เยว่เฟิงเกอโกรธมาก นางนั่งลงบนเตียงพลางนึกถึงหนังสือหย่าที่ถูกม่อหลิงหานป่นเป็ผงไปเมื่อครู่ นางก็ยิ่งโกรธ
“ม่อหลิงหานน่าตายนัก ทำลายหนังสือหย่าของข้า แต่ก็ไม่เป็ไร ข้ายังเขียนหนังสือหย่าได้อีกเป็พันเป็หมื่นฉบับ ข้าไม่เชื่อหรอกว่า ด้วยใบหน้าอันงดงามนี้ของข้า หลังหย่ากับเ้าแล้ว จะไม่มีใครกล้าแต่งกับข้าอีก” เยว่เฟิงเกอพูดจบก็ลงจากเตียงมานั่งตั้งใจเขียนหนังสือหย่าที่หน้าโต๊ะต่อ
นางเขียน: ตัวข้าเยว่เฟิงเกอตัดสินใจหย่าร้างกับจั้นอ๋องม่อหลิงหาน เนื่องจากความสัมพันธ์ไม่ลงรอย สองคนนับแต่นี้ขอลาจาก ไม่ข้องเกี่ยวกัน...
เมื่อเขียนจบ นางก็เขียนคำว่าเยว่เฟิงเกอตัวใหญ่สามตัวไว้ปิดท้าย หลังจากเป่าจนน้ำหมึกแห้งดีแล้ว ถึงได้พับหนังสือหย่าฉบับนั้นอย่างดี และเรียกชิงจื่อเข้ามาด้วย้าให้คนนำหนังสือหย่านี้ไปส่ง “เอาไปให้ม่อหลิงหาน ให้เขาลงนามเสีย”
ชิงจื่อมีสีหน้าลำบากใจ นางไม่อยากไปส่งหนังสือหย่าแม้แต่น้อย นั่นไม่ใช่เพราะกลัวว่าม่อหลิงหานจะโยนความโกรธทั้งหมดมาลงที่นาง แต่กลัวว่าม่อหลิงหานจะโกรธจนหุนหันลงนามในหนังสือหย่า
เยว่เฟิงเกอเห็นว่าชิงจื่อยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่มีทีท่าจะจากไป ก็กล่าวอย่างไม่พอใจว่า “เหตุใดยังไม่ไปส่งหนังสือหย่าอีก? ”
ชิงจื่อกล่าวอย่างเกรงๆ ว่า “พระชายา บ่าวไม่อยากให้ทรงหย่ากับท่านอ๋อง ระหว่างพวกท่านต้องมีอะไรเข้าใจผิดกันแน่ บ่าวจะไปหาท่านอ๋องเดี๋ยวนี้ แต่ขอให้พวกท่านได้ปรับความเข้าใจกัน อย่าได้โกรธกันและกันต่อไปเลย ดีหรือไม่เพคะ? ที่จริงแล้วท่านอ๋องดีกับพระองค์มาก ความเปลี่ยนแปลงของท่านอ๋องใน่ที่ผ่านมานี้ ทุกคนต่างก็เห็นกันทั่ว บ่าวยังรู้สึกดีใจแทนพระชายาอยู่เลย บ่าวไม่อยากเห็นท่านอ๋องและพระชายาต้องหย่ากันเพียงเพราะความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นนะเพคะ”
เยว่เฟิงเกอฟังคำของชิงจื่อก็นึกย้อนกลับไปเมื่อหลายวันที่ผ่านมา ใช่ ม่อหลิงหานเปลี่ยนไปมากจริงๆ บางทีระหว่างพวกนางอาจจะมีความเข้าใจผิดอะไรจริงๆ ก็ได้
เยว่เฟิงเกอเองก็นึกถึงข้อนี้เช่นกัน แต่นางจะไม่ยอมขายหน้าไปขอปรับความเข้าใจกับม่อหลิงหานก่อนแน่ อีกทั้งท่าทางเด็ดขาดเมื่อครู่ของม่อหลิงหานก็เป็สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เยว่เฟิงเกอยิ่งโกรธมากกว่าเดิม
“เอาเป็ว่าข้าไม่สนใจ หนังสือหย่านี้ เ้าต้องนำไปส่งและให้ม่อหลิงหานลงนามมาด้วย มิฉะนั้นข้าก็ไม่้าเ้าแล้ว” เยว่เฟิงเกอพูดไปเพราะโกรธ แต่ชิงจื่อฟังแล้วกลับอดไม่ได้ให้อกสั่นขวัญแขวน
ด้วยเหตุนี้ ชิงจื่อจึงไม่กล้าชักช้า รีบเก็บหนังสือหย่าเข้าในชายเสื้อแล้วเดินออกไปจากเรือน
ถึงแม้เยว่เฟิงเกอจะไม่อาจไปจากเรือนเยว่เหยาได้ แต่ชิงจื่อยังคงสามารถเข้าออกได้โดยอิสระ
นางรีบร้อนวิ่งไปที่เรือนหานโยว และได้เห็นเฉียวเฟยกับถานอี้กำลังเฝ้าอยู่ด้านนอก
เช่นเดียวกัน คนทั้งสองเห็นสีหน้าร้อนรนของชิงจื่อก็พากันคาดเดาว่าอาจเกิดเื่อะไรขึ้นกับพระชายา คิดถึงตรงนี้ ก็รีบเข้าไปรั้งชิงจื่อไว้
ถานอี้เป็ฝ่ายถามขึ้นก่อน “เ้ารีบร้อนมาเพียงนี้ เกิดอะไรขึ้นกับพระชายาหรือไม่? ”
ชิงจื่อวิ่งมาหอบหายใจ รอจนนางหายใจได้เป็ปกติแล้วถึงได้กล่าวขึ้นด้วยสีหน้าหนักใจ “พระชายาเขียนหนังสือหย่าขึ้นมาอีกฉบับแล้ว บอกว่าไม่ว่าอย่างไรก็จะหย่ากับท่านอ๋อง พวกเ้าบอกมาสิว่าควรทำเช่นไรดี? ”
ถานอี้และเฉียวเฟยสบตากันไปทีหนึ่ง เมื่อครู่พวกเขาเองก็เห็นแล้วว่าท่านอ๋องและพระชายาทะเลาะกันหนักมาก ซึ่งนับเป็ครั้งแรกที่คนทั้งสองทะเลาะกันหนักเพียงนี้ด้วย
พวกเขาไม่อยากเห็นคนทั้งสองทะเลาะกันต่อไป ยิ่งไม่อยากให้หย่ากันจริงๆ
สององครักษ์หนึ่งสาวใช้ได้แต่ปิดปากเงียบ ใช้ความคิด พวกเขาต่างกำลังขบคิดจนปวดหัวว่าควรต้องจัดการกับเื่นี้อย่างไรดี
หนังสือหย่าฉบับนั้นจะให้ท่านอ๋องเห็นไม่ได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นคงไม่มีใครกล้ารับประกันว่า หากท่านอ๋องพิโรธหนักจะหุนหันลงนามในหนังสือนั่นเลยหรือไม่
ในตอนที่พวกเขาทั้งสามคนไม่รู้จะทำอย่างไรดีอยู่นั้น ประตูเรือนก็ถูกเปิดออก ม่อหลิงหานเดินออกมาด้วยสีหน้าเ็ายิ่ง
เพียงเห็นชิงจื่อ สีหน้าก็ยิ่งไม่น่ามองกว่าเดิม
“เ้ามาร้องขอให้ปรับความเข้าใจกันแทนพระชายาเ้าหรือ? ” จนถึงตอนนี้ม่อหลิงหานก็ยังมีความหวังอยู่
ชิงจื่อลังเล ไม่รู้ควรจะตอบอย่างไรดี พระชายาไม่ได้ให้นางมาช่วยปรับความเข้าใจ แต่ให้มาเพื่อขอให้ท่านอ๋องลงนามในหนังสือหย่า
ม่อหลิงหานเห็นสีหน้าลำบากใจของชิงจื่อ ก็พอจะเดาได้คร่าวๆ แล้ว ในใจของเขาทั้งอึดอัดคับข้องและทรมานยิ่ง
เขายิ้มเ็า ถลึงตาใส่ชิงจื่อ “กลับไปบอกพระชายาเ้า อยากจะหย่ากับเปิ่นหวางก็รอชาติหน้าเถอะ”
ม่อหลิงหานพูดจบก็เดินออกไปจากเรือนหานโยวทันที เขามุ่งหน้าไปยังหอแปดทิศ และทิ้งให้ชิงจื่อ เฉียวเฟยกับถานอี้มองหน้ากันไปมา
เนื่องจากวันนี้ม่อหลิงหานยังต้องกินยาถอนพิษอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งเขาวางไว้ที่หอแปดทิศ
ม่อหลิงหานยิ่งเดินยิ่งโกรธ โกรธไปโกรธมาก็เดินมาถึงเรือนเยว่เหยาโดยไม่รู้ตัว
สององครักษ์ที่เฝ้าประตูอยู่ เห็นม่อหลิงหานมาต่างก็พากันแสดงความเคารพ พวกเขากำลังจะพูดอะไรก็เห็นม่อหลิงหานส่งสัญญาณให้เงียบปาก
ม่อหลิงหานผลักประตูเรือนเยว่เหยาเข้าไปก็เห็นว่าหน้าห้องยังปิดประตูไว้แน่น เขาขมวดคิ้วหนักขึ้น
เพียงแต่ เมื่อเดินเข้าไปกลับได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากด้านใน
“น่าโมโหจริงๆ เ้าว่าเขาหมายความว่าอย่างไรกันแน่ หลังจากกลับมาจากวังหลวงก็ทำสีหน้าเ็าใส่ข้า คล้ายว่าข้าไปทำเื่อะไรที่ผิดต่อเขามาอย่างไรอย่างนั้น เมื่อครู่ไม่เพียงทะเลาะกับข้า ยังบอกจะขังข้าไว้ที่นี่ ไม่ให้ไปไหน เ้าว่าเขาเป็บ้าหรือเปล่า”
เพียงไม่นานภายในห้องก็มีเสียงบุรุษดังขึ้น “บางทีระหว่างพวกท่านอาจจะมีเื่เข้าใจผิดอะไรกัน ท่านกับม่อหลิงหานลองจับเข่าคุยกันให้ชัดเจนน่าจะดี หากว่าเป็เื่ที่เข้าใจผิดกันจริงๆ ก็ปรับความเข้าใจกันเสีย ท่านจะเขียนหนังสือหย่าอะไรนี่ทำไม ที่จริงแล้วท่านทำเช่นนี้นับว่าทำร้ายจิตใจเขาเป็อย่างมาก”
เมื่อม่อหลิงหานได้ยินเสียงบุรุษจากด้านในลอยออกมา มือที่วางอยู่ข้างลำตัวก็กำแน่นจนเส้นเืเส้นเอ็นปูดโปน
ทว่า เขากลับเลือกอดทนเก็บความโกรธไว้เพียงในใจ ไม่ได้ผลักประตูเข้าไป และยังคงยืนรอฟังต่อ
เพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงเยว่เฟิงเกอดังขึ้นอีก “เหตุใดพวกเ้าแต่ละคนต่างก็พากันพูดว่าระหว่างเราคงจะมีเื่เข้าใจผิดกัน หากว่าระหว่างเราสองมีเื่ที่เข้าใจผิดกันจริง เหตุใดเขาถึงไม่พูดออกมา เป็เขาที่ทำร้ายข้าก่อน ไม่ใช่ข้าที่ทำร้ายเขา”
ครู่หนึ่งเสียงชายคนนั้นก็ดังตอบ “เช่นนี้เป็อย่างไร ที่ข้านี้มียาเม็ดที่จะทำให้ท่านได้ยินเสียงที่ลอยมาตามลมได้ชัดเจนขึ้น ขอแค่ท่านกินยานี้เข้าไป ท่านก็จะได้ยินเสียงที่ห่างออกไปไกลยี่สิบเมตรได้ชัดเจนชั่วคราว ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดเบาแค่ไหนก็ไม่เป็ปัญหา หากท่านอยากได้จริงๆ ข้าลดให้เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์เลย ทั้งหมดแค่สองร้อยมูลค่าการซื้อ เป็อย่างไร จะซื้อไหม? ”
เยว่เฟิงเกอที่อยู่ในห้องกลอกตามองบนใส่โทรศัพท์ เ้าพ่อค้าใจโฉด
นางว่าแล้ว แท้จริงแล้วชายที่ชื่ออย่าถามว่าข้าคือใครคนนี้พึ่งพาไม่ได้ พูดกันยังไม่ทันจบสามประโยคก็เริ่มโฆษณาสินค้าตัวเองอีกแล้ว แต่ว่าหากนางซื้อยาเม็ดนี้ไป นางจะสามารถได้ยินเสียงที่ไกลออกไปยี่สิบเมตรได้อย่างชัดเจน ถึงแม้จะแค่ชั่วคราวก็ตาม
เช่นนี้นางก็จะได้ยินอย่างชัดเจนว่าม่อหลิงหานสนทนากับใคร หรือกำลังนินทานางหรือไม่
เยว่เฟิงเกอมองมูค่าการซื้อของตัวเองที่ยามนี้มีอยู่แค่สามสิบ
นางมีสีหน้าอมทุกข์ เปิดวีแชทขึ้นมาคุยกับอย่าถามว่าข้าคือใครต่อ “เห็นแก่ที่เราสนิทกันแล้ว ข้ายอมเล่าเื่ของข้าให้เ้าฟังทั้งหมด ย่อมนับเป็สหายกัน ตอนนี้ข้ามีอยู่แค่สามสิบมูลค่าการซื้อ ถ้าอย่างไรเ้าก็ขายให้ข้าถูกๆ หน่อยเถอะ”
เมื่ออย่าถามว่าข้าคือใครได้ยินเยว่เฟิงเกอบอกว่ามีแค่สามสิบมูลค่าการซื้อ เขาก็ปฏิเสธทันที “ท่านมีแค่สามสิบมูลค่าการซื้อ ข้าขายให้ท่านไม่ได้หรอก เราอย่าเอาเื่ธุรกิจกับเื่ส่วนตัวมาปะปนกัน อีกอย่างข้าลดให้ท่านตั้งเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว ถูกกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
เยว่เฟิงเกอเห็นว่าอีกฝ่ายปฏิเสธเด็ดขาด ไม่เหลือช่องว่างให้นางได้ต่อรองอีก ก็รีบกล่าวต่อ “เช่นนั้นก็ Goodbye เราสองวันหน้าไม่นับเป็สหายอีก ข้าเองก็จะไม่ซื้อของจากร้านเ้าอีกแล้ว เ้าเก็บไว้ใช้เองเถอะ ลาก่อน อย่าได้พบเจอกันอีกเลย”
อย่าถามว่าข้าคือใครได้ฟังคำขาดของเยว่เฟิงเกอ ก็รีบตอบกลับมาทันที “เดี๋ยวสิ ยาเม็ดนี้ของข้าให้ข้าใช้เองก็ไม่มีประโยชน์ เอาอย่างนี้ดีไหม เห็นแก่ความสัมพันธ์ของสองเรา ข้าลดให้อีกหน่อยเอาไหม หนึ่งร้อยห้าสิบมูลค่าการซื้อ ถูกกว่านี้ไม่ได้แล้ว ส่วนว่าจะได้มูลค่าการซื้อเหล่านี้มาได้อย่างไร ท่านคงรู้อยู่แล้วว่าในนี้มีภารกิจอะไรบ้าง เพียงทำภารกิจให้สำเร็จ ท่านก็จะได้มาง่ายๆ ”
เยว่เฟิงเกอเห็นว่าต่อราคาไม่ได้แล้ว ทำได้แค่กัดฟัน “ได้ เช่นนั้นเ้าเก็บยาเม็ดนั้นไว้ให้ข้าก่อน รอจนข้ามีมูลค่าการซื้อที่เพียงพอแล้วค่อยซื้อ”
เมื่อคนทั้งสองตกลงธุรกิจกันเสร็จแล้วก็เริ่มคุยกันเื่อื่น
ทว่า ระหว่างที่กำลังสนทนากันอย่างมีความสุขนั้น ประตูห้องก็ถูกเตะออก
“ปัง” เสียงดังทำเอาเยว่เฟิงเกอใจกระตุก
นางรีบหันไปมองก็เห็นม่อหลิงหานยืนทำหน้าทะมึนมองนางอยู่
เยว่เฟิงเกอถูกสีหน้านี้ของม่อหลิงหานทำเอาใจนหนังศีรษะชา นางรีบปิดวีแชทด้วยไม่อยากให้ม่อหลิงหานรู้ว่านางกำลังสนทนากับบุรุษอยู่
“เ้าสนทนากับใครอยู่? ” ม่อหลิงหานเดินก้าวยาวๆ เข้ามาเลิกผ้าห่มที่คลุมตัวเยว่เฟิงเกอไว้ออก
ตอนนี้เยว่เฟิงเกอสวมแค่กางเกงตัวในและเสื้อคลุมตัวบาง
ผิวขาวเนียนวับแวมนั้นจึงถูกม่อหลิงหานเห็นเข้าให้แล้ว
แน่นอนว่า แม้ผิวขาวๆ ของนางจะซ่อนอยู่ในเสื้อคลุมตัวบาง แต่จะทำอย่างไรก็ปิดไม่มิด
นางคิดไม่ถึงว่าม่อหลิงหานจะกลับเข้ามาอีก จึงตั้งใจว่าคุยกับอย่าถามว่าข้าคือใครเสร็จแล้วก็จะเข้านอน มิคาดม่อหลิงหานไม่เพียงกลับมา ซ้ำยังเลิกผ้าห่มนางขึ้นอีกด้วย
“อ๊า” เยว่เฟิงเกอส่งเสียงดังพร้อมลุกขึ้นนั่ง คิดจะแย่งผ้าห่มมาคลุมกายไว้เหมือนเดิมทันที
แต่ม่อหลิงหานกลับใช้แรงเยอะเกินไป เยว่เฟิงเกอไม่อาจแย่งผ้าห่มกลับมาได้
“เ้าคนสารเลว รีบออกไปเสีย” เยว่เฟิงเกอร้อนใจ หน้าแดงก่ำ นางรีบใช้มือปิดบังร่างกาย เพื่อไม่ให้ส่วนสำคัญถูกม่อหลิงหานเห็น
ทว่า นางช้าไปแล้ว เมื่อครู่ตอนที่ผ้าห่มถูกเลิกขึ้น ม่อหลิงหานเห็นนางไปทั้งร่างแล้ว เขาอึ้งอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องที่เรือนร่างของเยว่เฟิงเกอ
เมื่อเห็นว่านางหน้าแดง ทั้งยังมีท่าทีลนลาน ชั่วขณะนั้นม่อหลิงหานก็คล้ายจะลืมเลือนเื่ที่พวกตนกำลังทะเลาะกันอยู่ไป
เยว่เฟิงเกอโกรธจนหน้าแดงเมื่อเห็นว่าม่อหลิงหานเอาแต่มองนาง โดยไม่มีแม้ความคิดจะจากไป
นางยกขาเตะไปทางม่อหลิงหาน
ฉับพลันนั้นม่อหลิงหานดึงสติกลับมาได้ คว้าจับขาเยว่เฟิงเกอไว้
“ปล่อยนะ ไม่เช่นนั้นข้าจะร้องะโ” เยว่เฟิงเกอดึงขากลับอย่างโกรธๆ อยากให้ม่อหลิงหานปล่อยมือที่จับขานางไว้
เพียงแต่ เมื่อม่อหลิงหานได้ยินเยว่เฟิงเกอบอกว่าจะเรียกคน เขาก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่ได้ยินเสียงผู้ชายดังมาจากด้านใน มิหนำซ้ำการแต่งตัวของเยว่เฟิงเกอในยามนี้ก็ยังเป็เช่นนี้ เขาก็ยิ่งแน่ใจว่า ที่นี่ต้องมีชายอื่นอยู่อีกแน่