บัดนี้ได้มาถึงเมืองอันดับหนึ่งในใต้หล้าอย่างเมืองหลวงแคว้นเชินแล้ว
กำแพงเมืองสูงตระหง่าน
กำแพงเมืองไม่เพียงแค่สูง แต่ยังวิจิตรนัก
แน่นอนว่า้ากำแพงยังมีผ้าสีแดงและสีเขียวสดใสประดับไว้ ทำให้มองดูแล้วก็รู้สึกว่ากำแพงแห่งนี้ทั้งวิจิตรและสง่างามไม่เบา
บนกำแพงมีตัวอักษรเขียนไว้
เป็ตัวอักษรที่งดงามที่สุด
เป็ตัวอักษรที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตน
ตัวอักษรที่ใครต่างก็รู้จัก
เป็ตัวอักษรที่เป็ระเบียบถูกต้องที่สุด
แม้จะมองจากไกลๆ ก็ยังเห็นตัวอักษรนี้ได้
ตัวอักษรที่แสนเรียบง่ายบนกำแพงราวกับสลักลงในใจของคนที่ได้เห็น จิตใจที่เคยค้างเติ่งหวั่นไหวก็พลอยสงบลง
คนที่จะเดินทางเข้าเมืองหลวงมีมากนัก
ผู้คนต่อแถวยาวเหยียดรอเวลาที่จะได้เข้าเมือง
เฉินโย่วและขบวนก็กำลังต่อแถวรออยู่เช่นกัน
ด้วยเพราะมีคนคอยจับจ้องอยู่มากมาย เฉินโย่วจึงไม่อาจประกาศศักดาบนหลังม้าเช่นก่อนหน้านี้ได้ เช่นนั้นเด็กหญิงจึงเข้ามานั่งในรถม้าอย่างเรียบร้อย
ทว่าคนที่ทุกข์ระทมที่สุดในเื่นี้กลับไม่ใช่เฉินโย่ว แต่เป็เด็กชายร่างอวบอ้วน
เด็กชายรู้มาว่าวีรบุรุษชุดขาวเฉินโย่วแท้จริงแล้วก็จะเข้าเรียนที่สำนักเชินเช่นเดียวกับเขา ในเมื่อเป็เช่นนี้เขายิ่งไม่อาจจากไปไหนได้ ต่อไปยิ่งจะต้องอยู่ด้วยกันให้ได้
ทว่าเมื่อมาถึงเมืองหลวง บนถนนก็เริ่มมีข้าวของวางขายมากมาย บ่าวชราของเขาจึงได้ซื้อรถมาคันหนึ่งให้เขาได้นั่งแยก บัดนี้รถของเขาจึงเคลื่อนตามอยู่ท้ายขบวน
ความจริงแล้วพวกเขาสองคนก็มีรถม้าเป็ของตัวเองอยู่แล้ว ทว่าพวกเขาทั้งสองล้วนแต่ไม่เคยมีประสบการณ์การเดินทางมาเจียงหู ดังนั้นตลอดเส้นทางของพวกเขาจึงถูกหลอกหลายครั้งหลายคราเสียจนจะสามารถเขียนหนังสือเล่าเื่ที่ทำให้พวกเขาแทบร้องไหนจนน้ำตาเป็สายเืออกมาเป็เล่มหนาๆ ได้แล้ว
โชคดีที่บ่าวชราของเขายังพอมีกำลังอยู่บ้าง
อีกทั้งตลอดเส้นทางยังต้องกังวลว่าสถานะของเขาจะถูกเปิดเผย ดังนั้นเมื่อชายชราเห็นว่าเขาหลงใหลวีรบุรุษชุดขาวถึงเพียงนี้ จึงได้ถือโอกาสติดตามขบวนมาด้วยเสียเลย
เช่นนี้ย่อมดีต่อการปกปิดตัวตนมากกว่า
ชายชราได้สอบถามมาแล้วว่าแม้คนในขบวนเหล่านี้จะมีรูปลักษณ์โดดเด่นกันแทบทุกคน ทว่าก็เป็กลุ่มคนที่เดินทางมาจากทุ่งหญ้ารกร้างห่างไกล หัวหน้าขบวนเป็สตรีนางหนึ่งที่เล่ากันว่าเป็ผู้ดูแลโรงทอผ้า
คนในขบวนนี้ก็เดินทางเพื่อไปเข้าเรียนในสำนักเชินเช่นกัน
ชายชราแม้จะไม่มีประสบการณ์ในการเดินทาง แต่ก็เชี่ยวชาญด้านการมองคนนัก
นายน้อยของเขาช่างไร้เดียงสา คนในขบวนนี้นอกจากเด็กหนุ่มที่เขาเรียกว่าวีรบุรุษชุดขาวกับพี่อู่ เด็กหนุ่มที่แบกลูกเหล็กไปทั่วที่ชื่นชอบเขาแล้ว คนอื่นๆ ล้วนแต่มีท่าทีเ็านัก
ทว่าเด็กชายกลับััไม่ได้แม้แต่น้อย
ชายชราเห็นแล้วก็รู้สึกปวดใจจนคันยุบยิบ
จึงได้ดึงดันบังคับนายน้อยของตนให้มานั่งรถม้าของตนเอง
เมื่อเด็กชายขึ้นมานั่งบนรถแล้วก็ราวกับมีหนามแหลมคอยกระทุ้งบั้นท้ายอยู่ก็ไม่ปาน เอาแต่ผุดลุกผุดนั่ง ส่ายไปส่ายมา
เขาจึงได้แต่ชักชวนอย่างใจเย็น “คุณชาย พวกเรามิอาจเผยสถานะที่แท้จริงของพวกเราให้ใครรู้ได้อย่างเด็ดขาด ท่านลืมวาจาที่นายท่านสั่งไว้แล้วหรือ หากท่านอยากจะเรียนอยู่ในสำนักเชินอย่างสงบสุข ก็จำเป็ต้องปกปิดตัวตนเอาไว้”
เมื่อได้ยินดังนั้นใบหน้าอ้วนๆ ก็ก้มงุดลง คางสองชั้นแนบชิดกับหน้าอก เด็กชายอ้วนเกินไปจึงแทบจะไม่มีคอเหลือให้เห็นแล้ว
“ข้าจะระวัง ท่านลุงฉือ ข้าไม่อยากเข้าเรียนที่สำนักเชิน ข้าอยากเรียนวรยุทธ์เหมือนกับเฉินโย่ว เป็วีรบุรุษชุดขาวคอยผดุงความยุติธรรม หากว่าข้าเก่งแล้วก็ยังสามารถพาเสด็จพ่อและเสด็จแม่ออกมาเที่ยวเล่นได้ พวกเขาจะได้ไม่ต้องอยู่แต่ในวังหลวงทั้งวัน วังหลวงช่างน่าห่อเหี่ยวใจนัก เสด็จพ่อและเสด็จแม่จึงไม่เบิกบานใจเช่นนี้”
ชายชราได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกอึ้งงัน
เขาคิดว่าที่องค์ชายน้อย้าจะเป็วีรบุรุษเป็เพียงแค่นิสัยแบบเด็กๆ ไม่คาดคิดว่าสาเหตุที่แท้จริงจะเป็เช่นนี้
เขาไม่คิดว่าองค์ชายน้อยที่รู้จักแต่เพียงเื่เที่ยวเล่น แท้จริงแล้วจะรู้ความถึงเพียงนี้ ทว่าองค์ชายน้อยอยู่ดีๆ ก็รู้ความเช่นนี้ ยิ่งทำให้ชายชราปวดใจ
ชายชราพลันหันหลังแล้วล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาสั่งน้ำมูกพร้อมทั้งเช็ดน้ำตา
“คุณชาย พี่น้องตระกูลลู่ก็จะเข้าเรียนเช่นกัน ท่านทำความรู้จักพวกเขาไว้ให้ดีๆ ยามอยู่ในสำนักเชินสามารถร่วมเรียนกับพวกเขาได้ หากนายท่านรู้ว่าคุณชายตั้งใจเล่าเรียน ย่อมต้องดีใจมากเป็แน่”
น้ำเสียงของชายชราเจือแววสะอึกสะอื้น
“อืม ข้าทราบแล้ว ต่อไปข้าจะเชื่อฟัง ท่านลุงฉือ ท่านอย่าเอาแต่ร้องไห้ไป ท่านทำเช่นนี้ความลับจะแตกเอาได้ บุรุษยามร้องไห้ไม่ใช้ผ้าเช็ดหน้ากันหรอก” เด็กหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ขันทีชราที่ในมือยังถือผ้าเช็ดหน้าอยู่ ความรู้สึกเศร้าโศกเมื่อครู่พลันถูกองค์ชายน้อยทำให้รู้สึกสับสนไปหมด
รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้าเข้าไปในเมือง
เฉินโย่วที่นั่งอยู่ในรถม้ารู้สึกตื่นเต้นเหลือเกิน
แม้ว่านางจะแต่งกายแบบบุรุษ แต่บัดนี้ถึงอย่างไรก็ยังนั่งอยู่ในรถคันเดียวกันกับแม่นางหลัว
แท้จริงแล้วนางก็เป็เด็กหญิงคนหนึ่ง
“น้าหลัว เมื่อก่อนท่านเคยมาเมืองหลวงหรือไม่ ที่นี่มีอะไรอร่อยกัน แล้วพวกเราจะไปอยู่ที่ใดกันเล่าน้าหลัว น้าหลัวๆ พวกเขาบอกว่าองค์หญิงก็ประทับอยู่ในเมืองนี้ อีกทั้งนางยังเก่งกาจนัก แต่กลอนก็เป็ แล้วๆ พวกเราจะได้พบองค์หญิงหรือไม่”
รอบดวงตาของหลัวอู๋เลี่ยงยังมีรอยคล้ำ
เมื่อวานนางพักผ่อนไม่ค่อยเต็มอิ่มเท่าใดนัก
แน่นอนว่าคนอื่นๆ เห็นหน้านางแล้วย่อมมองไม่ออก เพราะนางใช้เครื่องประทินโฉมปกปิดไว้
นางไม่เพียงแต่จะเคยมาที่นี่ แต่นางนับว่าเติบโตที่นี่ด้วยซ้ำ ที่นี่คือบ้านของนาง
ที่นี่คือบ้านของหลัวชิงเฉิง
หลัวชิงเฉิงในอดีตช่างงดงามเสียจนแทบจะล่มเมือง เพียงแค่จะก้าวออกจากเรือนยังต้องแจ้งล่วงหน้าเพื่อให้คนคอยจัดการเส้นทาง
นางคือหนึ่งในสี่ยอดสตรีแห่งเมืองหลวง ชื่อเสียงของนางโด่งดังยิ่งกว่าบุตรสาวของตระกูลหลานเสียด้วยซ้ำ
หากไม่ใช่ว่าในปีนั้นท่านราชครูทำนายว่าบุตรสาวตระกูลหลานมีชะตาหงส์ ไม่แน่ว่าคนที่ได้เข้าวังเพื่อเป็ฮองเฮาอาจเป็นาง
นางและฮองเฮาหลานมีชะตาเดียวกัน
ทว่าทุกวันนี้ก็บอกไม่ถูกเช่นกันว่าชะตาชีวิตของใครดีกว่าใคร
ยามนี้ฮองเฮาหลานวิปลาสไปแล้ว ตระกูลก็ยังล่มสลาย
ส่วนนางก็ชีวิตตกต่ำ ไม่ยินยอมจะกลับบ้าน ไม่ยอมแต่งงาน
นางก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเช่นกัน
บางทีคงเป็เพราะไม่เต็มใจ ไม่เข้าใจ และไม่ยินยอม
รูปโฉมของนางไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก
บนูเาในที่แห่งนั้นที่นางแท้งบุตร ท่านหมอหูบอกนางว่านางคงจะอยู่ได้อีกไม่นาน
ต่อมากลับบอกว่านางหายดีแล้ว
หลังจากที่นางกินบางสิ่งที่เด็กหญิงยัดใส่ปากในตอนนั้น
นางไม่เพียงแต่หายป่วย กระทั่งรูปลักษณ์ก็แทบจะไม่เปลี่ยนไป ยังคงดูสาวเฉกเช่นในวัยแรกรุ่น แต่เพราะสภาพจิตใจของนางดีขึ้น จึงทำให้นางยิ่งน่ามองกว่าเมื่อก่อนเสียด้วยซ้ำ แม้ว่านางจะอยู่บนูเากระดูกมานาน แต่นางก็ไม่ค่อยจะใส่ใจในรูปลักษณ์ของตัวเองเท่าใดนัก เพียงแต่ยามที่นางนั่งลงหน้ากระจกแล้วปักดอกไม้ลงบนเรือนผมของตน นางยังลอบตื่นตะลึงในรูปลักษณ์ของตัวเองอยู่นานสองนาน
นางรู้ว่าตนเองงดงามเพียงใด
ทว่ายามที่นางหันไปมองตามแรงน้อยๆ ที่ดึงชายเสื้อนางอยู่ นางก็พลันส่ายหน้าไปมา
ยังมีเ้าเด็กคนนี้ที่งดงามเสียยิ่งกว่านาง
คนงามมองคนงามย่อมใส่ใจในรายละเอียดยิ่งกว่าใคร
ในปีนั้นที่นางลงมือกับนายท่านใหญ่ก็เป็เพราะคำพูดของเขา ความจริงแล้วนางยังพอจะอดทนได้อยู่ หากเขาไม่คิดจะลงมือกับเฉินโย่ว
หากเป็เฉินโย่ว นางมิอาจทนต่อได้แม้เพียงขณะเดียว
สำหรับนางแล้ว เฉินโย่วเป็ยิ่งกว่าบุตรในอุทร เพื่อเด็กหญิงแล้วนางสละได้แม้กระทั่งชีวิต เช่นที่นางเคยทำในตอนนั้น
ในอนาคต หากว่าจำเป็ นางก็คงไม่ลังเล
“ข้าเคยมาเมืองหลวง ที่นี่แออัดนัก ไม่มีอะไรดี ต่อให้เ้าอยากขี่หลังเ้ามืดห้อตะบึงก็ไม่อาจทำได้ ที่นี่แออัดเกินไป ส่วนองค์หญิงก็คงจะได้พบกันกระมัง องค์หญิงโปรดการออกมารับลม หากมีโอกาสก็คงจะได้เจอกัน”
กล่าวจบหลัวอู๋เลี่ยงก็เอนหลังพิงผนังรถม้าอย่างเกียจคร้าน พร้อมกอดเฉินโย่วไว้แนบอก
พวกเขาต่อแถวมานานเหลือเกิน นานจนเฉินโย่วชักเริ่มเบื่อขึ้นมา นางจึงได้ยื่นมือออกไปอย่างเคยชิน คว้าหมับเข้าที่หน้าอกอวบอิ่มของแม่นางหลัว
หลัวอู๋เลี่ยงพลันหน้าแดงขึ้นมา
สาวใช้เสี่ยวเถาที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็หัวเราะจนท้องแข็ง ก็เพราะยามนี้เฉินโย่วยังแต่งกายเป็บุรุษอยู่
ทว่าท่าทางกลับเป็ธรรมชาตินัก
หากว่าเป็เด็กผู้ชายจริงๆ ต่อไปย่อมจะต้องเป็ศิษย์ของนางเป็แน่ ขอแค่เป็สตรีก็คงจะเกี้ยวไม่เลือก เช่นนี้ก็ไม่รู้จะไปเป็หายนะให้บุตรีบ้านใดบ้าง
แน่นอนว่าประเดี๋ยวเดียวศีรษะของเฉินโย่วก็ถูกแม่นางหลัวเขกเข้าให้
“โอ๊ยๆ ต่อไปข้าไม่กล้าแล้ว” เฉินโย่วยกมือขึ้นกุมศีรษะ ทั้งยังะโไปทั่วรถม้า
แม่นางหลัวเดิมทีคิดสะระตะอยู่นับไม่ถ้วน ยามนี้ถูกความซนของเ้าเด็กตรงหน้าทำเอาลืมเื่เ่าั้ไปจนหมดสิ้น
เสียงหัวเราะอย่างครื้นเครงจึงแว่วดังมาจากตัวรถม้า
ประจวบเหมาะกับถึงคราวที่พวกเขาจะเข้าเมืองแล้ว
สถานะของแม่นางหลัวคือบุตรสาวของพ่อค้า เป็ผู้คุมโรงทอผ้า ดังนั้นจึงต้องถูกตรวจค้นก่อนเป็ธรรมดา
เมืองหลวงมีคนมากมาย เหล่าทหารที่คอยดูแลก็มีไม่น้อย
ประตูเมืองก็สร้างได้ดียิ่ง
เหล่าทหารที่ต่างสวมเกราะเหล็กยืนอยู่หน้าประตู คนเหล่านี้ล้วนแต่เป็ชายหนุ่มที่ดีที่สุด
การจะถูกเลือกให้มาคุ้มกันประตูเมืองนับว่าไม่ง่าย พวกเขาเป็บุตรหลานจากหลายครอบครัวที่ล้วนมีประวัติดีเยี่ยมเป็อันดับหนึ่ง
ในแคว้นเชิน แม้ว่าทหารจะไม่ได้มีตำแหน่งทางสังคมสูงส่งอะไร ทว่าหน่วยองครักษ์คุ้มครองราชวงศ์กลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
ท่ามกลางเหล่าทหารหน้าประตูเมืองมีลูกหลานจากตระกูลหลัวอยู่ พระสนมหรงไม่ได้เป็ที่โปรดปรานอีกต่อไป ราวกับเป็สนมในตำหนักเย็นก็ไม่ปาน ทว่าตำแหน่งพระสนมของนางยังคงอยู่ ปัจจุบันอารมณ์ของฮ่องเต้ขึ้นๆ ลงๆ ใครจะล่วงรู้ วันหนึ่งนางอาจจะฟื้นตัวขึ้นมาก็ได้
เสียงผู้คนดังจอแจ กำแพงเมืองสูงลิ่ว ตะวันทอแสงอ่อนๆ
ระหว่างที่กำลังเข้าแถวรอตรวจสอบ ทหารนายหนึ่งก็เลิกผ้าม่านบนหน้าต่างรถม้าขึ้น
ในรถยังมีสตรีนางหนึ่ง
ในหัวของนายทหารพลันขาวโพลน คิดออกเพียงแค่คำว่า ‘งามล่มเมือง’
