ซ่งอวี้นึกถึงการฉวยโอกาสแตะเนื้อต้องตัวของตนเมื่อครู่ ก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดงก่ำ นางเหยียดกายลุกขึ้น แล้วรีบเดินออกจากห้องไป
ตอนที่ประตูปิดลง หลี่เฉิงลืมตาขึ้นมาทันที ดวงตาคู่ใสไม่มีความงัวเงียแม้แต่น้อย ความเป็จริงเขาตื่นก่อนซ่งอวี้ครู่หนึ่ง แต่ตอนที่ซ่งอวี้งัวเงียกำลังจะตื่นขึ้นมานั้น ไม่รู้ว่าเป็เพราะเหตุใด เขาถึงได้หลับตาลง
หลี่เฉิงยกมือขึ้น มองมือที่เมื่อครู่ซ่งอวี้ัั แววตาลุ่มลึกของเขามีความอ่อนโยนแล่นผ่าน คล้ายว่ายังมีความอบอุ่นจากฝ่ามือของซ่งอวี้หลงเหลือทิ้งเอาไว้บนฝ่ามือของตน
ซ่งอวี้ยืนอยู่ที่ลานบ้าน นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ใช้มือจับใบหน้าที่ร้อนผ่าว พูดพึมพำกับตนเอง "ห้ามคิด ห้ามคิด!”
หลังจากสลัดความคิดทิ้ง นางก็เดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อเตรียมอาหารเช้าของทั้งสองคน ประจวบเหมาะเวลานี้ที่หลี่เฉิงเดินออกมาจากห้องพอดี เสียงไพเราะของเขากล่าวทักทาย "อรุณสวัสดิ์"
ซ่งอวี้เม้มริมฝีปาก ขนตาที่เรียงเป็แพสั่นเทา นางตอบกลับเสียงแ่เบา "อรุณสวัสดิ์ ข้าไปทำอาหารเช้าก่อน ท่านรอประเดี๋ยว"
หลี่เฉิงไม่ได้รอซ่งอวี้ทำอาหารเช้าเหมือนทุกครั้ง เขาเดินเข้ามาในห้องครัวแล้วช่วยนางก่อไฟ มองแผ่นหลังของนางที่ง่วนอยู่กับการทำอาหาร เขารู้สึกอิ่มเอมใจเป็อย่างยิ่ง
ใช่ว่าซ่งอวี้จะไม่รับรู้ถึงสายตาร้อนรุ่มของเขา แต่เหตุเพราะเื่ที่เกิดขึ้นในตอนเช้า ทำให้นางไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับหลี่เฉิงอย่างไร จึงแสร้งทำเป็ไม่รับรู้
ภายใต้บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความรัก ทั้งสองใช้่เวลายามเช้าที่แสนอบอุ่นไปด้วยกัน
หมู่บ้านเสี่ยวหนิวห่างจากตลาดประมาณสิบกิโลเมตร ในหมู่บ้านไม่มีเกวียนสำหรับไปตลาด ต้องอาศัยการเดินเท้าเท่านั้น ซ่งอวี้จึงอดไม่ได้ที่จะเป็ห่วงขาซ้ายของหลี่เฉิงที่เพิ่งหายดี
"จะไม่เป็อันใดจริงๆ หรือ?"
หลี่เฉิงเป็คนฝึกยุทธ์ เขาเป็คนแข็งแรง ขาไม่เป็อันใดมานานแล้ว จึงอธิบายด้วยความใจเย็น "ข้าไม่เป็อันใดจริงๆ เ้าเป็หมอ หากข้าเป็อะไร เ้าจะดูไม่ออกเชียวหรือ?"
ซ่งอวี้ครุ่นคิด รู้สึกว่าเขาพูดถูก "ก็ได้ เช่นนั้นหากรู้สึกผิดปกติ ต้องบอกข้าทันทีนะเ้าคะ"
"ได้" หลี่เฉิงยิ้ม เขาไม่เคยรู้สึกรำคาญกับความจู้จี้ของนาง ในทางตรงกันข้าม เขากลับรู้สึกอบอุ่นยิ่งนัก ทั้งยังรู้สึกตื้นตัน พูดไปแล้ว ทั้งสองกลับเป็เพียงคนที่เจอกันโดยบังเอิญเท่านั้น
หมู่บ้านเสี่ยวหนิวอยู่ติดูเา ด้วยเหตุนี้เส้นทางการไปตลาดจึงคดเคี้ยวอย่างเลี่ยงไม่ได้ โชคดีที่ทั้งสองสุขภาพร่างกายแข็งแรง ยามเดินจึงไม่ได้รู้สึกลำบากยากเข็ญนัก
หลี่เฉิงเดินตามหลัง มองแผ่นหลังเหยียดตรงของนาง ถึงแม้นางจะตัวเล็ก แต่กลับเปี่ยมไปด้วยพลัง แตกต่างกับสตรีที่เขาเคยพบเจอ ยิ่งดึงดูดสายตาของเขา
ซ่งอวี้และหลี่เฉิงเดินนานถึงหนึ่งชั่วยามกว่าจะไปถึงตลาด เมื่อเห็นตลาดที่ครึกครื้นไปด้วยผู้คน ดวงตาของนางฉายความสงสัย นี่เป็ครั้งแรกที่นางเดินเล่นในตลาดสมัยโบราณ
การแบ่งสัดส่วนของตลาดมีความคล้ายคลึงกับยุคปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่นทางด้านทิศตะวันตกของตลาดขายเครื่องแป้งเครื่องประทินผิว เสื้อผ้าและเครื่องประดับ ส่วนทางด้านทิศตะวันออกเป็ร้านขายของชำทั่วไป ร้านตีเหล็กและร้านขายยา
ซ่งอวี้อาศัยความทรงจำในสมอง เดินไปยังร้านตีเหล็กที่อยู่ทางทิศตะวันออกของตลาด
เวลานี้ร้านตีเหล็กมีไฟลุกโชน ชายร่างกำยำสองคนเปลือยท่อนบน พวกเขาตีเหล็กด้วยเหงื่อที่ไหลชโลมกาย อุณหภูมิภายในร้านช่างร้อนระอุเหลือเกิน แตกต่างจากด้านนอกอย่างสิ้นเชิง
ทันทีที่เดินเข้าไป ซ่งอวี้ก็ััได้ถึงความร้อนที่ปะทะเข้ามา อากาศภายในร้านเต็มไปด้วยกลิ่นเหงื่อ และกลิ่นเหล็ก นางขมวดคิ้วเป็ปมด้วยความไม่คุ้นชิน
"ไม่ทราบว่า ผู้ใดคือนายช่างเ้าคะ?"
เมื่อได้ยิน ชายหนึ่งในนั้นที่อายุมากกว่าก็หยุดการกระทำของเขาลง "ข้าเอง แม่นางอยากจะทำสิ่งใดหรือ?"
ซ่งอวี้พยักหน้าเล็กน้อย นางหยิบกระดาษแผ่นสีเหลืองออกมา บนกระดาษมีรูปพลั่ววาดเอาไว้ ทั้งยังเขียนกำกับอย่างละเอียด
ภาพวาดนี้เมื่อคืนหลังจากกลับไปถึงเรือน หลี่เฉิงเป็คนวาดให้เธอ ว่ากันว่าทุกคนมีด้านที่เก่งและถนัดต่างกัน นางที่เป็ศัลยแพทย์จากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ย่อมไม่มีความรู้ด้านนี้เทียบเท่ากับหลี่เฉิง
ช่างเหล็กรับภาพไปดูครู่หนึ่ง เขารู้สึกว่ารูปทรงของพลั่วมีเอกลักษณ์และน่าดึงดูด จึงเอ่ยถาม "แม่นาง บอกข้าได้หรือไม่ว่าเ้านี่ใช้ทำสิ่งใด?"
ซ่งอวี้มองช่างเหล็กเงียบๆ ความคิดบางอย่างแล่นเข้ามา นางครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น "มิใช่ว่าไม่อาจบอกท่านได้ แต่ว่าข้าอยากจะเจรจาธุรกิจการค้ากับท่าน ไม่รู้ว่าท่านสนใจหรือไม่?"
