“มองหาอะไร...”
เขาถามหลังจากที่เห็นฉันมองไปทางนู้นทีทางนี้ทีเหมือนหาอะไรบางอย่าง
“หะ...หาห้องน้ำ” ส่วนฉันที่พยายามคุมน้ำเสียงของตัวเองไม่ให้สั่น เพื่อตอบเขากลับไป
“หาทำไม...!!” เขาเลิกคิ้วด้วยความสงสัย ถามอย่างไม่เข้าใจ
“อะ...อ้าว...ก็นายจะให้ฉันเปลี่ยนชุดไม่ใช่เหรอ” ฉันที่สงสัยในคำถามของเขาก็ได้ถามเขากลับด้วยความไม่เข้าใจเช่นกัน
(ชิ...ประสาทกลับหรือไง เพิ่งจะบอกหยก ๆ ว่าให้เปลี่ยนชุด ทำยังกับว่าจะให้ฉันเปลี่ยนตรงนี้อย่างงั้นแหละ)
สิ้นเสียงในสมอของฉันที่ฉันเพิ่งคิดกับตัวเอง ประโยคที่เหมือนกับหยั่งรู้ไปถึงความคิดของฉันก็ได้ดังขึ้น
“เปลี่ยนตรงนี้...” เขาแสยะยิ้มร้ายออกคำสั่งอย่างเยือกเย็น
(OoO)
ฉันถึงกับเบิกตากว้างอ้าปากค้างทันทีที่ได้รับรู้เจตนาอันแท้จริงของเขา และคำสั่งนั้นก็ทำให้ฉันถึงกับอึ้งทำอะไรไม่ถูก
“จะบ้าเหรอ ฉันไม่ได้มาขายตัวนะ” ฉันะโออกไปด้วยความไม่พอใจ นี่เขาเห็นฉันเป็ตัวอะไรฉันก็เป็คนมียางอายเหมือนกันนะ
“ก็ใครจะให้มึงขายตัวล่ะ” เขาบอกในขณะที่ยังยกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน ก่อนที่ในประโยคถัดมาของเขานั้นจะเป็เหมือนกับแส้ที่ฟาดลงมาจนฉันตัวชาไปหมด
“กูให้มึงมาใช้หนี้...และงานแรกของมึง...คือ...เอ็นฯ กู”
น้ำเสียงที่เย็นะเืไปถึงขั้วหัวใจ ส่งผลให้ฉันถึงกับตัวชาไปชั่วขณะ เพราะหลังจากที่สองหูได้ยินคำพูดที่ออกมาจากปากของคนตรงหน้าอย่างชัดเจน อาการมึนงงเหมือนโดนหมัดชกจนน็อกก็บังเกิดขึ้นทันที
และก่อนที่สติของฉันอาจจะดับวูบกลางอากาศไปได้โดยไม่รู้ตัว ฉันก็ได้พยายามรวบรวมสติที่กระเจิดกระเจิงให้กลับมาอีกครั้ง และตั้งใจที่จะพูดกับเขาให้เข้าใจ เผื่อว่าในจิตสำนึกสุดท้ายของเขาจะมีเมตตาเหลือมาถึงฉันบ้าง
ใช่...!! เราสองคนต้องทำความเข้าใจกันอีกครั้ง...!!
“นาย...นายสมองกลวงหรือไง นายตั้งใจฟังฉันดี ๆ นะ ฉันบอกไปแล้วไงว่าฉันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับผู้ชายคนนั้น จริงอยู่ว่าลายเซ็นนั้นมันเป็ของฉัน แต่ว่ามันเกิดจากความผิดพลาด วันนั้น...ฉัน...เซ็น...ผิด...นาย...เข้า...ใจ...ไหม ฉันถูกไหว้วานให้ไปเซ็นเอกสารแทนหัวหน้า แต่ฉันไม่รู้ว่ามันมาลงเอยแบบนี้ได้ยังไง” ฉันที่เน้นทุกประโยค โดยเฉพาะคำสำคัญ เพราะยังหวังให้เขามีสติคิดได้และตรวจสอบความจริงที่เกิดขึ้น
แต่แล้วจู่ ๆ เขาที่พูดโพล่งออกมา เสมือนว่าคำพูดของฉันก่อนหน้านี้เป็เหมือนลมที่พัดลอยไปลอยมาในอากาศเท่านั้น
“1 ล้าน”
“ห๊ะ...!!” (-_- ) ? ฉันถึงกับงงเป็ไก่ตาแตกไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด
“ดะ...เดี๋ยวนะ...นี่ฉันกำลังพูดถึงเื่ที่ฉันเซ็นเอกสารผิดอยู่แล้วทำไมจู่ ๆ นายถึงได้มาพูดถึงเงิน 1 ล้านล่ะ ฉันไม่เข้าใจ” ฉันที่เริ่มหงุดหงิดกับคนตรงหน้า
(ขอเคลียร์ทีละเื่ได้ไหม...โอ๊ยยยย...คนสวยปวดเฮด)
แต่ทว่า...เขาที่เหมือนจะไม่ได้สนใจในสิ่งที่ฉันพูดกลับพูดประโยคเดิมซ้ำออกมาอีกครั้ง
“ลดหนี้ 1 ล้าน ถ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าต่อหน้ากู...ตอนนี้!!” เขาบอกถึงความ้าอันดูล่อแหลมของตัวเองจนฉันได้แต่อึ้งแล้วอึ้งอีก
(ไอ้บ้านี่...เป็พวกโรคจิตบ้ากามหรือเปล่านะ) ฉันนึกระแวงขึ้นมาในใจ
แต่ถึงยังไงฉันก็ยังต้องยืนยันความบริสุทธิ์ใจของฉันดังเดิม
“แต่ฉันไม่ได้...เป็...นะ...หนี้”
และในขณะที่ฉันยังไม่ทันจะพูดจบประโยค
“หรือจะเปลี่ยนเป็ไตสักข้างดีล่ะ...” ใบหน้าอันหล่อเหลาที่พูดพร้อมกับแสดงรอยยิ้มอำมหิต
ทันทีที่คำขู่แสนร้ายกาจของเขาสิ้นสุดลง ฉันที่ได้ยินถึงกับผวาขาสั่นยืนแทบไม่อยู่ อีกทั้งความคิดร้อยแปดต่างประเดประดังตีกันอยู่ในหัวเต็มไปหมด โดยเฉพาะความรู้สึกนึกคิดที่ชัดเจนที่สุดคงไม่พ้นความคิดที่ว่า...
นี่ฉัน...ไม่เหลือทางเลือกอื่นอีกแล้วเหรอ...
ใบหน้าเนียนสวยหลุบตาต่ำลง พร้อมกับสีหน้าที่สลดลงอย่างเห็นได้ชัด เธอที่ไม่คาดคิดว่าความโชคร้ายที่เธอเจอมาั้แ่เล็กนั้นมันจะยังคงไม่ไปไหน มันยังคงรอคอยจังหวะที่จะทำร้ายเธอให้แหละสลายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ดวงตากลมโตเริ่มมีน้ำใสเอ่อคลอคละเคล้าเต็มขอบตา หยาดน้ำใสเม็ดใหญ่สะท้อนสู้กับแสงไฟสลัวภายในห้อง จนภาพปลายเท้าที่เธอกำลังก้มมองเริ่มที่จะพร่ามัวเหมือนกับม่านหมอกที่กำลังเข้าปกคลุมหัวใจของเธออยู่ตอนนี้
โดยเฉพาะเมื่อเสียงร่ำร้องในหัวใจที่ยังคงพร่ำเรียกหาความยุติธรรมจากเื่ราวที่เกิดขึ้น ดังสลับกับเสียงในสมองที่พร่ำบอกว่า ณ เวลานี้เธอไม่ควรมาอยู่ที่แห่งนี้เลยด้วยซ้ำ ทั้งที่ป่านนี้เวลานี้เธอควรที่จะดื่มด่ำไปกับลูกชิ้นร้านโปรด อาหารคาวหวานมากมายที่ตั้งใจจะซื้อกลับไปกินยามวันหยุดสุดสัปดาห์ ความคิดและความรู้สึกเ่าั้ยิ่งตอกย้ำให้ตัวเองรู้สึกน้อยใจในโชคชะตา...ว่าทำไมถึงไม่ยอมปล่อยให้ตนได้มีความสุขสักที
แต่ทว่า...คงเพราะชีวิตของฉันได้ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่ให้ดำเนินไปได้ง่ายดายแบบนั้น ฉันที่ยังคงเป็ฉัน...ยัยเด็กตัวซวยแสนโชคร้าย...ยัยคนที่โชคชะตาได้กำหนดเอาไว้ว่าเมื่อไรที่ชีวิตเริ่มสงบสุขและดีขึ้น เมื่อนั้นฉันต้องถูกกระชากลงมาให้ดื่มด่ำกับความยากลำบากแสนทุกข์เข็ญเสียทุกที
ฉันที่นึกสมเพชตัวเองในใจก่อนจะออกแรงกำถุงที่อยู่ในมือแน่นอย่างรู้สึกคับแค้นใจกับชีวิต และถ้าโชคชะตามันจะขีดเส้นให้ฉันต้องมาชดใช้หนี้ 1 ล้านด้วยวิธีนี้ ฉันก็คงไม่อาจจะหลีกเลี่ยงอะไรได้...
จากนั้นฉันก็ค่อย ๆ หลับตาลงแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ อีกครั้ง ก่อนจะสลัดหัวไปมาเพื่อไล่ความโศกเศร้าให้จางหายไป พร้อมกับเอ่ยขึ้นกับตัวเองเพื่อให้กำลังใจและหวังว่าขอให้ความโชคร้ายในครั้งนี้ เป็ครั้งสุดท้ายในชีวิตของฉันก็พอ...
(เอาว่ะลลิน...เดี๋ยวมันก็ผ่านไป...)
และก่อนที่ฉันจะเอ่ยปากทำการตกลงต่อความเป็จริงที่ต้องเผชิญ คนที่เหมือนจะล่วงรู้ถึงความคิดของฉันก็ได้เอ่ยทักขึ้นมาก่อน
“งานละ 1 ล้าน แค่ 100 งานเธอก็จะเป็อิสระ...ไร้หนี้สิน...” ชายตรงหน้าออกปากบอกสำทับ คล้ายกับว่ารู้เท่าทันความคิดของฉัน
“แต่ว่า...” ส่วนฉันที่เอ่ยขัดขึ้นเพราะยังไม่อาจทำใจได้ ถ้าหากจะต้องทำงานที่มันล่อแหลมมากกว่านี้
“ไม่มีแต่...เพราะถ้าไม่ทำมึงก็เตรียมตัวชดใช้ด้วยเครื่องในของมึงได้เลย” คนใจร้ายที่มีใบหน้าต่างจากหัวใจแสยะยิ้มเยือกเย็น เขาที่พูดคำพูดที่ไร้หัวใจ พร้อมกับส่งสายตาที่ไม่มีคำว่าล้อเล่นอยู่ในนั้น ก่อนที่เขาจะไม่ได้แค่ขู่เอาแค่ชีวิตของฉัน แต่เขายังพูดขู่ลามไปถึงคนที่ฉันรักอีกด้วย
“แต่กูคิดว่าถ้ามึงจะ้าชดใช้ด้วยวิธีแบบนั้นจริง ๆ แล้วล่ะก็ กูดูแล้วมูลค่ามันคงไม่พอสำหรับหนี้ของมึง สงสัยกูคงต้องไปขอเอาจาก...”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้