ห้องลับมีพื้นที่สิบกว่าตารางเมตร ข้างในมิได้มีเครื่องประดับเงินทองกระไร กลับมีชั้นหนังสือมากมาย และม้วนหนังสือที่หนาทึบทำให้พื้นที่แคบยิ่งขึ้น
ตรงกลางระหว่างชั้นหนังสือ มีโต๊ะตัวยาวๆ หมึก กระดาษ และแท่นหมึกวางอยู่ บนนั้นยังมีหนังสือกลางอยู่ด้วย
อวิ๋นอี้เดินไปนั่งลง อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับพื้นที่นี้มาก นางพูดอย่างจริงจังว่า “ข้าขอดูตามใจชอบได้หรือไม่เพคะ?”
“ของของข้าก็คือของของเ้า อวิ๋นเออร์มิต้องเกรงใจกับข้าหรอก”
เขาลูบผมของนางเบาๆ ด้วยฝ่ามือใหญ่ และกวาดสายตามองไปยังสิ่งของบนโต๊ะ ดวงตาของเขามืดมนลงเล็กน้อย แล้วเก็บของที่อยู่บนโต๊ะเงียบๆ แล้วพูดอย่างช้าๆ "ต้องขอให้เ้าอยู่ที่นี่สักพักนะ ข้าจะออกไปดูสถานการณ์ภายนอก ท่านย่ารู้ว่าวันนี้จะลงโทษเ้า จึงส่งคนมาดูเป็การพิเศษ”
อวิ๋นอี้ทำสีหน้าน่าเกลียด จมูกพ่นลมออกมาเบาๆ และแอบกัดฟัน “ไม่ปล่อยข้าไปเลยจริงๆ”
“เอาน่า เอาน่า” หรงซิวอยู่ระหว่างทั้งสองคน ทำตัวลำบาก ทำได้เพียงกล่อมต่อไป “ไม่โกรธแล้วนะ หากยังโกรธอีกจะไม่สวยนะ”
“ฝ่าาจะบอกว่าข้าไม่สวยเหมือนเมื่อก่อนแล้วหรือเพคะ?” ทั้งที่รู้ว่าเขามิได้หมายความเช่นนั้น แต่อวิ๋นอี้ก็ยังจะพูดอย่างไม่พอใจ
หรงซิวรีบโผเข้ากอดหัวนางและอ้อนวอนขอความเมตตา "เ้าสวยเสมอนั่นแหละ"
ท่าทางของเขาทั้งน่าขันและประหม่า แม้แต่อวิ๋นอี้ที่บูดบึ้งอยู่ก็อดหัวเราะลั่นมิได้
นางขำออกมา ยืนขึ้นแล้วผลักเขาออกไปข้างนอก “ฝ่าาก็พูดเลอะเทอะ กล่อมข้าเสียเช่นนี้ รีบไปทำงานของฝ่าาเถิดเพคะ”
หรงซิวยังอยากอยู่กับนางสักพัก แต่นอกประตูห้องลับก็มีเสียงยาชิงเคาะกำแพง พูดเสียงต่ำ บอกให้เขารีบออกมาปรากฏตัว
“รีบไปเถิดเพคะ!”
หลังจากไล่หรงซิวออกไป ประตูห้องลับก็ปิดลงอีกครั้ง ถ้านางมิได้อยู่ในห้องลับ ก็คงสงสัยว่านางกำลังฝันอยู่
ประตูหินเปิดปิดโดยมิมีช่องว่างใดๆ ต้องยกย่องเลยว่าช่างฝีมือที่สร้างห้องลับนั้นเก่งไม่น้อย
อวิ๋นอี้แนบประตูหินและมองออกไป ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามิมีสิ่งใดนอกจากความมืดจากช่องว่าง ถึงได้หันตัวกลับมาอย่างสบาย เอามือไพล่หลังเดินเข้าไปในห้องลับ
สถานที่มีขนาดเล็กมาก สามารถมองเห็นได้ทั้งหมด มิได้น่าชื่นชมกระไรนัก
สิ่งเดียวที่ดึงดูดใจนางคือมันเกี่ยวข้องกับหรงซิว ตราบใดที่เชื่อมโยงกับชื่อของเขา มันก็เต็มไปด้วยสีสันอันอบอุ่นและความมหัศจรรย์
อวิ๋นอี้นั่งอย่างเกียจคร้านบนเก้าอี้ พนักพิงที่อ่อนนุ่มทำให้นางมีท่าทางที่สบายขึ้น
นางเหลือบมองดูงานเขียนต่างๆ บนโต๊ะ พลิกดูสองสามครั้ง แล้วก็เห็นพู่กันหนาบางขนาดต่างๆ ก็หยิบขึ้นมาเล่นในมือ อย่างสนุกสนาน
เมื่อเบื่อแล้ว ตอนที่วางพู่กันเข้าไปในกล่องนั้น นางก็ทำหกโดยไม่ตั้งใจ กล่องใส่พู่กันหกกระจายลงบนพื้น
ตายแล้ว!
แม้ว่าอวิ๋นอี้จะไม่ชอบดนตรี หมาก เขียนอักษรหรือวาดภาพ แต่นางก็เป็คนที่รอบรู้เช่นกัน เห็นได้ว่าอุปกรณ์งานเขียนในห้องของหรงซิวนั้นล้ำค่ามาก หากนางทำพัง ต้องใช้เงินไม่น้อยเลย
พูดถึงเื่จ่ายเงิน นางก็เ็ป
ในขณะที่คิดมากอยู่นั้น นางก็วิ่งไปที่โต๊ะด้วยความปวดใจ และหยิบของที่ตกลงบนพื้นทีละชิ้น
น่าแปลกที่นางพบกุญแจดอกเล็กๆ
กุญแจทำจากมรกต เป็สีเขียวทั้งชิ้น ดูโปร่งใสมากขึ้นเมื่ออยู่ภายใต้แสง
อวิ๋นอี้หยิบมันขึ้นมาในมือ มองไปมาซ้ำๆ มันเล็กมาก ไม่เหมือนจะใช้กับประตู แต่เหมือนจะเป็ของตู้หนังสือ นางหยิบกุญแจเอาไปเทียบกับกับลิ้นชักทีละอัน แต่ก็พบว่าไม่ใช่ แล้วก็เอาไปเทียบกับชั้นหนังสือ แต่ก็ยังไม่พบเบาะแสใดๆ
นางมุ่ยปาก จากนิสัยของหรงซิวแล้ว กุญแจที่มิมีประโยชน์ เขาคงจะไม่เก็บไว้แน่!
เป็ไปได้หรือไม่ว่ากุญแจนี้เป็ของขุมสมบัติ?
หากเป็เช่นนี้นางจะไม่รวยเลยหรือ?
นางหัวเราะอย่างมีความสุข ถือกุญแจไว้ข้างหน้าแล้วจูบมันสองครั้ง แล้วยัดมันเข้าไปในกระเป๋าของนาง
ค่อยหาโอกาสถามหรงซิวว่าสมบัติอยู่ที่ใด ตอนนี้นางเป็สตรีที่กุมกุญแจสู่ความมั่งคั่ง!
อวิ๋นอี้คิดดีใจเองอยู่นาน ในที่สุดก็รู้สึกเบื่อๆ นางอดมิได้ที่จะรู้สึกเศร้าเมื่อนึกถึงสตรีผู้ที่ถูกลงโทษแทนนาง
หลังจากเื่จบลง ต้องหาโอกาสขอบคุณนาง ทั้งยังต้องทำอาหารบำรุงให้นาง มิให้สตรีผู้นั้นป่วยเป็กระไรไป
เมื่อคิดเช่นนี้ นางก็อดมิได้ที่จะเดินไปที่ประตูหินอีกครั้ง แนบทั้งตัวลงไป และเงี่ยหูฟังอย่างระมัดระวัง แต่นางก็ยังมิได้ยินกระไรเลย
มิเช่นนั้นจะเรียกว่าห้องลับได้อย่างไร เป็ฉนวนเสียงรักษาความลับได้ดีจริงๆ
ประมาณหนึ่งชั่วยามต่อมา อวิ๋นอี้พิงเบาะนั่งและนับแกะ แล้วจู่ๆ ประตูหินก็มีเสียงดังออกมา นางเหล่ไปมอง ก็เห็นหรงซิวเดินเข้ามาช้าๆ
เวลาส่วนใหญ่เขาจะสงบและสง่างามเหมือนลมในฤดูวสันต์ น้ำในฤดูคิมหันต์ ทำให้คนหลงใหลยิ่งนัก
อวิ๋นอี้โค้งริมฝีปากเล็กน้อย ยืนขึ้นแล้ววิ่งเหยาะๆ ไปทางเขา นางคว้าแขนเสื้อเขาแล้วถามสถานการณ์ข้างนอก "คนของไทเฮากลับไปแล้วหรือเพคะ?”
“กลับแล้ว”
“ลงโทษเสร็จแล้วหรือเพคะ?”
“เสร็จแล้ว”
อวิ๋นอี้ก้มหน้าลง และหลังจากครุ่นคิดก็คิดว่าคงเจ็บไม่น้อย นางก็ถามด้วยความเป็ห่วงว่า "สตรีผู้นั้นอยู่ที่ใดเพคะ?"
"ถูกส่งตัวกลับไปพักผ่อนแล้ว" หรงซิวมองความคิดของนางออก โดยไม่ต้องรอให้นางถาม เขาคว้ามือใหญ่ของนางไว้ทันใด วางบนริมฝีปากและจูบมัน
ััอันอบอุ่นทำให้นางประหม่า อวิ๋นอี้จ้องมองเขาอย่างชะงัก
บุรุษหนุ่มยิ้ม จิ้มจมูกนางด้วยปลายนิ้ว แล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “เสียสติไปเลยหรือ?”
“เปล่าเพคะ" แค่... เพียงแค่ว่าหน้าร้อนผ่าวนิดหน่อย อวิ๋นอี้ก้มหน้าคิด
หรงซิวพานางไปข้างกาย "ไม่ต้องกังวล ข้าจะส่งคนไปดูแลนางผู้นั้นให้ดี นางจะไม่เป็กระไร แต่ข้ามีเื่หนึ่งที่ต้องบอกเ้า สิบวันที่ต้องพิจารณาตนเองต่อจากนี้ เ้าต้องลงมือเอง”
ยังไม่ทันจะได้มีความสุข ก็ได้รับข่าวร้ายเสียแล้ว
อวิ๋นอี้มุ่ยปากรับชะตากรรม “เข้าใจแล้วเพคะ” แล้วก็หยุดไป นางมองเขาอย่างสงสัย “อย่าบอกนะเพคะ ว่าไทเฮาจะส่งคนมาดูข้า?”
“เ้าเดาถูกแล้ว”
หนิวปี[1]
อวิ๋นอี้พยักหน้า เข้าใจแล้ว
บุรุษของนางกำลังจะมีเื่ยินดีเร็วๆ นี้ ใน่เวลาวิกฤติ ห้ามมีกระไรผิดพลาดอีก และนางก็เป็ปัจจัยที่น่าเป็ห่วงที่สุดสำหรับไทเฮา ดีที่ขังนางไว้ ให้นางออกไปที่ใดมิได้
ไทเฮาเป็คนพูดจริงทำจริง ใน่บ่าย แม่นมที่มาคอยดูนางเมื่อถึงเวลาก็มารายงานตัวแล้ว
เพราะว่ามีคำแนะนำของหรงซิว อวิ๋นอี้จึงแสร้งทำเป็อ่อนแอและน่าสงสาร นางบอกให้เซียงเหอถูแป้งขาวบนหน้าของนาง ซึ่งทำให้ดูสุขภาพไม่ค่อยดีนัก
การแสร้งทำเป็ป่วยก็มีข้อดีของการแกล้งป่วย ตอนที่แม่นมมาถึง เซียงเหอและหรงซิวก็เข้าไปทักทาย นางมีหน้าที่เพียงต้องนอนอยู่บนเตียง ปั้นสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก
ทันทีที่แม่นมเข้ามาในห้อง เสียงใคร่ครวญของนางก็มิได้หยุด ร้องจนแม่นมต่างพากันขมวดคิ้ว ส่ายหน้า
พวกนางจำอวิ๋นอี้ได้ดี อย่างไรนางก็เป็คนที่ไทเฮาอยากจะดัดสันดาน ก็ต้องคุ้นตาอยู่บ้าง
หากจะพูดถึงพระชายาเจ็ด นางก็หน้าตาสวย เพียงแต่ว่าหัวสมองไม่ดี ไทเฮาบอกว่า นางเ้าเล่ห์และแปลก ก่อนจะออกมาได้สั่งไว้เป็พิเศษว่าต้องดูนางให้ดี อย่าได้ให้นางหาเื่เพิ่มอีก
ดังนั้นแม้ว่านางจะดูบอบบางและอ่อนแอ พวกแม่นมก็ไม่กล้าที่จะเลินเล่อ พวกเขาผลัดกันจ้องมองนางทั้งวันทั้งคืน แม้ว่านางจะไปท่า ก็ต้องส่งคนไปเฝ้า
อวิ๋นอี้รู้ได้อย่างสุดซึ้งว่า นางมิได้ต้องพิจารณาตนเอง นี่มันติดคุกชัดๆ
โชคดีที่วันที่ทรมานของนาง จบลงอย่างรวดเร็ว เพราะว่าวันมงคลของหรงซิวกับหว่านฉือ กำลังใกล้เข้ามา
เชิงอรรถ
[1] หนิวปี 牛逼 เป็คำสแลง หมายความว่า เยี่ยมยอด สุดยอด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้