ณ ลานในคฤหาสน์ชิงหลิ่วถัง คนรับใช้วิ่งสวนกันไปมา สถานที่ซึ่งสะอาดและเป็ระเบียบมาโดยตลอดกลับดูวุ่นวายไม่น้อยในเวลานี้ ไม่ไกลออกไป หลิ่วเฉิงเฟิงที่ยืนดูอยู่ก็รู้สึกไม่สบายใจนัก
เขาหันหลังกลับและวิ่งไปยังห้องของหลิ่วไป๋เจ๋อ ผลักประตูเข้าไปโดยไม่ได้เคาะ
“หลิ่วไป๋เจ๋อ เหตุใดเ้าจึงไม่ให้ข้าไปด้วย”
หลิ่วไป๋เจ๋อหันหลังให้อีกฝ่ายทันที บนเรือนร่างไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์สักชิ้น แผ่นหลังเรียบเนียนมีหยดน้ำเกาะ เนื้อตัวเปียกชุ่ม ผมสีเงินยาวถึงเอวถูกมวยไว้บนศีรษะด้วยปิ่นไม้ ไหล่ลาดตรงมีน้ำหยดลงมาทำให้ผิวดูชุ่มชื้น
หลิ่วเฉิงเฟิงจ้องมองชายหนุ่ม ก่อนจะหันกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เ้าอาบน้ำ เหตุใดไม่ปิดประตูให้สนิท”
“ข้าก็ไม่ได้ให้เ้าเข้ามาสักหน่อย!”
เขาเอื้อมมือไปหยิบเสื้อผ้าบนฉากกั้น ผ่านไปพักหนึ่งก็กลับมาเป็บุตรชายคนโตของตระกูลหลิ่วผู้สง่างาม หล่อเหลา และละเอียดลออในสายตาของคนภายนอกเช่นเดิม
“เ้าไม่ไปจัดแจงเื่ต่างๆ ในบ้าน แต่มาแอบดูข้าอาบน้ำอย่างนั้นหรือ”
“ถุย! ใครอยากดูผู้ชายอย่างเ้าอาบน้ำกัน” หลิ่วเฉิงเฟิงแก้ต่างด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ ทว่าต้องยอมรับจริงๆ ว่าคนคนนี้สะดุดตาหญิงสาวมากนัก
หลิ่วไป๋เจ๋อยกมือขึ้นดึงปิ่นปักผมออก ผมสีเงินยวงพลิ้วลงมา หลิ่วเฉิงเฟิงที่อยู่ข้างหลังได้แต่คิดว่า อยากจะก้าวเข้าไปััมันเสียจริง
“แล้วเหตุใดเ้าถึงมาที่นี่”
หลิ่วเฉิงเฟิงรีบดึงความคิดของตนกลับมาแล้วพูดว่า “ข้าอยากไปเทือกเขาจู่เสียเพื่อกำราบสิ่งชั่วร้ายพร้อมกับเ้า”
หลิ่วไป๋เจ๋อปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด “เ้าไปไม่ได้”
“เหตุใดถึงไปไม่ได้ เ้าไปได้แต่ไม่ให้ข้าไป คิดว่าข้าขี้ขลาดหรือกังวลว่าข้าไม่มีพลังิญญามากพอแล้วจะเป็ตัวถ่วงของเ้ากันแน่!”
หลิ่วไป๋เจ๋อฟาดมือลงบนโต๊ะ หันหลังให้หลิ่วเฉิงเฟิง “อย่าเอาแต่ใจ! เหตุผลที่ข้าไม่พาเ้าไปด้วย เ้าย่อมรู้อยู่แก่ใจ”
หลิ่วเฉิงเฟิงก้มศีรษะลง กัดริมฝีปากด้วยความไม่พอใจ หลิ่วไป๋เจ๋อปรับน้ำเสียงให้อ่อนลงและเอ่ยว่า “หากจากที่นี่ไป ข้าไม่ไว้ใจให้คนอื่นมาดูแลเื่ราวในบ้าน ถ้าเ้าดูแลไม่ไหวแล้วใครจะทำหน้าที่นี้ได้ ข้าไม่ได้คิดว่าเ้าจะเป็ตัวถ่วง ในทางกลับกัน ข้ากังวลเื่ต่างๆ ในเฟิ่งเทียนมากกว่าเื่ที่เทือกเขาจู่เสียเสียอีก หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นที่นี่ ก็จะเป็การทำลายรากฐานของพวกเรา เข้าใจหรือไม่”
หลิ่วเฉิงเฟิงเงยหน้ามองผู้เป็พี่ชาย ในท้ายที่สุดก็พยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”
เช้าวันรุ่งขึ้น มีคนรับใช้นำจดหมายมามอบให้กับหลิ่วไป๋เจ๋อ อูิหลิงอยู่ข้างกายเขาพอดี หลิ่วไป๋เจ๋อจึงยื่นจดหมายให้นางโดยไม่ลังเลและเอ่ยว่า “ช่วยข้าดูที”
ิหลิงจึงหยิบมาเปิดออกดู “จดหมายจากคุณชายจิ่วฟาง!”
ทั้งคู่ประหลาดใจมาก เขาเพิ่งจะออกจากเฟิ่งเทียนไปแค่สองวัน เหตุใดถึงได้ส่งจดหมายมา
อูิหลิงอ่านเนื้อหาในจดหมายรอบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “คุณชายจิ่วฟางเพิ่งออกจากเฟิ่งเทียนเมื่อวันก่อน เขาพบคนจากจิ่วโยวที่นอกหุบเขา”
“เอ๋?”
เื่นี้ช่างแปลกประหลาด จิ่วฟางเทียนฉีแจ้งให้หลิ่วไป๋เจ๋อทราบเื่เมื่อวันก่อน บอกความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับิจิ่วเอ๋อร์ซึ่งเคยปลอมตัวเป็ลั่วจิ่วเอ๋อร์ แต่เื่ที่พวกเขาพักอยู่ที่กระท่อมด้วยกัน รวมไปถึงเื่ที่ปล่อยิจิ่วเอ๋อร์ไปนั้นกลับไม่ได้เขียนเล่า
เขาเพียงบอกให้หลิ่วไป๋เจ๋อระวังกองกำลังจากจิ่วโยว ก่อนเดินทางต้องระมัดระวังเื่นี้เป็พิเศษ
“แท้จริงแล้วลั่วจิ่วเอ๋อร์เป็องค์หญิงเก้าแห่งเผ่าจิ้งจอกเก้าหางจากจิ่วโยว ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย”
หลิ่วไป๋เจ๋อจุดเทียน วางจดหมายเหนือเปลวไฟ ก่อนแผ่นกระดาษจะกลายเป็ขี้เถ้าในชั่วพริบตา
“เื่นี้ห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด”
อูิหลิงเข้าใจความหมายนั้น “ก่อนหน้านี้ิจิ่วเอ๋อร์ไปที่คฤหาสน์อวิ๋นหลานซานในนามลั่วจิ่วเอ๋อร์ เ้าหมายความว่า ไม่รู้ว่าที่นั่นและนางมีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่ ใช่ไหม อีกนัยหนึ่งก็คือไม่รู้ว่าพวกเขารู้จักตัวตนที่แท้จริงของิจิ่วเอ๋อร์หรือไม่ เ้ากลัวว่าหากตัวตนที่แท้จริงของนางถูกเปิดเผย อาจเป็การแหวกหญ้าให้งูตื่น”
หลิ่วไป๋เจ๋อไม่รู้มาก่อนว่าอูิหลิงช่างเฉลียวฉลาดและเข้าใจความคิดตนเองดีเช่นนี้ เขาพยักหน้าและเอ่ยว่า “ในตอนนี้ สิ่งแรกที่ต้องทำคือเตรียมพร้อมต่อสู้กับเหล่าสัตว์ร้าย ดังนั้นจะเกิดความวุ่นวายในเมืองหลวงไม่ได้ จดหมายของจิ่วฟางเทียนฉียังเขียนบอกอีกว่า คนจากจิ่วโยวที่อยู่ในเฟิ่งเทียนยามนี้มีไม่เยอะ พวกเขายังไม่สามารถทำอะไรได้มากจึงไม่ต้องกังวลนัก แค่ต้องคอยระแวดระวังเอาไว้”
วันนั้นหลิ่วไป๋เจ๋อเดินทางไปยังูเาชุ่ยอวิ๋น สายลมยามค่ำคืนบนนี้เย็นกว่าด้านล่างเล็กน้อย ชายหนุ่มนั่งอยู่บนต้นชางไหวโบราณ ฟังเสียงนกขมิ้นและแมลงรอบตัว ทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวายิ่ง
เสียงฝีเท้ากระทบพื้นเกิดเป็ทำนองดนตรีตามธรรมชาติ หลิ่วไป๋เจ๋อะโลงจากต้นไม้ใหญ่ ยืนรอการมาถึงของใครคนนั้น
ผู้มาเยือนสวมผ้าคลุมหน้าและชุดสีดำ คนจากิซิ่นถังนั่นเอง เขาเคยเห็นความสามารถในการระแวดระวังของหลิ่วไป๋เจ๋อ จึงไม่มีความตั้งใจจะซ่อนตัว
“ไม่ทราบว่าคุณชายหลิ่วมีเื่ใด้ามอบหมายให้ิซิ่นถังทำหรือ”
“ข้าอยากพบท่านผู้นำของเ้า”
ผู้มาเยือนหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “แม้แต่พวกข้าก็ไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของท่านผู้นำ คุณชายหลิ่วเป็คนนอกยิ่งไม่ต้องพูดถึง”
หลิ่วไป๋เจ๋อไม่รู้สึกโกรธ แต่เอ่ยตอบไปว่า “ให้ผู้นำของเ้าเป็ผู้ตัดสินใจว่าจะพบข้าหรือไม่ เ้าแค่นำเื่นี้ไปแจ้งให้เขารับรู้”
อย่างไรคนผู้นี้ก็เป็เพียงผู้ส่งสาร ดังนั้นจึงรู้ขอบเขตดี
“เอาล่ะ ข้าจะนำความไปบอกให้ ส่วนท่านผู้นำจะมาพบเ้าหรือไม่นั้น…”
“รบกวนด้วย”
ถุงผ้าสีน้ำตาลถูกโยนใส่มือของผู้มาเยือน อีกฝ่ายก็ไม่ปฏิเสธ
“พรุ่งนี้เวลานี้ ข้าจะรออยู่ที่นี่”
คนตรงข้ามประสานมือและกล่าว “ขอตัวลา”
วันรุ่งขึ้นหลิ่วไป๋เจ๋อยังคงรออยู่ใต้ต้นชางไหว ผ่าน่จื่อสือไปเกือบครึ่งก็มีบุรุษสวมเสื้อคลุมสีเทาผู้หนึ่งมาถึงยังสถานที่ที่หลิ่วไป๋เจ๋อนัดไว้
หลิ่วไป๋เจ๋อยังมีสีหน้าสงบ “ไป๋เจ๋อตาบอด เหตุใดท่านผู้นำแห่งิซิ่นถังถึงต้องแต่งกายเช่นนี้”
อีกฝ่ายหัวเราะแ่เบา “ในเมื่อคุณชายหลิ่วดวงตามืดบอด แล้วรู้ได้อย่างไรว่าข้าแต่งตัวเช่นไร” เขายังเอ่ยเสริมอีกว่า “ข้ามีเหตุผลที่ไม่สามารถแสดงใบหน้าที่แท้จริงต่อหน้าผู้อื่นได้ หวังว่าคุณชายจะอภัยให้ข้า”
หลิ่วไป๋เจ๋อพยักหน้า “ความลึกลับเป็เอกลักษณ์ของิซิ่นถังจริงๆ”
“ฮ่าๆ คุณชายหลิ่วล้อเล่นแล้ว!”
“ไม่จำเป็ต้องกล่าวเช่นนั้น”
ทันทีที่เอ่ยจบ หลิ่วไป๋เจ๋อก็เดินไปข้างหน้าแล้วโจมตีอีกฝ่ายกะทันหัน แต่สามารถตัดเส้นผมของผู้มาเยือนได้เพียงเส้นเดียวเท่านั้น
“หากคุณชายหลิ่ว้าประลองคงเลือกคู่ซ้อมผิดแล้ว ข้าไม่เหมาะเป็คู่ต่อสู้ของคุณชายหรอก”
หลิ่วไป๋เจ๋อยืนอยู่อีกฝั่ง ผมปลิวไสวไปตามสายลม
“ขออภัยที่เสียมารยาท ไม่คิดว่าผู้นำแห่งิซิ่นถังจะมีทักษะที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้”
ชายคนนั้นหัวเราะและเอ่ยว่า “เป็เพียงทักษะทางจิติญญาในการหลบหนี คงเทียบได้แค่แมลงตัวเล็กๆ สำหรับคุณชายหลิ่วเท่านั้น”
คนตรงหน้าซ่อนตัวตนอย่างแ่า ทำให้หลิ่วไป๋เจ๋อไม่สามารถตรวจสอบเขาได้อย่างละเอียด
“คุณชายหลิ่วนัดข้ามาที่นี่ คงไม่ใช่เพื่อประลองฝีมืออย่างเดียวใช่หรือไม่”
หลิ่วไป๋เจ๋อเก็บพลังทางจิติญญากลับมาและพูดว่า “ข้ามีคำขอ แต่ข้าไม่รู้ว่าท่านผู้นำถังจะกล้ารับหรือไม่”
…
สองวันต่อมา ชิงหลิ่วถังเตรียมตัวพร้อมสำหรับการเดินทาง อูิหลิงนำคนจากหุบเขาไป่หลิงมารวมตัวอยู่นอกเมือง ก่อนที่นางจะออกมาจากหุบเขาไป่หลิง ก็ได้นำยาสมุนไพรติดมาในปริมาณที่เพียงพอ ดังนั้นใน่นี้จึงทำเพียงรวบรวมสมุนไพรยาอื่นๆ อยู่ที่ไป่เย่าถัง ไม่ได้กลับไปยังหุบเขาไป่หลิง
อูิหลิงสวมเครื่องแบบสีเขียว ละทิ้งความอ่อนโยนงดงามที่มักเห็นเป็ปกติ เหลือเอาไว้เพียงความกล้าหาญ เมื่อมองไปยังข้างกายนางก็พบหลิ่วไป๋เจ๋อนั่งอยู่บนม้าสีนิล ผมสีเงินยวงถูกรวบขึ้นสูง ชุดสีขาวยิ่งขับให้ดูหล่อเหลามากขึ้นกว่าเดิม หน้ากากเงินครึ่งหน้าปกปิดดวงตาที่มืดบอดของเขาเอาไว้
ราวกับรู้ว่าอูิหลิงกำลังจ้องมองอยู่ไม่ไกล หลิ่วไป๋เจ๋อจึงยื่นมือไปหา อีกฝ่ายตกตะลึงแต่ก็เข้าใจเจตนาของเขา นางยิ้มและยื่นมือออกไป ฝ่ามือทั้งสองจับกันแน่น หลิ่วไป๋เจ๋อดึงหญิงสาวขึ้นนั่งบนหลังม้า
แผ่นหลังของนางเกือบจะแนบชิดกับแผ่นอกของเขา หัวใจของอูิหลิงเต้นรัวเร็วราวกับเม็ดฝนในฤดูใบไม้ผลิที่ตกลงมาด้วยจังหวะว้าวุ่น
“ทุกอย่างที่ไป่เย่าถังเรียบร้อยดีหรือไม่ หากมีเื่ใดสามารถบอกข้าได้”
อูิหลิงรีบส่ายหัว “ไม่เป็ไร เื่เล็กน้อยเ่าั้ข้าจัดการเองได้ เมื่อสองวันก่อน ข้าให้อิ๋นซิงส่งจดหมายกลับไปยังหุบเขาไป่หลิง แจ้งให้ทางนั้นทราบเื่ที่นี่แล้ว”
หลิ่วไป๋เจ๋อพยักหน้า “หากคาดการณ์ไม่ผิด พวกเราคงได้พบพี่ใหญ่ที่เทือกเขาจู่เสีย”
ั้แ่ที่เขาตกลงปลงใจกับอูิหลิง ก็เปลี่ยนมาเรียกอูิเยี่ยว่าพี่ใหญ่
อูิหลิงสุขล้นอยู่ในใจ นอกเหนือจากสถานการณ์ที่นี่แล้วนางยังเขียนถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวนางกับหลิ่วไป๋เจ๋อไปด้วย ไม่รู้ว่าเมื่อถึงเวลานั้น พี่ชายและมารดาจะมีความคิดเช่นไร
จู่ๆ อูิหลิงก็ถอนหายใจและพูดว่า “ข้าไม่รู้ว่าิโยวจะมาหรือไม่ แต่ด้วยนิสัยของเขา คงทิ้งเื่แบบนี้ไว้ข้างหลังไม่ได้แน่”
เมื่อกล่าวถึงอูิโยว หลิ่วไป๋เจ๋อที่อยู่ข้างหลังก็ชะงักและไม่พูดอะไร
“ไป๋เจ๋อ เ้าเป็อะไรหรือ”
หลิ่วไป๋เจ๋อส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไร” แต่ในใจกลับร้องขออย่าให้อูิโยวออกจากหุบเขาไป่หลิงเลย
นอกจากเหล่าตระกูลใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลแล้ว ครอบครัวของผู้มีอำนาจทั้งหมดในเฟิ่งเทียนต่างก็มารวมตัวกันนอกประตูเมือง อวิ๋นจวา คุณชายรองของคฤหาสน์อวิ๋นหลานซานกำลังจ้องมองมาและกัดฟันแน่น อวิ๋นฉี่ที่อยู่ด้านหลังก็เยาะเย้ยอีกฝ่ายในใจ
“ออกเดินทาง!” อวิ๋นจวาะโบอกทุกคน เห็นได้ชัดว่าเขาคิดว่าตนเองคือผู้นำ
แม้ว่าตระกูลอื่นๆ จะไม่พอใจ ทว่าไม่อยากโต้เถียงด้วย กลุ่มคนจำนวนมากยกขบวนมุ่งหน้าตรงไปยังเทือกเขาจู่เสีย
…
เช้าตรู่แล้วฝนก็ยังตกไม่หยุด เม็ดฝนร่วงหล่นลงบนใบไม้นอกเรือน เกิดเป็เสียงผสมปนเปฟังไม่ออก อูิโยวนั่งหลับตาขัดสมาธิอยู่บนเตียง ร่างกายปกคลุมไปด้วยรัศมีสีเขียวเข้ม คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น มีเส้นแสงสีเขียวเข้มหลายเส้นค่อยๆ ขยายจากลำคอไปจนถึงจุดไท่หยาง[1] ปรากฏเป็เส้นสายบนใบหน้าของเขา บางครั้งก็แสดงท่าทีดุร้ายออกมา
ทันใดนั้นอูิโยวก็ลืมตา แสงสีเขียวเข้มพุ่งออกมาจากดวงตาและหายวับไป หว่างคิ้วที่ขมวดคลายลง ริ้วรอยบนใบหน้าก็จางหายไปในพริบตา รอยยิ้มอ่อนบางที่หายไปแสนนานปรากฏขึ้นบนใบหน้า แตกต่างจากเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง
“ในที่สุดก็ได้ผลแล้ว!”
เขาพลิกดูฝ่ามือของตนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความสุขที่มีในยามนี้เกินจะบรรยาย
อูิโยวะโลงจากเตียง ผลักเปิดหน้าต่างออก สายฝนยามเช้าหยุดลงแล้ว หุบเขาไป่หลิงที่ปกคลุมด้วยเมฆหมอกเหมือนดั่งแดน์ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ กลิ่นอันสดชื่นของดินหลังฝนตกพลันโชยมากระทบ หลังปิดประตูแ่าเพื่อฝึกฝนอย่างเด็ดเดี่ยว เขาก็ชื่นชอบอากาศของหุบเขาในยามนี้เป็อย่างมาก
ทันใดนั้นก็มีเสียงนกร้องที่คุ้นเคยดังมาจากระยะไกล อูิโยวเงยหน้ามอง ก่อนจะเห็นลำแสงสีเงินพาดผ่าน ทะยานมาหาเขาในทันที
“อิ๋นซิง!”
อูิโยวไม่ได้เจออิ๋นซิงมาหลายวันทำให้รู้สึกคิดถึงมันมาก เขาลูบปีกเ้านกน้อยและเอ่ยว่า
“ไม่ได้กลับมาตั้งนาน คิดถึงข้าหรือไม่”
อิ๋นซิงมีท่าทีแปลกไป มันสนิทสนมใกล้ชิดกับเขามากมาแต่ไหนแต่ไร ทว่าในยามนี้กลับผละออกจากมือเขา หนีห่างออกไปไกล แล้วหันมาร้องใส่เขา อูิโยวรู้สึกงุนงงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดติดตลก
“อิ๋นซิง เ้าเป็อะไรไป ไม่ได้เจอกันนานจนลืมข้าไปแล้วหรือ”
——————————————
