ซี่โครงหมูน้ำแดงย่อมรับประทานไม่ทันแล้ว
ท้ายจักรยานให้คนที่ไร้สตินั่งไม่ได้ เซี่ยเสี่ยวหลานจึงวานหลิวเฟินขี่รถ ส่วนตัวเธอหาเชือกเส้นหนึ่งมารัดย่าอวี๋และหลิวเฟินไว้ด้วยกันเซี่ยเสี่ยวหลานใช้มือช่วยดันด้านหลังอีกที หลิวเฟินขี่รถไปเธอก็ดันรถพลางวิ่งเหยาะตามด้านหลังเกือบยี่สิบนาทีกว่าจะถึงโรงพยาบาลประชาชนเมืองซางตูโชคดีที่อาศัยในเมืองซางตู หากอยู่ในชนบทห่างไกล การส่งคนไปโรงพยาบาลในสถานการณ์เช่นนี้อาจไม่ทันการเสียแล้ว!
คราวก่อนสองแม่ลูกเคยมาเป็เพื่อนหลิวหย่งจึงคุ้นเคยกับโรงพยาบาลประชาชนเมืองซางตูทีเดียว พวกเธอนำตัวย่าอวี๋ลงจากจักรยานแล้วะโร้องเรียกช่วยด้วยมีแพทย์สวมเสื้อกาวน์ประจำเวรพาพยาบาลวิ่งตามมา
“ผู้ป่วยมีอาการอย่างไร?”
เซี่ยเสี่ยวหลานกับหลิวเฟินตอบไม่ได้สักอย่างพวกเธอสองคนไม่คุ้นกับภาวะสุขภาพของย่าอวี๋เซี่ยเสี่ยวหลานจึงบอกสิ่งที่ตนรู้เท่านั้น หมอติทั้งสองว่างุ่มง่ามจากนั้นรีบเร่งเริ่มการช่วยชีวิต
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง พยาบาลคนหนึ่งออกมาตำหนิเซี่ยเสี่ยวหลานและมารดายกใหญ่
“พวกคุณเป็ครอบครัวประสาอะไร คุณป้าช็อคจากภาวะเืเป็กรดเธอเป็เบาหวาน ปกติพวกคุณไม่ใส่ใจกันสักหน่อยหรือ?”
ภาวะเืเป็กรด?
หลิวเฟินไม่เข้าใจแม้แต่นิดเดียว ยังนึกว่าย่าอวี๋ท้องเสียด้วยซ้ำ
เซี่ยเสี่ยวหลานใจริงๆ ย่าอวี๋เป็โรคเบาหวานหรอกหรือ? ปกติเธอไม่เคยเห็นย่าอวี๋รับประทานยาและฉีดยาเลย เหมือนเหล่าเพื่อนบ้านเองก็ไม่เคยกล่าวถึงเช่นกันนอกจากร่างกายที่ผ่ายผอมเหลือเกินของย่าอวี๋ ก็ดูไม่ออกว่ามีความผิดปกติใดๆคนอายุมากในยุคสมัยนี้ เดิมทีที่ขาวผ่องอ้วนท้วนมีอยู่น้อยนิดต้องซูบผอมถึงจะเป็ลักษณะตามกระแสหลัก
“ขอโทษ ขอโทษค่ะ คราวหลังพวกเราจะใส่ใจให้มากขึ้นรบกวนช่วยชีวิตอย่างเต็มที่ด้วยเถอะค่ะ จ่ายเงินเท่าไรก็ได้ทั้งนั้น”
เซี่ยเสี่ยวหลานแสดงความจริงใจ อารมณ์ของพยาบาลจึงผ่อนคลายลง
“พวกเราจะช่วยอย่างสุดความสามารถแน่นอน”
เซี่ยเสี่ยวหลานสอบถามว่าชำระเงินตรงไหน พยาบาลกลับไม่รีบร้อนแม้แต่น้อยปี 83 นั้นไม่เหมือนยุคหลัง ช่วยคนไข้ก่อนชำระเงินทีหลังทว่าการค้างชำระค่ารักษาพยาบาลได้กลายเป็เื่ปกติ อีกทั้งมีการไม่ชำระเป็จำนวนมากกดดันให้โรงพยาบาลค่อยๆ เปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์... การปฏิรูปเศรษฐกิจพัฒนาให้เศรษฐกิจดีขึ้นแต่ทำจิตใจคนให้ตกต่ำลง ความสัมพันธ์ผู้ป่วยและแพทย์กลายเป็ย่ำแย่ โรงพยาบาลกับผู้เข้ารับบริการต่างไม่เชื่อมั่นต่อกันและกัน
เซี่ยเสี่ยวหลานยังคงเตรียมค่ารักษาพยาบาลไว้ 200 หยวน
แม้ย่าอวี๋ไม่ใช่คนอัธยาศัยดี ทว่าตอนนี้หาเช่าบ้านได้ยากเย็นนักจะไปหาบ้านที่เหมาะขนาดนี้จากที่ไหน?
เซี่ยเสี่ยวหลานยอมอ่อนให้หญิงชราผู้โดดเดี่ยวทีเดียวเธอหวังว่าย่าอวี๋จะอาการดีขึ้นในเร็ววัน จากนั้นก็จะสามารถเป็เ้าของบ้านและผู้เช่าที่ไม่ก้าวก่ายกันต่อไปได้!
หลิวเฟินใอย่างยิ่ง ชะเง้อจากหน้าประตูอยู่หลายหนกระวนกระวายนั่งไม่ติด
ย่าอวี๋ไร้ญาติ เพื่อนบ้านส่วนใหญ่ก็ไม่ถูกโรคกันเซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้เลยว่าควรแจ้งใคร มีแค่พวกเธอสองแม่ลูกที่คอยเฝ้าตกกลางคืนก็งีบหลับในทางเดินของโรงพยาบาล ตื่นมายามเช้าจึงรู้สึกคัดจมูก
หลัง 7 โมงเช้าผ่านไปในที่สุดก็มีหมอมาแจ้งพวกเธอ
“อาการดีขึ้นบ้างแล้ว ภายในร่างกายมีการอักเสบอย่างรุนแรง ต้องอยู่ดูอาการที่โรงพยาบาลอีกสักพักพวกคุณไปจัดการเอกสารเถอะ”
ย่าอวี๋ได้สติตอน 11 โมง โดยมีเซี่ยเสี่ยวหลานเฝ้าอยู่หน้าเตียงผู้ป่วยส่วนหลิวเฟินกลับไปทำอาหาร ย่าอวี๋ขยับตัว เซี่ยเสี่ยวหลานจึงสะดุ้งตื่น
“คุณตื่นแล้ว? ฉันไปเรียกหมอให้!”
ย่าอวี๋ยังไม่ทันจับต้นชนปลาย เซี่ยเสี่ยวหลานก็ได้วิ่งออกจากห้องพักไปราวกับสายลมแล้ว
ผู้ป่วยเตียงถัดไปทักทายกับย่าอวี๋ “คุณป้าหลานคุณสินะ? เด็กสาวทั้งสะสวยและกตัญญูเฝ้าคุณอยู่ทั้งคืนเลย ”
ย่าอวี๋อ่อนเพลีย ยังคงสีหน้าเฉยเมยส่ายศีรษะด้วยความแข็งกระด้าง
“ไม่ใช่”
ไม่ใช่อะไรน่ะหรือ? ย่าอวี๋ไม่ยอมเอ่ยแม้อีกเพียงสองคำ
เตียงข้างๆ รนหาเื่สร้างความกระอักกระอ่วนให้ตนเองกับคนอย่างย่าอวี๋นี้หากไม่มีวิธีสนทนาด้วย จะทำบทสนทนากร่อยได้อย่างง่ายดาย!
ย่าอวี๋พักฟื้นในโรงพยาบาลเป็วันที่สาม คนอื่นถึงรู้เื่
งานทำความสะอาดถนนดูแลโดยสำนักงานท้องถิ่นส่วนถนนที่ย่าอวี๋รับผิดชอบไม่มีคนมาทำความสะอาดสามวันคนของสำนักงานท้องถิ่นย่อมไปเยือนถึงบ้าน ถึงทำให้รู้ว่าย่าอวี๋เข้าโรงพยาบาล...คนมากมายเล็งบ้านของตระกูลอวี๋เอาไว้ แม้ย่าอวี๋จะปล่อยบ้านให้เซี่ยเสี่ยวหลานกับมารดาเช่าอาศัยทว่ากลับบอกต่อคนภายนอกว่าเป็ญาติพี่น้องจากที่ห่างไกลมาขออาศัยเท่านั้น
คนของสำนักงานท้องถิ่นถอนใจด้วยความะเือารมณ์ “ดีที่ยังมีญาติห่างๆ อย่างพวกคุณนะ ไม่เช่นนั้นใครจะดูแลคุณหญิงชราคนนี้เล่า?”
ย่อมต้องเป็สำนักงานท้องถิ่นจัดคนมาดูแล
แต่ตอนนี้ดีแล้ว นี่ก็คืองานในนามของเซี่ยเสี่ยวหลานและมารดา
บ้านหูหย่งไฉเพิ่งรู้เื่ภรรยาหูหย่งไฉคิดว่าเซี่ยเสี่ยวหลานประสบเคราะห์ดีเหลือเกินอาศัยบ้านได้ไม่นานเท่าไร ย่าอวี๋ก็ล้มป่วยหากไม่ได้เซี่ยเสี่ยวหลานพาส่งโรงพยาบาลอย่างทันท่วงที คราวนี้ย่าอวี๋คงมีแนวโน้มพบหายนะมากกว่าเป็แน่แท้
หญิงชราไม่ไปมาหาสู่กับใครทั้งสิ้น ทำงานกวาดถนน คนจากสำนักงานท้องถิ่นก็รับผิดชอบเพียงจ่ายเงินเดือนให้เธอทุกเดือน
จะสามารถสังเกตว่าเธอไม่เข้างานได้ที่ไหน หญิงชราโดดเดี่ยวใช้ชีวิตคนเดียวอันตรายไม่น้อย
ย่าอวี๋คนนี้ช่างใจแข็งนัก เธอรู้ว่าตนเองเป็โรคเบาหวานพบแพทย์ที่โรงพยาบาลทุกครั้งล้วนแอบไปเอง รับประทานยาที่บ้านก็ไม่ให้เซี่ยเสี่ยวหลานและมารดารู้เห็นคนอื่นไม่สนิทสนมกับเธอ ย่อมไม่รู้อะไรสักอย่างเช่นกัน
ภรรยาหูหย่งไฉลองคิด แบบนี้ย่าอวี๋คงต้องเปลี่ยนแปลงทัศนคติแล้วสินะ?
ใช่ที่ไหนเล่า ใบหน้าแข็งทื่อของเธอยังคงเฉยเมยดั่งเดิมราวกับคนที่เซี่ยเสี่ยวหลานและหลิวเฟินช่วยในคืนนั้นไม่ใช่เธอหลายวันมานี้แม่ลูกคอยวิ่งวุ่นดูแลที่โรงพยาบาลแต่ไม่ได้รับความซาบซึ้งจากเธอแม้แต่น้อย—บ้านหูรับรู้เื่ราวที่แท้จริงพวกเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ใช่ญาติห่างไกล ทว่าเป็เพียงผู้ขออาศัย ค่าเช่าบ้าน 20 หยวนต่อเดือนไม่เคยขาด ไม่ได้ติดค้างย่าอวี๋เสียหน่อย
แต่หญิงชราก็เป็คนเช่นนี้ จะทำอะไรเธอได้?
โชคดีว่าเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้ทำดีเพราะประสงค์สิ่งอื่นใดตอนแทนไม่อย่างนั้นคงเกรี้ยวโกรธจนตายเอาจริงๆ
วันที่ย่าอวี๋ออกจากโรงพยาบาล ก็ควักค่ารักษาพยาบาลจ่ายด้วยตนเองเรียบร้อย
คุณหมอนึกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานและหลิวเฟินคือสมาชิกครอบครัวก่อนออกจากโรงพยาบาลจึงไล่ตามกำชับหลิวเฟินอาหารเครื่องดื่มต้องห้ามของผู้ป่วยโรคเบาหวานและปกติต้องรับประทานยาตรงเวลาเพื่อควบคุมน้ำตาลในเื หลิวเฟินขอให้หมอบอกอยู่หลายรอบกว่าจะจำขึ้นใจได้หลังจากย่าอวี๋ออกจากโรงพยาบาล หลิวเฟินไม่สนว่าสีหน้าของหญิงชราสบอารมณ์หรือไม่ทุกวันจะจับจ้องอาหารการกินของย่าอวี๋ราวกับขโมย พบหน้าทักทายก็เอาแต่ ‘วันนี้คุณกินยาหรือยังคะ’ คนละเอียดอ่อนพื้นเพเป็หญิงสูงศักดิ์ในสังคมเก่าเช่นย่าอวี๋รู้สึกพูดไม่ออกกับหลิวเฟินโดยสิ้นเชิง
วันนี้คุณกินยาหรือยังคะ?
มีการทักทายแบบนี้ด้วยหรือ!
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ไปสอพลอย่าอวี๋ผู้เ็าเด็ดขาด อาจเพราะทำดีได้ดีย่าอวี๋ออกจากโรงพยาบาลวันที่สอง เมืองซางตูอุณหภูมิลดลงฮวบฮาบ
สภาพอากาศฝนปนหิมะทำให้คนสัญจรบนถนนพากันหดคอเพราะความหนาว
อากาศยิ่งหนาวเย็น เซี่ยเสี่ยวหลานยิ่งยินดี
เธอซื้อผ้าใบกันน้ำหนึ่งผืนใหญ่ ตอกแท่งไม้สี่ด้าน มุงเป็เพิงขนาดเล็ก
ลมหนาวพัดกระพือ แม้สามด้านล้อมไว้ด้วยผ้าใบ ลมก็จะเข้ามาทางด้านที่หันออกถนนอยู่ดีหลี่เฟิ่งเหมยเรียนรู้วิธีการขายสินค้ากับเซี่ยเสี่ยวหลาน สองคนใส่เสื้อขนเป็ดทั้งนุ่มนิ่มและอบอุ่น หากสามารถคลุมเข่าด้วย หลี่เฟิ่งเหมยสาบานว่าตลอดฤดูหนาวต้องทำใจถอดเสื้อนี้ออกไม่ได้แน่นอน
“อุ่นเหลือเกิน!”
ใช่แล้ว อุ่นเหลือเกิน
ฤดูหนาวของซางตูมาเยือนจริงๆ แล้วอุณหภูมิต่ำลงกะทันหันทำเอาทุกคนรับมือไม่ทันเทียบกับเสื้อกันหนาวทั่วไปรวมถึงเสื้อนอกทหาร สีสันเสื้อกันลมและเสื้อขนเป็ดบนแผงลอยของเซี่ยเสี่ยวหลานสดใสสวยงามกว่าในหมู่เสื้อนอกทหารและเสื้ออ่าวสีเข้มสีแดงแรงฤทธิ์กับสีเหลืองสุกสกาวจะดึงดูดสายตาผู้คน
สภาพอากาศฝนปนหิมะไม่แ่ลงเลย พวกเซี่ยเสี่ยวหลานตั้งแผงเสร็จตอนเช้ากลางวันก็มียอดแรกแล้ว
ราคา 48 หยวนต่อหนึ่งตัวตัวที่ขายไปคือเสื้อกันลมสีสลับแดงน้ำเงินของผู้ชาย
ชายคนหนึ่งซื้อเสื้อวิ่งกลับไปมาสามรอบในสองชั่วโมงถึงจ่ายเงินในท้ายที่สุดเขาอาจวิ่งไปถามราคาในห้างสรรพสินค้า เซี่ยเสี่ยวหลานก็เคยถามเช่นกันเสื้อแบบคล้ายกันอยู่ที่ 58 หยวนเห็นได้ชัดว่าราคาขายของเธอมีศักยภาพการแข่งขันมากกว่า
ยอดแรกของวันนี้เหมือนกับเปิดกล่องสมบัติสักกล่องออก
ไม่ว่าใครจะมาสอบถามราคาเซี่ยเสี่ยวหลานจะอนุญาตให้อีกฝ่ายลองสวมใส่เสื้อผ้าได้ในสายลมเยือกเย็นที่มีหยาดฝนและหิมะ สวมเสื้อแบบนี้แล้วช่างไม่อยากถอดออกเลยเสียจริง...ราคาแพงเอาเื่ แต่ถูกกว่าของร้านค้าสิบกว่าหยวน เงินทองบ้านในบ้านมิได้พัดมากับลมถ้าประหยัดได้สัก 10 หยวนก็เพียงพอเป็เงินยังชีพหนึ่งเดือนแล้ว
