กำกับที่ทะเยอทะยาน ทั้งยังไม่ใส่ใจว่าจะเป็หน้าใหม่หรือไม่อย่างสวี่เทามาเห็นแววเข้าอีก
ต้องหาคนกลางมาเป็นายหน้าให้เขา และพาเขาเข้าไปยังกองถ่ายเื่ใหม่
ยังไม่รอให้ฉินซีหานายหน้าได้ โทรศัพท์สายหนึ่งก็โทรเข้ามาโดยที่เขาไม่คาดคิด
หลังจากฉินซีเข้ามหาวิทยาลัยก็ติดต่อกับฉินหลี่หง พ่อของตัวเองน้อยมาก ใน่วันหยุดเขามักจะชอบกลับไปอยู่กับเมิ่งหลิง เล่นอยู่ประมาณ 10-15 วันก็กลับมามหาวิทยาลัย ทำให้ความสัมพันธ์ฉันพ่อลูกระหว่างเขาและฉินหลี่หงนับวันก็ยิ่งห่างเหิน ตอนนี้เขาใกล้จะจบการศึกษาแล้ว ทว่าฉินซีก็ยังไม่ได้พูดเื่งานกับฉินหลี่หงเลย
การที่ฉินหลี่หงเป็ฝ่ายติดต่อมาทำให้ฉินซีค่อนข้างประหลาดใจ
“ฉันหาบริษัทเกมให้แกไปเป็ประชาสัมพันธ์ให้แล้ว แกไปฝึกงานที่บริษัทได้เลย” ฉินหลี่หงพูดขึ้นตรงประเด็น
ฉินซีมึนงงไปเล็กน้อย “ฝึกงานที่บริษัทเหรอครับ?”
“ทำไมล่ะ? แม่แกหาที่ฝึกงานไว้ให้แล้ว? หรือแกหาได้เองแล้วล่ะ?” น้ำเสียงของฉินหลี่หงไม่พอใจเท่าไร เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ชอบท่าทางเป็คนอื่นคนไกลของฉินซี
ฉินหลี่หงมักจะยึดความคิดตัวเองเป็หลักอยู่เสมอ ฉินซีชินกับน้ำเสียงแบบนี้แล้ว จึงไม่ได้ขุ่นเคืองอะไร “ไม่ใช่แบบนั้นครับ...” เขาตอบกลับไปพร้อมไตร่ตรองในสิ่งที่ได้ยิน
การจะได้ไปถ่ายทำละครอีกครั้งใน่เวลาสั้นๆ ย่อมเป็ไปได้ยาก ถึงอย่างไรก็ได้ถ่ายทำละครเื่กระบี่เย้ยยุทธจักรมาก่อนแล้ว หากจะไปรับพวกงานตัวประกอบผ่านฉากวันละสิบกว่าหยวนก็คงไม่เหมาะนัก แต่เขาก็ไม่อาจนั่งๆ นอนๆ อยู่ที่หอพักเฉยๆ ได้ ค่ากินค่าอยู่ต่างก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น เมื่อคิดไปแล้ว การไปทำงานที่บริษัทสัก่หนึ่งก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ อีกทั้งยังไม่อยากบอกคนที่บ้านให้รู้ว่าเขากำลังเตรียมตัวเข้าวงการบันเทิงในเร็วๆ นี้ด้วย ดังนั้นเขายังต้องหางานทำเพื่อปิดบังไปก่อน
หลังจากตัดสินใจแล้ว ก็ตอบรับฉินหลี่หงอย่างเรียบเฉย
ฉินหลี่หงได้รับคำตอบเช่นนั้นก็พอใจ และกำชับเื่ที่จำเป็ต้องระวังเวลาเข้าสังคมกับฉินซีเล็กน้อย ก่อนจะวางสาย ฉินหลี่หงได้ถามเขาด้วยน้ำเสียงลังเล “ถ้าแกไปทำงานก็จะต้องย้ายออกจากมหาวิทยาลัยแล้ว ถ้าเกิดว่าเงินที่มีอยู่ไม่พอ ฉันจะช่วยเื่ค่าเช่าที่พักในปีแรกให้”
ฉินหลี่หงไม่รู้ว่าฉินซีอาศัยเงินจากงานพิเศษย้ายออกมาอยู่ข้างนอกตั้งนานแล้ว
ตอนนี้หากมีเงินถูกส่งเข้ามาแบ่งเบาภาระ แน่นอนว่าฉินซีย่อมไม่มีทางปฏิเสธ หลังจากตกลงกันเสร็จสิ้น ฉินซีก็เพียงต้องเตรียมตัวไปรายงานตัวที่บริษัทเกมแห่งนั้นในวันต่อมาก็พอ
หลังจากวางสายไป ฉินหลี่หงก็ส่งข้อความมาหาฉินซี ในข้อความนั้นเขียนเบอร์ติดต่อ ที่อยู่ของบริษัทเกม รวมไปถึงชื่อของบริษัทนั้น
“เฉินซี?” เมื่อเห็นชื่อบริษัทก็รู้สึกคุ้นหูอย่างน่าประหลาด
เคยได้ยินมาก่อนในชาติที่แล้วเหรอ?
ฉินซีวางโทรศัพท์ลง จู่ๆ ความคิดหนึ่งก็แล่นวาบเข้ามาในสมอง เขานึกออกแล้ว!
เฉินซีเกม นั่นไม่ใช่ชื่อบริษัทเกมที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกเมื่อชาติก่อนเหรอ? บริษัทแห่งนี้เผยแพร่เกมที่มีชื่อเสียง ทั้งยังมีสาขาที่ต่างประเทศอยู่ไม่น้อย เมื่อพูดถึงขึ้นมาแล้ว นี่ก็ถือว่าเป็อันดับต้นๆ ของวงการเลยทีเดียว!
แต่พ่อของเขาไปรู้จักกับคนระดับนี้ได้อย่างไร? ทั้งยังสามารถส่งเขาเข้าไปในบริษัทเกมชื่อดังขนาดนี้ได้อีก?
ฉินซีหลับไปพร้อมกับความสงสัยที่สุมอก ในเช้าวันต่อมา ก็จัดการตัวเองเล็กน้อย แล้วนำแฟ้มผลงานติดตัวขึ้นรถไปตามเส้นทางที่ดูไว้เมื่อวาน
เวลาก่อนสิบโมงเช้า ก็มาถึงหน้าประตูของบริษัทเฉินซีอย่างราบรื่น
แต่เมื่อได้เห็นประตูทางเข้าของบริษัทเฉินซี ฉินซีก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าเป็บริษัทใหญ่ที่มีชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศหรอกเหรอ? ทำไมถึงยังเช่าตึกออฟฟิศสองชั้นทำงานอยู่อีก? เมื่อมองประตูใหญ่นี้อีกครั้ง มันก็มีเอกลักษณ์ของบริษัทเกมอยู่เล็กน้อย ทว่ากลับไม่ได้หรูหราหรือทรงอำนาจเลยแม้แต่น้อย!
ฉินซีอดสงสัยไม่ได้ว่าบริษัทนี้เพียงบังเอิญชื่อเดียวกับบริษัทนั้นเฉยๆ หรือเปล่า? นี่มันไม่ถูกต้อง! ชื่อของบริษัทล้วนมีการจดทะเบียนไว้ แล้วจะไปชื่อซ้ำกันได้อย่างไร?
ฉินซีเดินเข้าไปด้วยความมึนงง เด็กสาวที่เคาน์เตอร์ด้านหน้าเงยหน้ามองเขาเล็กน้อย “มาหาใครหรือคะ?”
ฉินซีไม่ค่อยชอบใจสายตาของอีกฝ่ายนัก มันแสดงถึงความไม่ใส่ใจอย่างเห็นได้ชัด ฉินซีขมวดคิ้วเข้าหากัน เขาคร้านจะไปใส่ใจคิดมากกับคนแบบนี้ “ผมมาหาผู้จัดการหลี่ซิงิครับ”
“ได้นัดเอาไว้หรือเปล่าคะ?” เด็กสาวก้มหน้าดูโทรศัพท์มือถือ ท่าทางของเธอยิ่งดูไม่ใส่ใจมากขึ้นไปอีก
ฉินซีเริ่มจะไม่พอใจขึ้นมาแล้ว เป็พนักงานต้อนรับหน้าของบริษัทแต่กลับมีท่าทางแบบนี้ นี่จะสร้างภาพลักษณ์ดีๆ หรือจะเรียกให้คนมาด่าบริษัทกันแน่?
ฉินซีไม่อยากสนทนากับเธออีก จึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาผู้จัดการหลี่ซิงิโดยตรง “สวัสดีครับผู้จัดการหลี่ ผมฉินซีนะครับ ตอนนี้ผมมาถึงบริษัทแล้วครับ”
เมื่อคืนก่อนเขาติดต่อหาหลี่ซิงิแล้ว ดังนั้นเมื่อตอนนี้เขาโทรไป หลี่ซิงิจึงพูดจาไว้หน้าเขาเป็อย่างมาก “ถ้าอย่างนั้นรอเดี๋ยวนะ ฉันจะลงไปรับ”
ฉินซีวางสายโทรศัพท์และยืนรออยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่าเด็กสาวคนนั้นสมองมีปัญหาหรือเป็อะไรไป อยู่ๆ เธอก็เงยหน้าขึ้นและถามด้วยน้ำเสียงรำคาญใจ “ฉันถามอยู่นะ นัดไว้หรือเปล่า? ถ้าไม่ได้นัดไว้ก็เข้าไม่ได้นะคะ!”
เด็กสาวเพิ่งจะพูดจบ ชายวัยกลางคนคนหนึ่งก็ก้าวเดินไวๆ เข้ามาพูดพร้อมรอยยิ้มเป็กันเอง “ฉินซีใช่ไหม? ได้ยินพ่อเธอพูดถึงตลอดเลย มาสิ เข้ามากับฉัน”
เมื่อเด็กสาวหันไปมอง นั่นไม่ใช่ผู้จัดการหลี่หรอกเหรอ? สีหน้าของเด็กสาวพลันแดงก่ำ รีบเก็บโทรศัพท์มือถือลงไปแทบไม่ทัน
หลี่ซิงิไม่ได้สังเกตการกระทำของเธอ และพาตัวฉินซีเข้าไปด้านในทันที
“เดี๋ยวฉันจะพาไปพบกับหัวหน้าแผนกของพวกเธอก่อนนะ คนที่ทำงานแผนกประชาสัมพันธ์มีไม่เยอะ ก็เลยไม่ได้ตั้งแผนกเป็ของตัวเอง เข้ามาเถอะ” หลี่ซิงิเดินผ่านเข้าไปในห้องประชุมเล็กๆ ห้องหนึ่ง “เธอนั่งรออยู่ที่นี่สักพักก่อนนะ” หลี่ซิงิจัดแจงให้ฉินซีรออยู่ที่นี่ จากนั้นก็มีเลขาเข้ามาเสิร์ฟกาแฟให้ ก่อนที่หลี่ซิงิจะออกไป
ฉินซียังไม่เข้าใจอะไรนัก จึงทำได้เพียงรออยู่ที่นี่อย่างว่าง่าย
ผ่านไปสักพัก ด้านนอกก็มีคนจำนวนหนึ่งเดินผ่านมา เสียงฝีเท้าของพวกเขาค่อยๆ ดังขึ้น และยังกำลังพูดคุยเื่ของบริษัทอยู่ด้วย
“ถ้าผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปไม่ได้ เฉินซีก็คงทนรับต่อไปไม่ไหวแน่...” เสียงชายคนนั้นแฝงไปด้วยความขมขื่น
อีกคนรีบร้อนปลอบใจเขา “ท่านประธานเกาอย่าเพิ่งเสียใจไปเลยครับ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะยังทนรับได้อีกหลายปี ตอนนี้พวกเราไม่ได้มีเกมเกมหนึ่งที่กำลังไปได้ดีหรือครับ?”
“ตอนนี้บริษัทจำนวนไม่น้อยต่างก็กำลังพัฒนา ถ้าเกมของพวกเราไม่มีการอัปเดตครั้งใหญ่ นั่นก็หมายความว่าอีกหน่อยคงถูกเกมที่จะมาในอนาคตทำเอาเจ๊งแน่ๆ...”
“ถ้าแบบนั้นพวกเรารับสมัครผู้พัฒนาจากเมืองนอกดีไหมครับ?”
“คนมีความสามารถช่างหาได้ยากเย็นนัก...”
เขากล่าวพร้อมกับผลักประตูห้องประชุมออก ชายวัยรุ่นที่นำอยู่ด้านหน้าเดินเข้ามาก่อน ทว่าเมื่อเห็นฉินซีที่นั่งอยู่ด้านในก็นิ่งไปทันที “คุณเป็ใคร?”
เมื่อฉินซีเจอกับชายวัยรุ่นคนนี้ก็นิ่งไปเช่นกัน ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าบริษัทเฉินซีที่อยู่ในตึกออฟฟิศสองชั้นนี้คือบริษัทเกมที่จะโด่งดังไปทั่วโลกในอนาคต! เพราะชายวัยรุ่นคนนี้ไม่ใช่ชายหนุ่มผู้เพียบพร้อมอย่างเกาจิ้ง ประธานบริษัทเกมที่มักจะปรากฏตัวในโทรทัศน์อยู่บ่อยๆ ในชาติที่แล้วหรอกเหรอ? ฉินซีรู้สึกตลกตัวเองเมื่อครู่ เป็เขาที่สับสนไปเอง! กว่าบริษัทเฉินซีจะมีชื่อเสียง ก็เป็เื่หลังจากนี้อีกหลายปี ตอนนี้บริษัทเฉินซียังเป็เพียงบริษัทขนาดกลางๆ ไม่โดดเด่นนัก ไม่เพียงเท่านั้น จากบทสนทนาเมื่อสักครู่ ถ้าเขาเดาไม่ผิดละก็ ตอนนี้น่าจะเป็่ที่บริษัทเฉินซีกำลังตกอยู่ในสภาวะวิกฤติ
เมื่อชาติก่อน เขาได้อ่านบทสัมภาษณ์ของประธานเกาจิ้งคนนี้มาไม่น้อย เขาเคยเล่าว่า ในสมัยที่ตัวเองเป็วัยรุ่น เขาทำบริษัทเกมแห่งนี้ล่ม และถูกทางตระกูลบังคับให้กลับไปสืบทอดกิจการของทางบ้าน
“ผมชื่อฉินซีครับ เป็พนักงานประชาสัมพันธ์คนใหม่ของบริษัท ผู้จัดการหลี่ให้ผมรออยู่ที่นี่” เมื่อข้อสงสัยถูกไขกระจ่าง ฉินซีก็หันไปตอบเกาจิ้ง
เกาจิ้งเป็ชายวัยรุ่นรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคมคาย และไม่ได้มีนิสัยเสียอย่างพวกลูกหลานคนรวย ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่ออกมาสร้างธุรกิจของตัวเอง ได้ยินแบบนั้นเขาก็ไม่ได้โมโหฉินซี ทำเพียงพยักหน้าลง “ถ้าไม่คิดอะไรมาก ผมจะให้เลขาพาคุณไปรอผู้จัดการหลี่ที่ห้องรับรองแขกได้ไหมครับ?”
ฉินซีลุกขึ้นสบายๆ ในระหว่างที่กำลังจะตอบรับว่า “ได้ครับ” อยู่ๆ เขาก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้น เขาคิดวิธีช่วยประธานเกาคนนี้ให้ผ่านวิกฤติไปได้แล้ว!
ในตอนที่เขาเพิ่งจะได้เกิดใหม่มีกำลังน้อยแบบนี้ หากสามารถส่งคบไฟให้ประธานเกาท่ามกลางหิมะได้ เกรงว่าหลังจากนี้เขาก็จะได้ผูกสัมพันธ์อันดีเอาไว้!
เมื่อในใจเกิดความคิดขึ้น ประโยคที่ฉินซีเอ่ยออกมาก็เปลี่ยนไป “คุณคือเ้าของบริษัทเฉินซีใช่ไหมครับ?”
เกาจิ้งตอบยิ้มๆ “ใช่ครับ ทำไมเหรอ?”
“เมื่อสักครู่ผมได้ยินที่คุณพูดกับคุณคนนี้โดยไม่ได้ตั้งใจน่ะครับ ตอนนี้บริษัทกำลังเจอกับวิกฤติอยู่เหรอครับ?” การถามแบบนี้ก็ถือว่าไม่เกรงใจกันนัก แต่ฉินซีคิดว่าต่อหน้าลูกหลานจากตระกูลร่ำรวยอย่างเกาจิ้งนั้น ยิ่งตรงได้เท่าไรก็ยิ่งดี! หากอ้อมค้อมไปมา อีกฝ่ายอาจคิดว่าเขามีความคิดอื่นแอบแฝง!
เมื่อเกาจิ้งได้ยินคำพูดนี้ของฉิน สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป เขาพูดออกมาอย่างไม่พอใจ “คิดว่าบริษัทของพวกเราไม่มีทางจะไปต่อได้แล้วงั้นหรือ?”
ฉินซียังคงนิ่งเฉยไม่ได้ใอะไร เพียงกล่าวต่อเสียงเรียบ “ท่านประธานเกายินดีจะฟังคำแนะนำจากผมสักหน่อยไหมครับ?”
“คำแนะนำ? คำแนะนำอะไร?” เกาจิ้งโมโหจนสีหน้าจริงจัง ค่อยๆ กลายเป็ขบขัน ในสายตาของเขา ฉินซีนั้นช่างเป็เด็กน้อยที่ไม่รู้อะไรเอาเสียเลย!
“ความจริงสถานการณ์ของบริษัทในตอนนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถพลิกกลับได้ ท่านประธานเกาน่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าตอนนี้สิ่งที่บริษัทขาดไปคืออะไร เพียงแต่ท่านประธานลำบากใจว่าไม่มีทางหาคนมาแก้ไขได้ใช่ไหมครับ? ผมมีคำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ ไม่แน่ว่ามันอาจจะช่วยท่านประธานได้พอดี” ฉินซีพูดอย่างไม่รีบไม่ร้อนต่อหน้าสายตาพิจารณาของเกาจิ้ง
ท่าทางของเขาทำให้คนอดประเมินสูงขึ้นไม่ได้ เมื่อเกาจิ้งได้ยินแบบนี้ แม้ในใจจะนึกสงสัยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ให้ผู้รักษาความปลอดภัยเข้ามานำตัวเขาออกไป เขาเรียกเลขาของเขาเข้ามา “ไปเรียกผู้จัดการหลี่มาก่อน ฉันจะถามผู้จัดการหลี่ว่า พี่ชายตัวน้อยคนนี้มีที่มาที่ไปยังไง ฝีปากดูเก่งกาจกว่าฉันเสียอีก”
เลขาตอบรับก่อนจะออกไป
ชายที่อยู่ด้านหลังเกาจิ้งส่งสายตาเห็นใจมาให้ฉินซี เนื่องจากคิดว่าเกาจิ้งคงจะลงโทษเขา
แต่เมื่อฉินซีได้ยินเกาจิ้งพูดแบบนี้ เขาก็ถอนหายใจออกมาน้อยๆ เกาจิ้งเพียงสงสัยในตัวเขา ทว่าก็ไม่ได้โมโหจริงๆ หากว่าเกาจิ้งโมโห ก็คงไม่มีทางพูดกับเขาอีกแม้แต่ประโยคเดียวแน่ ตอนนี้ที่เกาจิ้งเรียกหลี่ซิงิเข้ามาก็เพียงเพื่อถามถึงตัวตนของเขาเพื่อยืนยันว่าเขาไม่ได้มาเพื่อสร้างความวุ่นวายแก่บริษัทเท่านั้น
ในใจขอฉินซีสงบลง ในขณะเดียวกันเขาก็เริ่มคิดแล้วว่าอีกสักพักจะพูดกับเกาจิ้งอย่างไรดี