ตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าไปถึงเรือนนางจ้าวนั้น นางจ้าวที่ได้รับการช่วยเหลือจากท่านหมอและบ่าวสองสามคนก็เพิ่งจะสะลึมสะลือฟื้นขึ้นมา
เดิมทีความสนใจของคนภายในห้องล้วนอยู่ที่ตัวฮูหยินจ้าวแต่เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเข้าห้องมา ทุกคนจึงพากันลุกขึ้นโดยพร้อมเพรียงหั่วอี้ยิ่งเข้าไปประคองฮูหยินผู้เฒ่าและพยุงนางไปนั่งที่เก้าอี้ด้วยตนเอง
“จ้าวไฉ่เอ๋อร์เป็อย่างไรบ้างท่านหมอ”
“เรียนฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินนางมีความกลัดกลุ้มจึงทำให้หมดสติไปมิได้เป็อันใดหนักหนาขอรับ” ท่านหมอยืนประสานมือโค้งตัวพลางตอบกลับ
“เหตุใดจ้าวไฉ่เอ๋อร์จึงมีเื่กลัดกลุ้มใจ ท่านหมอ ลูกในท้องนางไม่เป็ไรใช่หรือไม่”
“ฮูหยินผู้เฒ่าโปรดวางใจ ทารกในครรภ์ปกติดีขอรับไม่เป็อันใดแม้แต่น้อย เพียงแต่ฮูหยินไม่ควรมีเื่ทุกข์ใจอยู่เช่นนี้หาไม่แล้วก็จะกระทบต่อการเติบโตของทารกในครรภ์หากคุณชายน้อยต้องมาเกิดเื่ที่ไม่คาดคิดก่อนคลอดออกมาก็จะไม่เป็การดีขอรับ”
ท่านหมอพูดจบก็รีบเอามือปิดปาก พูดเสียงเบากับตนเองคำหนึ่งว่า“สมควรตายนัก เหตุใดจึงไม่ระวังพูดลิขิต์ออกไปเสียแล้ว”
ท่านหมอนึกว่าตนพูดเสียงเบา แต่คนในห้องก็ยังได้ยินกันหมด
“ว่าอย่างไรนะ ท่านหมอ เมื่อครู่ท่านบอกว่าลูกในท้องของจ้าวไฉ่เอ๋อร์เป็คุณชายน้อยหรือ”ฮูหยินผู้เฒ่าตื่นเต้นยินดีจนพุ่งตัวเข้าไปเอ่ยตรงหน้าท่านหมอ
“ล่วงเกินแล้วๆ ฮูหยินผู้เฒ่า ลิขิต์ไม่อาจแพร่พราย บอกไม่ได้บอกไม่ได้ขอรับ” ท่านหมอจงใจทำท่าลับๆ ล่อๆ ไม่ตอบฮูหยินผู้เฒ่าไปอย่างชัดเจน
แม้ท่านหมอจะไม่ได้ตอบมาให้ชัดแต่คล้ายว่าคนในห้องต่างพากันได้คำตอบแล้วว่าฮูหยินจ้าวตั้งครรภ์เป็เด็กผู้ชาย
“ท่านหมอบอกข้ามาเถิด จ้าวไฉ่เอ๋อร์นางไม่เป็ไรจริงๆ ใช่หรือไม่ต้องระวังเื่ใดบ้าง?” ฮูหยินผู้เฒ่าสอบถามท่านหมออีกคราด้วยความยินดี
“ฮูหยินผู้เฒ่าขอรับประการแรกนั้นฮูหยินต้องให้ความสำคัญเื่การพักผ่อนประการที่สองจะต้องมีอารมณ์ดีแจ่มใส ประการที่สามนั้น…” ท่านหมอพูดถึงตรงนี้กลับอ้ำอึ้งไม่พูดต่อ
“ยังมีสิ่งใด ท่านจงพูดออกมาตรงๆ”ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นว่าท่านหมอไม่พูดจนจบ จึงรู้สึกวุ่นวายใจขึ้นมา
“เื่นี้ ฮูหยินผู้เฒ่าขอรับ เกรงว่าข้าอาจดูผิดไปจึงไม่สามารถพูดได้อย่างแน่ชัดด้วยเหตุนี้จึงไม่กล้าพูดส่งเดชขอรับ” ท่านหมอยังคงบ่ายเบี่ยง
“มีเื่ใดท่านก็พูดออกมามิต้องอ้อมค้อม จะฟังหรือไม่เป็เื่ของพวกเราแต่ท่านเอ่ยออกมาครึ่งหนึ่งกลับไม่พูดให้หมด เช่นนี้ยิ่งทำพวกเรากระวนกระวายใจ”ฮูหยินผู้เฒ่าเหลืออด
แม้แต่หลิ่วจิ้งก็ยังถูกท่านหมอกระตุ้นความอยากรู้ขึ้นมานางเองก็อยากรู้เช่นกันว่าท่านหมอที่ทำท่ามีลับลมคมในผู้นี้้าพูดเื่ใดกันแน่
“เช่นนั้นข้าน้อยก็จะพูดนะขอรับ พูดถูกหรือไม่ต้องขอให้ฮูหยินผู้เฒ่าไปพิจารณาเองจึงจะได้”
ท่านหมอยังคงมีท่าทีลำบากใจทั้งมีลับลมคมในก่อนจะพูดว่า“ฮูหยินผู้เฒ่าขอรับข้าน้อยเคยเรียนวิชาดูโหงวเฮ้งซึ่งถ่ายทอดกันมาในตระกูลจากบิดามาเล็กน้อยเมื่อครู่นี้ข้าน้อยจับชีพจรให้ฮูหยินจึงตรวจดูด้วยว่าคุณชายน้อยเป็อย่างไรบ้างพบว่าคุณชายน้อยค่อนข้างทนรับไม่ไหวขอรับ”
“สิ่งใดคือทนรับไม่ไหว” เื่นี้เกี่ยวพันถึงทายาทรุ่นต่อไปของสกุลหั่วฮูหยินผู้เฒ่าอดมิได้จึงขัดคำท่านหมออยากถามให้ชัดเจน
“ฮูหยินผู้เฒ่าขอรับ คำกล่าวนี้หากพูดให้ฟังง่ายสักหน่อยก็คือเมื่อฮูหยินตั้งครรภ์เดิมทีก็เป็เื่ดี แต่คล้ายระยะนี้ในจวนของฮูหยินกำลังจะจัดงานมงคลอื่นคำโบราณว่าไว้ถูกต้องนัก แม้มงคลซ้อนมงคลจะนับเป็เื่ดีแต่เพราะคุณชายน้อยเพิ่งจะเริ่มกลับหัว ยังไม่มั่นคงนัก ด้วยเหตุนี้เขาจึงรับกับเื่มงคลที่หนักหนาเช่นนี้ไม่ไหวหากในจวน้าจัดงานมงคลให้จงได้ก็อาจส่งผลต่อชะตาชีวิตของคุณชายน้อยที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ไปด้วยขอรับ”
ท่านหมอพูดจบ ทุกคนก็พากันปิดปากนิ่งเหมือนถูกอบรมสอนสั่งมาอย่างดีในห้องพลันเงียบงันจนแม้แต่เข็มตกพื้นก็ยังได้ยินเสียง
“พูดจาเลอะเลือนไร้แก่นสาร บอกมา ผู้ใดส่งเ้ามา”หั่วอี้กระชากคอเสื้อท่านหมอและตวาดใส่อีกฝ่ายด้วยความโกรธ
“ท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพโปรดไว้ชีวิตด้วยขอรับที่ข้าน้อยพูดไปล้วนเป็ความจริงทั้งสิ้น”ท่านหมอประสานฝ่ามือกับกำปั้นร้องขอต่อหั่วอี้
“ฮูหยินผู้เฒ่าเ้าคะ ขอท่านช่วยตัดสินให้ข้าด้วยนี่เป็คุณชายน้อยผู้สืบสกุลรุ่นต่อไปของสกุลหั่วเชียวนะเ้าคะ ฮูหยินผู้เฒ่า…”
ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องไห้ของนางจ้าวดังมาจากเตียงเสียงร่ำไห้ของนางทำให้ในห้องไม่เงียบงันอีกต่อไป
หลิ่วจิ้งเห็นหั่วอี้ขมวดคิ้วแน่น ส่วนสีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าก็มิสู้ดีนัก
คล้ายหลิ่วจิ้งจะปะติดปะต่อเื่ราวบางอย่างได้แต่นางก็ยังไม่อาจมองได้ทะลุปรุโปร่งทั้งหมด
“ป้าจ้าว เ้าพาท่านหมอไปเบิกค่าตอบแทนที่ห้องบัญชีสิบตำลึงเงิน”
“เ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่า”ป้าจ้าวพูดจบก็ส่งสัญญาณให้ท่านหมอเดินออกไปพร้อมนาง
ฮูหยินผู้เฒ่ารอให้ท่านหมอออกไปก่อน ค่อยเอ่ยปากว่า “เหมยเซียง เ้าเล่ามาเถิดเมื่อครู่ฮูหยินบ้านเ้าอยู่ดีๆ เหตุใดจึงเป็ลมไปได้ ก่อนนางจะหมดสติเกิดเื่ใดขึ้นหรือ?”
เหมยเซียงรีบคุกเข่าลงตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่า
“เรียนฮูหยินผู้เฒ่า เดิมทีฮูหยินใหญ่อารมณ์ดียิ่งนักอาหารเย็นวันนี้ยังทานของว่างไปอีกตั้งมากมายภายหลังฮูหยินใหญ่บอกว่านางรับประทานมากเกินไป จึงให้ข้าพาไปเดินย่อยอาหารที่สวนหลังจวนเ้าค่ะ
ฮูหยินใหญ่ยังปกติดีเรื่อยมา จนกระทั่งพวกเราเดินไปถึงชิงช้าในสวนหลังจวนตอนนั้นฮูหยินใหญ่ก็เห็น เห็น…”
เหมยเซียงพูดถึงตรงนี้ก็ทำท่าอึกอักไม่กล้าพูดนางมองท่านแม่ทัพอย่างขลาดกลัวคราหนึ่ง ไม่กล้าเอ่ยต่อ
“พูดมา ฮูหยินใหญ่เห็นสิ่งใด”ฮูหยินผู้เฒ่ายกเท้าขึ้นถีบเหมยเซียงจนนางล้มลงไปนั่งกับพื้น
เหมยเซียงไม่กล้าปิดบัง ได้แต่กลั้นใจพูดออกไป “จนกระทั่งฮูหยินใหญ่เห็นท่านแม่ทัพกำลังป้อนยาให้ฮูหยินทันใดนั้นนางก็เป็ลมล้มลงเ้าค่ะ”
“นังหญิงยั่วราคะหน้าไม่อายเรียกคนมาเชิญองค์หญิงไปสงบจิตใจที่ห้องเก็บฟืนสักสองสามวัน”สิ้นเสียงฮูหยินผู้เฒ่าก็มีชายฉกรรจ์สองคนเข้ามาจากนอกห้อง พวกเขาเข้ามาจับแขนหลิ่วจิ้งไว้คนละข้างหมายจะลากตัวนางออกไป
“ท่านแม่ทัพ…” หลิ่วจิ้งร้องด้วยความใ นางไม่คาดคิดมาก่อนว่าเื่จะพลิกผันมาลงที่ตนเอง
“หยุดนะ พวกเ้าหยุดเดี๋ยวนี้” หั่วอี้ตวาดลั่นชายฉกรรจ์ที่กำลังจะลากหลิ่วจิ้งออกไปถึงกับมือสั่น ใจนต้องคลายมือที่จับนางออก
“อี้เอ๋อร์ เ้าคิดทำสิ่งใด” ฮูหยินผู้เฒ่ากระทืบเท้าไม่พอใจกับการกระทำของหั่วอี้
“ท่านแม่ เหตุใดต้องคุมตัวองค์หญิง นางมีความผิดใด”สีหน้าของหั่วอี้หนักอึ้งดั่งมีเมฆดำปกคลุม
“มีความผิดใดหรือ? อี้เอ๋อร์นี่เ้ายังคิดจะปกป้ององค์หญิงที่รู้จักแต่ยั่วยวนเ้าเช่นนั้นหรือ? หากไม่มีนาง ไฉ่เอ๋อร์จะหมดสติไปหรือไม่ หากไม่มีนางแล้วเ้าจะเลอะเลือนอยากแต่งกับนางหรือไม่?” ฮูหยินผู้เฒ่าคิดว่าตนเองมีเหตุผล จึงก้าวรุกเข้าใส่หั่วอี้อย่างไม่ลดละ
เดิมทีเมื่อบุตรชายนำองค์หญิงที่แม้แต่กษัตริย์แห่งชางอี้ก็ยังไม่้ากลับมานางก็ไม่เห็นชอบด้วยอยู่แล้วเพราะทำเช่นนี้มิใช่การตั้งตนเป็ปรปักษ์กับกษัตริย์แห่งชางอี้หรอกหรือแต่เห็นแก่ที่บุตรชายชื่นชอบสตรีผู้นี้ นางจึงปิดตาข้างหนึ่งไม่ไปก้าวก่าย แต่ยามนี้เื่เกี่ยวพันถึงชะตาชีวิตของหลานชายอันเป็ที่รักนางจึงมิอาจนั่งนิ่งไม่สนใจได้อีก
_____________________________