ศิษย์บางคนหนีเข้ามาทางประตูเมือง ขณะที่บางคนก็ปีนข้ามกำแพง ทว่าสิ่งที่พวกเขาพบเจอต่อจากนั้นกลับแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
สิงโตหินที่ประตูเมืองทั้งยิ่งใหญ่และสง่างาม ระฆังสองใบที่คอยังคงสั่นไหวแ่เบา คลื่นเสียงอันเงียบงันบิดเบือนมิติจนเกิดระลอกคลื่น ซึ่งก่อเป็คลื่นกระแทกที่แปลกประหลาด
บางคนถูกกระแทกออกไปไกล บางคนาเ็สาหัส และบางคนก็เสียชีวิต นอกจากนี้ยังมีคนที่ชุดขาดวิ่นแต่ไม่ได้รับผลกระทบรุนแรงมากนัก หลังจากโดนกระแทกสองสามครั้ง พวกเขาก็วิ่งเข้าไปในเมือง
สิ่งแรกที่เหล่าศิษย์สำนักต่างๆ เห็นทันทีที่ข้ามกำแพงเมือง คือ ใบไม้ปลิวว่อนทั่วนภา เถาวัลย์เริงระบำอย่างดุเดือด มวลบุปผาส่งกลิ่นขจรชวนหลงใหล และใบหญ้ากวัดแกว่งไปมาราวกับแหอวนที่รอคนเข้าไปในโกศ[1]
เสียงคำรามและกรีดร้องดังออกมาไม่หยุด ศิษย์ของสำนักต่างๆ ที่ข้ามกำแพงเข้ามาล้วนได้รับาเ็ เืของพวกเขาถูกพฤกษาิญญากลืนกิน จนเกิดชั้นหมอกโลหิตปกคลุมทั่วทั้งเมือง
หนิงเทียนที่อยู่ในเมืองมองย้อนกลับไปทางหอฉิน ร่างที่เคลื่อนผ่านไปทำให้เขารู้สึกถึงการเคลื่อนไหวที่อธิบายไม่ได้
ทำไมถึงรู้สึกคุ้นเคยเช่นนี้นะ?
หอสูงแผดเสียงดังก้องและมีตัวอักษรลอยอยู่กลางอากาศ ทำให้หอสูงอีกสามแห่งในเมืองร้างสั่นไหวไปตามกัน
กลุ่มลูกศิษย์ที่อยู่ในเมืองก็ตอบสนองอย่างรวดเร็วเช่นกัน พวกเขารีบวิ่งไปยังหอสูงอีกสามแห่งที่เหลือ โดยสันนิษฐานว่ามีสมบัติล้ำค่าซ่อนอยู่ในสถานที่เ่าั้
ใบไม้คมกริบดุจใบมีด ใบหญ้าเรียวแหลมราวกระบี่ กลิ่นหอมรัญจวนของหมู่มวลผกาขโมยจิติญญา และเถาวัลย์ยืดยาวก็พุ่งเข้ามาขวางกั้นเส้นทาง
ในเมืองร้างที่ดูทรุดโทรมนี้มีอันตรายแฝงอยู่ทุกหนทุกแห่ง หากผู้ใดใจร้อนและไม่ระวังตัวก็ล้วนต้องตายด้วยฝีมือของเหล่าพฤกษา
หนิงเทียนหันกลับมาและเริ่มใช้ยุทธศาสตร์ครอง์ ดอกบัวบานสะพรั่งอยู่ใต้เท้า เหล่าพฤกษาบริเวณใกล้เคียงกำลังดิ้นรนอย่างหนัก และในไม่ช้าพวกมันก็ถูกยุทธศาสตร์ครอง์รุกราน
หลังจากดอกไม้ ต้นไม้ ต้นหญ้า และเถาวัลย์ที่แต่เดิมเป็ทาสของเถาวัลย์หัวผีพันิญญาได้พบกับหนิงเทียน พวกมันต่างก็ถูกยุทธศาสตร์ครอง์ควบคุมอย่างรวดเร็วเช่นกัน
การขยายการประยุกต์ใช้ทักษะยุทธศาสตร์ครอง์นี้เป็ทักษะที่หนิงเทียนเรียนรู้มาจากเถาวัลย์หัวผีพันิญญา แต่ด้วยข้อจำกัดด้านขอบเขต เขาจึงไม่สามารถควบคุมพฤกษาิญญาจำนวนมากพร้อมกันได้
ทันใดนั้น ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นด้านหลังหนิงเทียนพร้อมเผยรอยยิ้มเ้าเล่ห์ออกมาจากดวงตา “หนิงเทียนจากสำนักร้อยบุปผา?”
หนิงเทียนหันกลับไปมองผู้มาเยือนแล้วพูดอย่างเ็าว่า “มีอะไรหรือ?”
ชายคนนั้นยิ้มอย่างเย่อหยิ่งพร้อมปะทุเปลวเพลิงสีชาดออกมาจากร่างกาย ต้นหญ้า ดอกไม้ ต้นไม้ และเถาวัลย์โดยรอบล้วนถอยกลับอย่างรวดเร็วเนื่องด้วยอุณหภูมิที่สูงเกินไป
“ข้าคือต่งซิงอู่ ศิษย์หลักของสำนักชื่อหยวนปัง ได้ยินมาว่าความแข็งแกร่งทางกายภาพของเ้าดีมาก ข้าจึงอยากขอคำชี้แนะจากเ้าสักหน่อย” ต่งซิงอู่ก้มมองหนิงเทียนจากตำแหน่งที่สูงกว่าอย่างหยิ่งผยอง
“ข้าไม่ว่าง” หนิงเทียนตอบพลางถอนสายตาและเดินต่อไป
ต่งซิงอู่ใบหน้าแข็งค้างไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็แสดงสีหน้าโกรธจัด
ให้ตายเถอะ การตอบว่าไม่ว่างเช่นนี้เป็การดูถูกเขาอย่างชัดเจน!
“ข้าเอ่ยวาจาไปแล้ว เ้าปฏิเสธได้หรือ?”
ต่งซิงอู่กระโจนลงมาเบื้องล่าง ความโกรธเคืองของเขาพุ่งสูงขึ้นและพยายามบีบบังคับให้หนิงเทียนสู้กลับ
เปลวไฟที่ลอยอยู่สะบัดพลิ้วราวกับงูเพลิง ลวดลายทางจิติญญาวูบไหวในอุณหภูมิร้อนระอุ ซึ่งประกอบด้วยคลื่นผันผวนอันน่าสะพรึงกลัว
หนิงเทียนไม่หันหน้าไปมอง ทั้งยังโต้ตอบด้วยยุทธศาสตร์ครอง์ ดอกไม้ ต้นไม้ ต้นหญ้า และเถาวัลย์ข้างกายขยายตัวอย่างรวดเร็ว ใบไม้ร่วงหล่นดุจแสงกระบี่พร้อมทำลายห้วงอากาศ ส่วนเถาวัลย์ก็พุ่งทิ่มแทงทะลุงูเพลิงราวกับหอกแหลม
ต่งซิงอู่ถูกิญญาพฤกษาโจมตีอย่างหนักหน่วง พวกมันเหล่านี้ล้วนเป็ิญญาอสูรระดับสาม ซึ่งไม่ได้สร้างภัยคุกคามต่อหนิงเทียนมากนัก แต่สำหรับบรรดาหยวนซิวแล้ว การมีิญญาอสูรหลายสิบหลายร้อยตนเข้ามาโจมตีพร้อมกันเช่นนี้ก็ถือเป็เื่ที่ลำบากอย่างยิ่ง
...
ฝั่งตรงข้ามหอฉินคือหอตำรา โดยมีหอภาพเขียนอยู่ทางซ้าย และหอหมากรุกอยู่ทางขวา
ศิษย์แต่ละสำนักล้วนเข้ามาจากประตูเมืองฝั่งหอฉิน ดังนั้น สถานที่ที่ใกล้ที่สุดในยามนี้จึงเป็หอภาพเขียนและหอหมากรุก ขณะที่หอตำราจะอยู่ไกลที่สุด และจำเป็ต้องผ่านจัตุรัสกลางเมืองซึ่งเต็มไปด้วยความโกลาหล ทั้งยังแผ่คลื่นป้องกันอันน่าสยดสยอง
บรรดาศิษย์ซิงซิว หยวนซิว และจื๋อซิวรีบวิ่งไปที่หอภาพเขียนและหอหมากรุกอย่างบ้าคลั่ง ระหว่างทางพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีอย่างดุเดือดจากิญญาพฤกษา ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
หนิงเทียนยังคงไม่ไหวติง เป้าหมายของเขาคือเถาวัลย์หัวผีพันิญญาและบ่อน้ำใกล้จัตุรัส
ต่งซิงอู่แผดเสียงคำรามด้วยความโกรธ เขาคือผู้ที่เก่งกาจที่สุดในบรรดาศิษย์หลักของสำนักชื่อหยวนปัง ในที่สุดเขาก็ได้พบกับหนิงเทียนและ้าสังหารเ้าบ้านั่นด้วยมือของเขาเอง เพื่อระบายความโกรธแค้นของสำนัก แต่ใครจะคิดว่าหนิงเทียนจะแกล้งมองไม่เห็นและเพิกเฉยเขาราวกับว่าเขาเป็อากาศธาตุ
สิ่งที่น่าหงุดหงิดยิ่งกว่านั้น คือ เหล่าต้นไม้ ดอกไม้ ต้นหญ้า และเถาวัลย์จะศิโรราบทันทีที่หนิงเทียนเข้าใกล้ แต่กลับบุกเข้าโจมตีเขาอย่างบ้าคลั่งเสียอย่างนั้น นี่มันกลั่นแกล้งกันชัดๆ!
และสาเหตุที่หนิงเทียนไม่ถูกโจมตีก็เป็เพราะทักษะยุทธศาสตร์ครอง์
เถาวัลย์หัวผีพันิญญากดขี่ิญญาอสูรในเมืองเอาไว้ มันใช้พลังของต้นไม้ ดอกไม้ ต้นหญ้า และเถาวัลย์เหล่านี้ป้องกันไม่ให้บุคคลภายนอกเข้ามาใกล้ ทั้งยังดูดซับเืของบรรดาผู้บำเพ็ญเพื่อฟื้นฟูความเสียหายของตน มัน้ากลับไปอยู่ในขอบเขตเปลี่ยนผ่านอีกครั้ง
หนิงเทียนมีความตั้งใจแน่วแน่และไม่สนใจแวดล้อมภายนอก ดอกบัวช่วยปูทางเดินใต้ฝ่าเท้า ซึ่งพาเขามาถึงจัตุรัสกลางเมืองได้ในเวลาอันสั้น
ด้านหนึ่งของจัตุรัสมีบ่อน้ำตั้งอยู่ ปากบ่อน้ำแห่งนี้เต็มไปด้วยหมอกแห่งความโกลาหล และมีกลิ่นอายของเถาวัลย์หัวผีพันิญญาอยู่ที่นี่
หนิงเทียนรีบมายังบ่อน้ำอย่างรวดเร็ว ขณะที่เขากำลังจะก้มไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นที่ก้นบ่อ ทันใดนั้นกล้วยไม้เซียนเก้าชีวิตในร่างก็ตื่นขึ้น พร้อมปล่อยคำเตือนออกมาตามสัญชาตญาณ ทำให้เขาต้องถอยกลับไปอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าหวาดกลัว
เปลวเพลิงแห่งความโกลาหลซึ่งเปี่ยมด้วยคลื่นแสงทำลายล้างปะทุขึ้นจากบ่อน้ำ มันพุ่งออกมาจากปากบ่อและเกิดการะเิที่รุนแรงจนห้วงมิติรอบด้านพังทลายลง จัตุรัสทั้งหมดบิดเบี้ยวผิดรูป ทวารทั้งเจ็ดของหนิงเทียนมีเืออกจำนวนมาก เขาาเ็ปางตายด้วยคลื่นทำลายล้างนี้
หากไม่ใช่เพราะคำเตือนที่ทันท่วงทีจากกล้วยไม้เซียนเก้าชีวิต และการปกป้องจากกายาสุวรรณะนิรันดร์ เขาก็คงกลายเป็กองกระดูกไปแล้ว
บ่อน้ำนี้ช่างน่าสยดสยองเหลือเกิน เขาเกือบจะถูกฝังอยู่ที่นี่แล้ว!
ร่างของหนิงเทียนกระแทกกับกำแพงอย่างแรง และถูกซากปรักหักพังถล่มใส่พร้อมเสียงที่ดังสนั่น
ทันใดนั้นเอง เถาวัลย์หัวผีพันิญญาก็ปรากฏขึ้นใกล้กับจัตุรัส เถาวัลย์ทั้งเก้าเส้นพันกันเป็หนึ่งเดียว ก่อนจะกลายเป็หอกสีดำที่มีคลื่นลมกัดกร่อนและพุ่งใส่หนิงเทียนอย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางซากปรักหักพัง กระแสธารค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็แม่น้ำสายหนึ่ง และมีร่างปริศนาที่พร่ามัวผุดขึ้นมาจากเกลียวคลื่น
เถาวัลย์หัวผีพันิญญาหยุดชะงักไปชั่วขณะ หอกสีดำหักพร้อมเสียงดังหวือ มันรีบมุดลงดินและเผ่นหนีไปอย่างไร้ร่องรอย
ซากปรักหักพังะเิเป็เสี่ยงๆ หนิงเทียนรีบวิ่งออกไปพร้อมแสยะยิ้มอย่างขุ่นเคือง “คิดจะหนีหรือ?”
กลิ่นอายที่หลงเหลืออยู่ข้างปากบ่อน้ำเมื่อครู่นี้คือแผนการของเถาวัลย์หัวผีพันิญญา มัน้าใช้บ่อน้ำนั้นลอบทำร้ายเขา
หนิงเทียนได้รับาแโดยไม่ทันตั้งตัว เถาวัลย์หัวผีพันิญญาจึงใช้โอกาสนี้เข้าสังหารเขา แต่ก็น่าเสียดายที่มันหวาดกลัวต่อแหล่งกำเนิดของชีวิต
ใบหน้าของหนิงเทียนเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว บงกชสีมรกต ต้นไม้แห้งเหี่ยว หญ้าต้นน้อย และเถาวัลย์เขียวข้างกายพร้อมใจกันหยั่งรากลงดิน ยุทธศาสตร์ครอง์แผ่ขยายอย่างรวดเร็ว มันรุกรานิญญาพฤกษาโดยรอบ และไล่ตามเถาวัลย์หัวผีพันิญญา
ในไม่ช้าหนิงเทียนก็ได้รับความคืบหน้า แต่สถานการณ์ขณะนี้ก็ทำให้เขารู้สึกยุ่งยากยิ่งกว่าเดิม นั่นเพราะเถาวัลย์หัวผีพันิญญากำลังหลบซ่อนอยู่ในบ่อน้ำ
มันเข้าไปได้อย่างไรกัน?
หนิงเทียนสับสนมาก มันบังเอิญเกินไปหรือไม่ที่จู่ๆ เปลวเพลิงแห่งความโกลาหลก็ปะทุออกมาจากบ่อน้ำ? เถาวัลย์หัวผีพันิญญากำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่?
หนิงเทียนเดินเข้าไปจ้องมองบ่อน้ำอย่างช้าๆ พลางครุ่นคิดว่าเขาจะเข้าไปในนั้นได้อย่างไร และจะสังหารเถาวัลย์หัวผีพันิญญาด้วยวิธีใด
เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ในตอนนี้ หากบุกเข้าไปโดยตรงเขาก็คงตายด้วยเปลวเพลิงอันพลุ่งพล่าน แต่หากไม่เข้าไปแล้วเขาจะทำลายเถาวัลย์หัวผีพันิญญาได้อย่างไร?
หนิงเทียนตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทันใดนั้นกล้วยไม้เซียนเก้าชีวิตในร่างของเขาก็ปล่อยคลื่นประหลาดออกมา ซึ่งบ่งชี้ไปทางหอตำราในเมืองร้าง
หนิงเทียนสับสนขึ้นมาทันที หรือวิธีการเข้าไปในบ่อน้ำนี้จะบันทึกไว้ในหอตำรา?
เมื่อมองไปรอบๆ ก็พบว่าการต่อสู้ของศิษย์จากสำนักต่างๆ ทางฝั่งหอภาพเขียนและหอหมากรุกนั้นกำลังห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด มีเพียงหอตำราเท่านั้นที่เงียบสงัด เนื่องจากมันอยู่ไกลที่สุด ทั้งยังเป็เื่ยากที่เหล่าผู้บำเพ็ญจะข้ามผ่านแนวป้องกันของิญญาพฤกษาไปได้
หนิงเทียนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วรีบวิ่งไปยังหอตำราทันที ด้วยอำนาจจากการขยายอาณานิคมของยุทธศาสตร์ครอง์ เหล่าิญญาพฤกษาทั้งหมดล้วนเบือนหน้าหนี แม้แต่ต้นไม้และเถาวัลย์ต่างๆ ก็ยังต้องโค้งลำต้นลงราวกับคำนับ
...
หอตำราแห่งนี้มีความสูงห้าชั้น ทั้งยังมีลักษณะคล้ายหอคอยและมีร่องรอยแห่งกาลเวลาปรากฏอยู่ทั่ว
บริเวณใต้หอคอยมีร่างหนึ่งยืนอยู่ เมื่อตั้งใจมองอยู่ครู่หนึ่งก็เห็นว่าร่างนั้นสวมกวานสีม่วง ซึ่งเขาก็คือชิวซานอวิ๋น องค์ชายสามแห่งจักรวรรดิเชียนซาน
แววตาของหนิงเทียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาคิดว่าจะไม่มีผู้ใดมาที่นี่แล้ว ทว่าชิวซานอวิ๋นกลับมาถึงหอตำราก่อนเขาเสียอีก
ชิวซานอวิ๋นยืนอยู่ตรงบันไดหน้าหอตำรา แต่กลับมีรอยเท้าปรากฏบนขั้นบันไดซึ่งมีฝุ่นหนาอย่างชัดเจน ดูเหมือนว่าจะมีคนเข้าไปข้างในแล้ว
หนิงเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อยและจงใจชะลอความเร็วลง ซึ่งเสียงฝีเท้าของเขาทำให้ชิวซานอวิ๋นหันมามอง
“เ้าค่อนข้างเร็วนะ” ชิวซานอวิ๋นยิ้มอย่างเยือกเย็น พร้อมมีหมอกควันแวบเข้ามาในดวงตาของเขา
หนิงเทียนตอบด้วยรอยยิ้มว่า “เ้าเองก็ไม่ช้าเลย แล้วยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้นเล่า? เข้าไปข้างในสิ”
“ข้าเคยเข้าไปแล้วครั้งหนึ่ง หากเ้าสนใจก็ลองดูได้”
“เ้าไม่ได้ขึ้นไปถึงชั้นบนสุดหรือ?” หนิงเทียนหัวเราะล้อเลียนเล็กน้อย
“แค่เ้าปีนไปถึงชั้นสามได้ก็ถือว่ามีความสามารถมากแล้ว”
“ชั้นสาม? วิสัยทัศน์ของเ้าต่ำไปหน่อยนะ” หนิงเทียนพูดพลางเดินไปหยุดอยู่ข้างชิวซานอวิ๋น แล้วเงยหน้ามองขึ้นไปบนหอคอย
หอคอยแปดเหลี่ยมที่มีโครงสร้างเป็ไม้ ทั้งยังมีรอยกระดำกระด่างบ่งบอกความเก่าแก่ และด้านหน้าอาคารมีบันไดห้าขั้นซึ่งชิวซานอวิ๋นได้ทิ้งรอยเท้าที่ยุ่งเหยิงเอาไว้
ร่องรอยของเจตนาสังหารแวบขึ้นมาในดวงตาของชิวซานอวิ๋น ทว่าเขาเพียงคิดเท่านั้น ยังไม่ได้ดำเนินการใดๆ แต่ดูเหมือนหนิงเทียนจะััถึงความผิดปกติได้ ขณะที่ชิวซานอวิ๋นกำลังลังเล เขาก็ตัดสินใจก้าวออกไปแล้ว
บันไดหินแต่ละขั้นมีความกว้างมากกว่าหนึ่งจั้ง และสูงประมาณหกชุ่น เมื่อหนิงเทียนก้าวขึ้นไป ก้อนฝุ่นก็ลอยขึ้นในอากาศทันที แรงบีบคั้นอันหนักหน่วงกดลงบนไหล่ของหนิงเทียน ทำให้ร่างของเขาสั่นะเื และดวงตาก็เผยให้เห็นความลับบางอย่าง
หาก้าเข้าไปในหอตำราจำเป็ต้องปีนบันไดหินเหล่านี้ก่อน ซึ่งนี่ก็คือการทดสอบอย่างหนึ่ง
หนิงเทียนคำรามเสียงทุ้มต่ำ เส้นสีทองบนิัของเขาเปล่งประกาย เสียงแห่งเต๋ากึกก้องอยู่ในร่าง จากนั้นพลังของเขาก็ทะยานขึ้นราวกับดวงอาทิตย์ที่แผดเผา เขาก้าวขึ้นไปทีละขั้นอย่างเชื่องช้าแต่ค่อนข้างมั่นคง
ดวงตาของชิวซานอวิ๋นจ้องมองหนิงเทียนราวกับคบเพลิง เ้าเด็กคนนี้อยู่เพียงขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นห้า แต่สามารถขึ้นไปบนบันไดหินของหอแห่งนี้ได้ นี่เขาอาศัยเพียงความแข็งแกร่งทางกายภาพอันมหาศาลเท่านั้นหรือ?
ประตูไม้ของหอตำราแง้มออกเล็กน้อย ด้านหน้าหอมีร่องรอยการเข้าออกปรากฏอยู่ และยามนี้ชิวซานอวิ๋นก็ถูกทิ้งไว้ข้างหลังแล้ว
หนิงเทียนเข้าไปในหอตำราได้สำเร็จ ภายในนี้มืดมากและพื้นที่ชั้นหนึ่งก็มีขนาดไม่ใหญ่นัก เขาจึงให้ความสนใจกับรอยเท้าบนพื้นและเดินตรงไปยังบันได
หอตำราชั้นหนึ่งเงียบสงบแต่ไม่เปล่าเปลี่ยว เนื่องจากมีเสียงพลิกหน้าตำราและเสียงท่องบทอ่านต่างๆ ดังแ่ๆ ราวกับมีิญญาอยู่โดยรอบ
“ต้องไปยังชั้นที่สูงขึ้นจึงจะได้เห็นทิวทัศน์ที่งดงาม เ้าควรเดินขึ้นไปอีกชั้น”
เสียงอ่านหนังสือทำให้หนิงเทียนตกอยู่ในภวังค์ไปครู่หนึ่ง ก่อนจะมีเสียงปริศนาดังขึ้นพร้อมดึงสติของเขากลับมา
เสียงนี้มาจากที่ใดกัน?
หนิงเทียนมองย้อนกลับไป ชิวซานอวิ๋นยังคงยืนอยู่ที่ทางเข้าและมีร่องรอยความโหดร้ายอยู่ที่มุมปากของเขา
เห็นได้ชัดว่าชิวซานอวิ๋นรู้สถานการณ์ที่ชั้นหนึ่ง เสียงอ่านหนังสือในที่แห่งนี้คงจะทำให้ผู้ได้ยินเกิดความหลงใหล และต้องใช้จิติญญาที่แข็งแกร่งเพื่อเอาชนะมัน
หนิงเทียนพยายามฟังและเรียนรู้สิ่งต่างๆ อย่างรอบคอบ เขาใช้เวลาไปกว่าครึ่งชั่วยามจึงจะสามารถผ่านมาถึงบันไดสู่ชั้นถัดไป
ที่นี่มีข้อจำกัดที่มองไม่เห็นอยู่เป็จำนวนมาก ซึ่งมีโครงสร้างจากอักขระที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง
หนิงเทียนตั้งจิตอย่างแน่วแน่ เส้นลมปราณทั้งเก้าในร่างของเขาสั่นะเื และแผนที่จิติญญาก็ฟื้นขึ้น ในที่สุดเขาก็สามารถเดินขึ้นบันไดวนจนมาถึงชั้นสองได้สำเร็จ
---------------------------------------
[1] รอคนเข้าไปในโกศ (诸君入瓮) หมายถึง การลงโทษโดยใช้วิธีของผู้อื่น
