ฮูหยินผู้เฒ่ามองเด็กสามสี่คน แล้วเอ่ยอย่างจริงจัง "พวกเ้าอาจไม่เข้าใจ ว่าอยู่ดีๆ เหตุใดข้าถึงให้เฉียวเยว่ไปเฝ้าจับตาสังเกต พวกเ้าควรรู้ว่า เฉียวเยว่อายุเพียงห้าขวบ เด็กห้าขวบคนหนึ่งยังมองอะไรออกแล้ว ข้าหวังว่าพวกเ้าเองก็สามารถมองเห็นได้เช่นเดียวกัน"
นางยังคงเลื่อนเม็ดประคำภาวนาต่อ "มิเช่นนั้นเท่ากับว่าพวกเ้าสู้เด็กห้าขวบไม่ได้"
ซูเจี้ยนอันกับซูิเยว่ตอบพร้อมกัน "ท่านย่า พวกเราทราบแล้ว"
แท้จริงแล้วฮูหยินผู้เฒ่ามิได้คาดหวังให้เฉียวเยว่ไปสืบความอะไรจริงจัง เพียงแค่อยากให้บทเรียนแก่ิเยว่กับเจี้ยนอันเท่านั้น
เฉียวเยว่ยังคงนอนกลิ้งเล่นอยู่บนตั่ง ขบคิดอยู่ว่าจะมีเื่อันใดหรือไม่
มิเช่นนั้นท่านย่าคงไม่ต้องทำถึงขนาดนี้
แต่เื่แบบนี้ย่อมไม่มีใครบอกเด็กน้อยอย่างนาง มาคิดๆ ดูแล้ว ตอนเป็ทารกเป็่เวลาที่ดีที่สุด สามารถนอนดูดนิ้วเท้าแอบฟังได้ทุกเื่ ไม่มีใครมาสนใจว่านางจะอยู่หรือไม่ เพราะอย่างไรเสียก็ยังเป็แค่ทารก
แต่ตอนนี้สิ ทุกคนต่างระมัดระวังตัวทุกกระเบียดนิ้ว งานอดิเรกเพียงหนึ่งเดียวของเด็กน้อยฉลาดเฉลียวผู้น่าสงสารอย่างนางจึงถูกปิดกั้นหมดสิ้น
เฉียวเยว่ยังคงนอนกลิ้งไปกลิ้งมาไม่หยุด ไท่ไท่สามเกิดความฉุนเฉียวในหัวใจ เ้าตัวน้อยคนนี้ของบ้านนางไม่มีความเป็สตรีเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าตนเองจะส่งสายตาไปเท่าไร นางก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนที่ถูกจ้องไม่ใช่เ้าหรืออย่างไรฮึ!
ขณะที่เฉียวเยว่ยังคิดฟุ้งซ่าน ซูเจี้ยนอันกับซูิเยว่ล้วนไปกันหมดแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าถามไท่ไท่สาม "บิดาเ้าอยู่เจียงหนานสบายดีหรือไม่?"
ไท่ไท่สามอมยิ้ม "ได้ยินว่าดียิ่งเ้าค่ะ คนเก่งมีพร์ที่เจียงหนานมีมาก ท่านพ่อราวกับปลาได้น้ำทีเดียว เพียงแต่ครั้งนี้ท่านอ๋องจ้าวนำข่าวมาแจ้งว่า อีกไม่กี่วันพี่ใหญ่น่าจะกลับมาเมืองหลวง คิดว่าพวกเขาคงจะย้ายกลับมาเมืองหลวงเร็วๆ นี้เ้าค่ะ"
เฉียวเยว่ลุกพึ่บขึ้นมาทันที นางเอ่ยถามว่า "ท่านแม่ ท่านตากับท่านลุงของข้าจะมาหรือ?"
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ฮูหยินผู้เฒ่าอมยิ้ม "พอได้ยินว่าท่านตากับท่านลุงจะกลับมาก็ดีใจใหญ่เลยเชียวนะ"
นางบีบแก้มยุ้ยของเฉียวเยว่พลางหยอกเย้า "ปรกติเมื่อเอ่ยถึงย่าไม่เห็นเ้าจะตื่นเต้นเช่นนี้บ้างเลย"
เฉียวเยว่ยกมือเท้าสะเอว "เมื่อเอ่ยถึงท่านย่าข้าย่อมต้องดีใจอยู่แล้ว ข้าชอบอยู่กับท่านย่าที่สุด บิดาข้าแย่มาก ชอบตีเด็ก ท่านย่าคือพระยูไลที่สามารถกำราบซุนหงอคงเช่นบิดาข้าให้อยู่หมัดได้"
ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะพรืด นางดึงเฉียวเยว่เข้ามากอด "วันหลังหากบิดาตีเ้าอีก ก็มาฟ้องย่า คอยดูเถอะ ย่าจะต่อว่าเขาเอง ตำราท่องอ่านไปเสียเปล่าหมดแล้วหรือ ถึงมารังแกเฉียวเยว่ที่น่ารักของพวกเรา บุตรสาวต้องเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอม จะให้เลี้ยงเหมือนอย่างเขาได้อย่างไร อิ้งเยว่ก็น่าเป็ห่วงไปคนหนึ่งแล้ว เขายังจะสั่งสอนเฉียวเฉียวของข้าส่งเดชอีกหรือ?"
เฉียวเยว่ดิ้นขลุกขลักลุกขึ้นมายืน "พี่สาวของข้าเก่งมาก"
ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าว "ใครบอกว่านางไม่ดี เพียงแต่ที่ชวนให้วิตกกังวลก็คือเด็กผู้หญิงที่เก่งกล้าสามารถกว่าผู้ชาย พวกเ้าพี่สาวน้องสาวต่างน่าเป็ห่วงทั้งคู่ ผู้อื่นวิตกว่าบุตรจะโง่เขลาเกินไป แต่บ้านของเราสิ กลับต้องวิตกว่าบุตรเฉลียวฉลาดเกินไป"
แม้ว่าจะกล่าววาจาเช่นนี้ แต่น้ำเสียงกลับแฝงแววภาคภูมิใจ
เฉียวเยว่เข้าใจได้ทันที ท่านย่าของนางวิตกกังวลเสียที่ไหน
นางเอ่ยเสียงดังฟังชัดอย่างเอาจริงเอาจัง "ข้าจะเก่งเหมือนกับพี่สาว"
ท่าทางของนางทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะขบขัน เพียงแต่วันนี้ยุ่งมาทั้งวัน นางก็เหนื่อยมากแล้ว
ไท่ไท่สามเห็นสีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าแลดูอ่อนเพลีย จึงกล่าวขึ้นทันที "ท่านแม่เหน็ดเหนื่อยมากแล้ว ข้าจะไปปลุกฉีอัน ท่านก็พักผ่อนเร็วหน่อยเถิดเ้าค่ะ"
ฮูหยินผู้เฒ่าส่ายหน้า "คืนนี้ให้ฉีอันนอนที่นี่เถอะ เด็กยังไม่ตื่นเลย
ฉีอันเป็เด็กขี้เซามาก เขาไม่ใช่ประเภทนอนกลางวันมาเยอะแล้วกลางคืนจะไม่ยอมหลับยอมนอน เป็เช่นนี้มาั้แ่เล็ก เลี้ยงง่ายน่ารักเป็ที่สุด
ไท่ไท่สามจูงบุตรสาวกลับห้อง เดินไปก็บ่นไป "เห็นชัดเจนแล้วใช่หรือไม่ ต่อไปเื่แบบนี้เ้าอย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวให้มากนัก เ้ารู้หรือไม่การที่เ้าเข้าไปยุ่มย่ามทำให้ท่านลุงใหญ่โกรธแทบตาย"
เฉียวเยว่เงยหน้าดวงน้อยขึ้น แล้วะโดึ๋งดั๋ง "เช่นนั้นท่านแม่ก็บอกข้าสิ ท่านไม่บอกอะไรข้าเลย ท่านย่าให้ข้าทำ ข้าไหนเลยจะปฏิเสธได้ ข้าต้องเป็เด็กดีเชื่อฟังผู้ใหญ่เสมอมิใช่หรือ"
ไท่ไท่สามจุกในลำคอ แต่ก็ยากจะเอ่ยปาก จำต้องอดกลั้นเอาไว้
เฉียวเยว่รบเร้าถามต่อ "ท่านแม่ ท่านก็พูดเถอะ เกี่ยวกับท่านลุงใหญ่อย่างไร?"
ไท่ไท่สามยังไม่ยอมพูดอะไร
เฉียวเยว่รู้สึกว่ามารดาของนางเหลือทนจริงๆ
ทุกครั้งที่คุยกันชอบอมพะนำไว้ครึ่งหนึ่ง นางตรึกตรองอยู่ชั่วขณะ ก็แสดงสีหน้าว่า 'ถึงท่านไม่บอกข้าก็รู้'
"ข้ารู้แล้ว ท่านลุงใหญ่ต้องหมายตาคนจากจวนอัครเสนาบดีหวังอยู่แน่ๆ บางที... บางทีท่านปู่ก็อาจมิได้คัดค้าน แต่ท่านย่าไม่เห็นดีเห็นงามด้วย จึงวางแผนตบตาให้ญาติผู้พี่ทั้งสองได้เข้าใจว่าการเลือกคู่ครองต้องดูที่นิสัยเป็หลัก หาใช่ชาติตระกูล"
หลังพูดจบ เฉียวเยว่ก็เท้าสะเอวะโไปยืนอยู่ตรงหน้าไท่ไท่สาม "ท่านแม่ ท่านว่า... ท่านว่าข้าพูดถูกหรือไม่?"
เฉียวเยว่พูดถูกเผง
ไท่ไท่สามก้มลงไปอุ้มหนูน้อยตัวกลมขึ้นมา แต่ตนเองกลับซวนเซ หลังจากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า "เ้า... หนักขึ้นอีกแล้วใช่หรือไม่?"
เดิมทีก็อุ้มไม่ขึ้นอยู่แล้วนะ!
เฉียวเยว่กลับดีอกดีใจ "ข้าอ้วนขึ้น ท่านแม่ดีใจหรือไม่ ท่านแม่เลี้ยงบุตรเก่งยิ่ง เลี้ยงจนอ้วนขาวเลย"
ไท่ไท่สามอมยิ้ม "เ้าเด็กแสบคนนี้"
นางทำสีหน้าจริงจัง "เอาล่ะ รู้ก็ดีแล้ว วันหลังหากมีเื่เช่นนี้อีกก็แกล้งโง่ไปเสีย อย่าทำให้ลุงใหญ่กับป้าสะใภ้ใหญ่ไม่พอใจ"
เฉียวเยว่กลับไม่แยแส "แต่ข้าก็ไม่อยากทำให้ท่านย่าไม่สบายใจเหมือนกัน ท่านย่ารักข้าที่สุด"
ไม่ช้าเฉียวเยว่ก็ถามขึ้น "ท่านแม่ ท่านตาเป็คนอย่างไรหรือ?"
"ท่านตาของเ้าหรือ? เป็คนชราที่ประหลาดมากเชียวล่ะ" ไท่ไท่สามตอบ
เฉียวเยว่หัวเราะคิกคัก ตั้งท่าป่าวประกาศ "ข้าจะกลับไปจดในสมุดบันทึกเล่มเล็ก รอท่านตากลับมาค่อยเอาให้ท่านตาอ่าน ท่านแม่บอกว่าเขาประหลาด นี่ก็คือหลักฐาน"
ไท่ไท่สามหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เ้าตัวน้อยของพวกเขาอยู่ไม่สุขแม้แต่ชั่วขณะจิตจริงๆ นางทำเสียงดุ "หากพูดเหลวไหล ข้าจะตีเ้า"
เฉียวเยว่มองฟ้าอย่างสิ้นหวัง พูดอย่างมีความนัยแอบแฝง "พวกท่านสองสามีภรรยาช่างเป็คู่์สร้างมาแท้ๆ"
หลันหมัวมัวซึ่งอยู่ด้านหลังหัวเราะตาม
เฉียวเยว่ราวกับพบแนวร่วม กล่าวขึ้นทันควัน "หลันหมัวมัว เ้าว่าจริงหรือไม่?"
หลันหมัวมัว "สิ่งที่คุณหนูเจ็ดของเราพูด... ย่อมถูกต้องที่สุดเ้าค่ะ"
หลันหมัวมัวเป็หมัวมัวที่มาพร้อมกับมารดาของนางตอนแต่งงาน รู้จักครอบครัวสกุลฉีเป็อย่างดี นางรำพึงขึ้นว่า "มารดาท่านใช้คำว่าประหลาด นี่เป็วิธีอธิบายที่สุภาพแล้ว นายท่านน่ะ..."
ไท่ไท่สาม "หมัวมัว!"
หลันหมัวมัว "ไม่พูดเ้าค่ะ ไม่พูด"
แต่เพียงชั่วครู่เดียวก็กล่าวอีกว่า "ส่วนท่านลุงของคุณหนู..."
อาจเป็เพราะสองสามวันมานี้ทุกคนต่างเอ่ยถึงท่านตากับท่านลุงของนาง เฉียวเยว่จึงกางนิ้วออกนับวันที่พวกเขาจะกลับมา
ตั้งหน้าตั้งตาเฝ้ารอ ไม่ช้าสองพ่อลูกสกุลฉีก็เข้าสู่เมืองหลวง
ครั้งนี้ท่านลุงของนางได้รับเลื่อนตำแหน่งจากผู้ว่าการมณฑลกว่างตงและกว่างซีมารับตำแหน่งเสนาบดีกรมอาญา
เฉียวเยว่ไม่เข้าใจเกี่ยวกับการปรับตำแหน่งเหล่านี้ แต่จากที่ฟังผู้อื่นคุยกัน ก็น่าจะยากมาก
นอกจากนี้ท่านลุงของนางยังเป็ขุนนางฝ่ายบุ๋นที่ได้เลื่อนขั้นเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ต้าฉี และเป็เ้ากรมหนึ่งในหกที่อายุน้อยที่สุด
เฉียวเยว่รอคอยทั้งวันว่าเมื่อไรท่านแม่จะพานางไปจวนของท่านลุง แต่ไม่นึกว่าท่านตากับท่านลุงจะถึงกับมาหาเองถึงที่
วันแรกที่มาถึงเมืองหลวง ก็แล่นตรงไปจวนซู่เฉิงโหวทันที ยังไม่กลับจวนของตนเอง
หลายปีผ่านไปเมื่อเฉียวเยว่ย้อนนึกถึงวันนี้ นางคิดว่าหากตนเองรู้ล่วงหน้าว่าท่านลุงกับท่านตาจะมา นางจะต้องสวมเสื้อผ้าสวยๆ แต่งตัวให้งดงามราวกับนางฟ้าน้อย
ไม่ใช่... เละเป็ลิงตกน้ำโคลน
ยามนี้เฉียวเยว่กำลังขุดดินอยู่ใต้ต้นไม้ ขุดไปก็พูดกับฉีอันไป "ข้าจะบอกอะไรให้ หากเ้ามีเื่ไม่สบายใจก็ให้เขียนใส่กระดาษ จากนั้นก็เอามาใส่ในขวด แล้วฝังลงดิน เหมือนที่ข้าทำอยู่ตอนนี้ หลังจากนั้นเื่ร้ายก็จะหายไป รอเวลาผ่านไปหลายๆ ปีเ้าสามารถย้อนกลับมาดูได้ บางทีเ้าอาจรู้สึกว่าความกลัดกลุ้มเล็กๆ น้อยๆ ในตอนนั้นช่างน่ารักเสียเหลือเกิน"
ทั้งหน้าตาและศีรษะของเฉียวเยว่มีแต่ดิน ฉีอันก็ขุดตามอยู่ด้านข้าง "เช่นนั้นจะมีคนรู้ แล้วแอบมาอ่านหรือไม่"
เฉียวเยว่เท้าสะเอว "เ้าบัดซบคนไหนจะกล้าแอบอ่านของของเทพธิดาน้อยผู้นี้"
หลังจากใคร่ครวญดูแล้ว "เช่นนั้นพวกเรามาปักป้ายไว้ตรงนี้กันเถอะ เขียนว่า ที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง"
น้ำเสียงของนางฉายแววหยอกเย้าอยู่หลายส่วน
"์ บุตรสาวของข้า เ้าว่ามาซิ เหตุใดหลานชายหลานสาวของข้าดีๆ ถูกสอนจนกลายเป็เช่นนี้ไปได้" เสียงคร่ำครวญปานฟ้าดินะเืดังขึ้น
เฉียวเยว่แทบจะตกลงไปในหลุมที่ตนเองขุดไว้
นางเอี้ยวศีรษะกลับมามอง ภายในระยะเวลาสั้นๆ สมองของนางก็นึกได้ว่าสองคนนี้เป็ใคร
ชายชราผมและหนวดเคราขาวสง่างามราวกับเทพเซียนก็คือท่านตาของนาง แม้ว่าเคยพบกันเพียงสองครั้ง แต่นางก็จำได้
ส่วนคนที่อยู่ข้างกายชายชราหนวดขาวก็คือท่านลุงของนาง บุคคลมหัศจรรย์ในตำนาน
ต้องบอกว่าท่านลุงของนางเป็บุคคลประเภทที่เฉียวเยว่ชื่นชมเป็ที่สุด
แม้ว่าจะเป็ขุนนางฝ่ายบุ๋น แต่ใบหน้าของเขาดูเด็ดเดี่ยว มีเหลี่ยมมุมชัดเจน แม้จะแตกต่างกับบิดาโดยสิ้นเชิง แต่เขาก็เป็ชายหนุ่มที่มีเสน่ห์แบบดั้งเดิม
นางถึงกับโยนพลั่วเล็กทิ้ง แล้ววิ่งเข้าไปหาทันที "ท่านลุง!"
เด็กหญิงตัวน้อยโผเข้าไปกอดขาของฉีจือโจว
ฉีจือโจวนึกไม่ถึงว่าหลานสาวจะจำเขาได้
ไม่เพียงแต่จำได้ ยังดีอกดีใจวิ่งเข้ามาหาอีกด้วย
เขายิ้มแล้วอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยขึ้นมา ทว่าไม่ทันจะได้พูดสักคำ ก็ถูกชนเข้าอีกที เสี่ยวฉีอันก็วิ่งเข้ามา "ท่านลุง ท่านลุง อุ้มๆ"
ไม่รู้สึกแปลกหน้าแม้แต่น้อย
ฉีจือโจวอุ้มเด็กทีเดียวสองคน เขาพูดอย่างมีความสุข "เฉียวเยว่จำลุงได้อย่างไร?"
ซูซานหลางกับไท่ไท่สามก็ไม่นึกว่าซาลาเปาน้อยของบ้านตนจะจำคนได้ ช่างน่าใจริงๆ
ครั้งก่อนที่พี่ชายมาเยี่ยม นางยังคลานอยู่เลย
เฉียวเยว่ตอบอย่างลำพองใจ "ก็ข้าเป็เซียนน้อย"
ฉีจือโจวเลิกคิ้วยิ้มน้อยๆ "ไม่ใช่ว่าเป็เทพธิดาหรอกหรือ?"
เห็นได้ชัดว่าได้ยินคำพูดของนางเมื่อครู่
เฉียวเยว่เปลี่ยนคำทันที "ก็ข้าเป็เทพธิดาน้อยนี่เ้าคะ"
"ปัดโธ่เอ๊ย ทั้งหลานชายหลานสาวจำข้าไม่ได้แล้ว ไยข้าถึงอาภัพเช่นนี้ หลานชายหลานสาวถูกบุตรสาวเลี้ยงจนเสียคนไม่ว่า ตอนนี้ยังจำข้าไม่ได้ ข้าปวดใจเหลือเกิน ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้ว ข้าต้องกินยา ต้องกินยาบำรุงขนานใหญ่เลย..."
น้ำเสียงหยาบทะลุเข้ามาในหู
เฉียวเยว่กอดคอของฉีจือโจว ฉีอันเห็นแล้ว ก็เลียนแบบเฉียวเยว่ทันที
ยามนี้ฉีจือโจวแทบจะต้องฝึกวิชาแยกร่าง
เขาอารมณ์ดีอย่างยิ่ง
"เด็กๆ ช่างน่ารักยิ่ง"
เฉียวเยว่เอ่ยทันควัน "ท่านลุง ข้าจะไปเที่ยวบ้านของท่าน"
ไท่ไท่สามรู้สึกเหลืออด "ซูเฉียวเยว่ เ้าอย่าให้มันเกินไปนัก"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้