“แบบนี้...จะเร็วไปหรือไม่?”
หน้าผากของหลินเมิ้งหยาปรากฏเส้นสีดำสามเส้นสมองของคนผู้นี้จะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน
หาก้ามีลูกศิษย์ ก็มิควรเร่งรีบขนาดนี้มิใช่หรือ?
“เร็ว? ถือว่าข้าใจร้อนไปหน่อยก็แล้วกันนังหนู ข้าแซ่ป๋ายหลี่ ชื่อของข้ามีเพียงอักษรเพียงตัวเดียวคือรุ่ยเื่อื่นไม่จำเป็ต้องไถ่ถามให้มากความ ขอเพียงข้าไม่ทำร้ายเ้าก็เพียงพอแล้ว”
ป๋ายลี่รุ่ย? สกุลป๋ายหลี่พบได้ไม่บ่อยนัก หรือเขาจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับป๋ายหลี่อู๋เฉิน?
“ท่านอา อู๋เฉินนำอาหารมาส่งให้ท่านขอรับ”
เมื่อพูดถึงตัวซวย ตัวซวยก็มา
ทว่าสีหน้าของป๋ายหลี่รุ่ยกลับเคร่งขรึมขึ้นมาราวกับว่าเหตุเพราะหลินเมิ้งหยายืนอยู่ตรงหน้า ดังนั้นเขาจึงไม่อาจก่นด่าป๋ายหลี่อู๋เฉินออกมาได้อย่างไรอย่างนั้น
“เอาวางไว้แล้วออกไปได้ ต่อไปนี้ให้คนอื่นนำข้าวมาส่งให้ข้าก็พอ”
น้ำเสียงเ็า ไร้ซึ่งสายสัมพันธ์ลึกซึ้งใดๆ
แม้หลินเมิ้งหยาจะเป็คนนอก แต่จากมุมมองของนางนางกลับเห็นได้ว่าร่างกายของป๋ายหลี่รุ่ยแข็งทื่อขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงของป๋ายหลี่อู๋เฉิน
“ท่านอายังโกรธข้าอยู่อีกหรือ?”
แม้จะมิได้รู้จักป๋ายหลี่อู๋เฉินเป็การส่วนตัว
แต่นี่เป็ครั้งแรกที่ได้ยินเสียงอันแสนเ็ปของเขา
“เลิกเล่นละครตบตาข้าได้แล้วข้าเคยบอกแล้วว่าข้ากับเ้ามิมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกันอีก”
เหตุใดความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงดูแปลกๆ เล่า?
หลินเมิ้งหยานึกสงสัย แต่ถึงกระนั้นกลับยืนเงียบอยู่อีกฝั่งพลางมองใบหน้าเ็าของท่านอาตรงหน้า
“ท่านอามีพระคุณต่ออู๋เฉินมาก อู๋เฉินไม่มีทางลืมแต่ท่านอ๋องเป็เ้านาย แม้แต่ท่านอาก็ยอมรับแล้วมิใช่หรือ?เหตุใดจึงไม่ยอมยกโทษให้อู๋เฉินเล่า?”
น้ำเสียงของป๋ายหลี่อู๋เฉินเจือไว้ซึ่งความเ็ปนั่นเท่ากับว่าความรู้สึกที่เขามีให้ป๋ายหลี่รุ่ยลึกซึ้งเกินพรรณนา
ในจวนมีนักวางแผนมากมายทว่าป๋ายหลี่อู๋เฉินเป็หัวหน้าของคนเ่าั้
หลงเทียนอวี้เองก็ยินยอมที่จะเลี้ยงดูเขา ถึงขั้นที่ว่ามอบหมายตำแหน่งหน้าที่ให้เขาทำเพียงผู้เดียว
แต่พอมาลองดูตอนนี้ คนผู้นี้เองก็มีมุมอ่อนแอด้วยเช่นกัน
“เ้าคนไร้ยางอาย! เ้าไม่เหมาะที่จะเป็หลานของตระกูลป๋ายหลี่! ไปซะ!ไสหัวไป!”
สายตาจ้องมองป๋ายหลี่รุ่ยที่กำลังะเิอารมณ์หลินเมิ้งหยาไม่แม้แต่จะหักห้ามหรือพูดจาโน้มน้าว
นี่เป็เื่ระหว่างพวกเขาสองอาหลานไม่ว่าจะมีความขัดแย้งกันมากขนาดไหน แต่นางเป็เพียงคนนอกดังนั้นเงียบไว้จะเป็การดีที่สุด
ราวกับว่าป๋ายหลี่อู๋เฉินไม่คิดปฏิเสธหลินเมิ้งหยาได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ เดินจากไป
“ทำให้เ้าต้องเห็นเื่ตลกเข้าแล้ว เฮ้อ...”
ป๋ายหลี่รุ่ยที่เพิ่งจะะเิอารมณ์ออกมาเมื่อครู่ดูแก่ลงไปหลายสิบปีราวกับว่าเขาต้องใช้พลังทั้งหมดที่มีในการด่าทอป๋ายหลี่อู๋เฉิน
“ช่วยไม่ได้ ข้าขอตัวลาก่อนเอาไว้วันหลังข้าค่อยมาหาท่านป๋ายหลี่แล้วกัน”
หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด นางรู้สึกว่าตนเองไม่ควรอยู่ที่นี่ต่อ
ป๋ายหลี่รุ่ยที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ไม่อาจรั้งนางเอาไว้ได้ทันเขาปล่อยให้หลินเมิ้งหยากลับออกจากห้องหินแห่งนี้ไป
ตกลงท่านอาที่มีสภาวะทางอารมณ์แปลกประหลาดคนนี้กับป๋ายหลี่อู๋เฉินมีเื่อะไรกันนะ?
ขณะกำลังครุ่นคิดเื่ของตนเองหลินเมิ้งหยากลับมายังทางกลับตำหนักอีกครั้ง
นางรีบร้อนออกมา โดยไม่ได้เข้าไปไถ่ถามป๋ายหลี่อู๋เฉินเลยแม้แต่น้อย
จวนอวี้มีความลับมากมายนับไม่ถ้วน แม้แต่หลงเทียนอวี้เองก็มีความลับเก็บซ่อนไว้เช่นเดียวกัน
นางหาใช่คนสอดรู้สอดเห็นหรือมีความสามารถมากพอที่จะรู้เื่ของคนทุกคนได้
“พระชายา พระสนมเต๋อเฟยเชิญท่านไปคุยธุระเพคะ”
ขณะที่กำลังครุ่นคิดเื่ของตนเอง หูของนางพลันได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นจึงผงะไปในทันที
หันหน้ากลับ ก่อนจะพบว่าเป็สาวใช้ของพระสนมเต๋อเฟยนามว่าจิ้งเยว่ จู่ๆนางก็โผล่ขึ้นมาข้างกายตนเองเหมือนผี
เมื่อเทียบกับน้าจิ่นเยว่แล้วท่านน้าจิ้งเยว่มีความสุขุมและเข้มงวดกว่าน้าจิ่นเยว่มาก
“อืม ลำบากท่านน้าแล้ว”
หลินเมิ้งหยาพยักหน้าแสดงความเคารพ รีบเดินตามหลังจิ้งเยว่ไปยังตำหนักหยาเสวียน
เมื่อเปิดประตู ได้เห็นพระสนมเต๋อเฟยสวมใส่ชุดของวังหลวงลายเมฆนั่งอยู่บนที่ประทับ
ด้านข้างคือเจียงหรูฉินที่กำลังหัวเราะคิกคักอย่างน่ารักราวกับว่าพวกนางกำลังพูดคุยเื่ขำขันบางอย่างอยู่ด้วยกันแม้แต่หางตาของพระสนมเต๋อเฟยยังหยักยิ้มจนเผยให้เห็นริ้วรอย
สิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายที่สุดคือฝั่งตรงข้ามของเจียงหรูฉินคือซ่างกวนฉิงและหลินเมิ้งหวู่
ราวกับแม่กำลังอบรมสั่งสอนลูกสาวอย่างไรอย่างนั้นทว่าบรรยากาศในเวลานี้กลับดีมากกว่าแต่ก่อน
“มามามา ข้ากับแม่ของเ้ากำลังพูดถึงเ้าในครั้นอดีต”
หลินเมิ้งหยาเพิ่งจะเดินมาถึงพระสนมเต๋อเฟยอดไม่ได้ที่จะร้องเรียกนางเข้าไป
เจียงหรูฉินที่กำลังลำพองใจถูกแย่งตำแหน่งไปกะทันหันใบหน้านวลแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกไม่พึงพอใจ
“เอ๋?ท่านแม่ยังจำเื่ราวในวัยเด็กของข้าได้กระนั้นหรือ?”
ตอนเด็ก? ฮึนับั้แ่วันที่ซ่างกวนฉิงก้าวเท้าเข้ามาในจวนพี่ชายและตัวนางต้องทนทุกข์ระทมั้แ่นั้นมา
ทั้งตกระกรรมลำบากและเฝ้าหวัง นอกจากท่านพ่อและพี่ชายแล้ว นางมิเคยได้รับความอบอุ่นเลย
แล้วแบบนี้จะมีเื่เล่าน่ารื่นรมย์ได้อย่างไร
“ใช่แล้ว สมัยยังเด็กหยาเอ๋อร์ค่อนข้างซุกซนหม่อมฉันที่เป็แม่ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจดูแลคิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้จะเติบโตเป็สาวแล้ว ซ้ำยังได้เป็ถึงพระชายาอวี้พอคิดๆ ดูแล้วหม่อมฉันยังรู้สึกไม่อาจแย่งห่างจากนางได้เลยเพคะ”
ซ่างกวนฉิงเอื้อนเอ่ยราวกับเป็เื่จริงแม้แต่ขอบตายังมีหยาดน้ำตาเอ่อออกมาให้เห็น
เสแสร้งแสดงท่าทางเสมือนแม่ที่ไม่อาจแยกจากกับลูกสาวได้แต่หลินเมิ้งหยารู้ดีว่าตนเองในตอนนั้นต้องหนีเอาตัวรอดจากความเป็ความตายของลูกน้องซ่างกวนฉิงกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
“ท่านแม่อย่าได้โศกเศร้าไปเลย พี่สาวแต่งงานเข้าจวนอวี้ หาได้แต่งงานไปที่ไหนไกลไม่หากภายภาคหน้าคิดถึงท่านพี่ พวกเรายังสามารถกลับมาเจอกับนางได้นะเ้าคะ”
หลินเมิ้งหวู่เอ่ยแทรก เสแสร้งแสดงเป็คนจิตใจดี
ทว่าพระสนมเต๋อเฟยและหลินเมิ้งหยารู้ดีอยู่แก่ใจว่าสองแม่ลูกคู่นี้หาได้มีจิตใจดีอย่างฉากหน้าไม่
“เ้าพูดถูก จริงสิ รีบไปนำของขวัญของเหนียงเหนียงมาพระองค์ทำการต้อนรับหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันยังมิเคยมาถวายคำนับเลยช่างเสียมารยาทจริงๆ”
หลังจากผ่านการแสดงเมื่อครู่มาแล้วต่อมาเป็การแสดงความสนิทสนมต่อบ้านของแม่สามีกระนั้นหรือ?
หลินเมิ้งหยาชำเลืองมองด้วยสายตาเ็า ไม่พูดอะไรมากนาง้าจะดูว่าสองแม่ลูกยังมีแผนเ้าเล่ห์อะไรอีก
ไม่นานสาวใช้ของซ่างกวนฉิงก็ยกกล่องไม้เข้ามา
ซ่างกวนฉิงรับมาถือไว้ ก่อนจะเปิดฝากล่องออกจนเผยให้เห็นหยกแดงที่อยู่ภายใน
หยกชิ้นนั้นเป็สีแดง สุกใสเปล่งประกายเพียงได้เห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเป็ของมีราคา
ทว่าหลินเมิ้งหยากลับรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเหตุใดนางจึงรู้สึกเหมือนตนเองเคยเห็นมันมาก่อน?
“นี่เป็ของล้ำค่าที่สามีของหม่อมฉันนำมาจากเขตชายแดนอันที่จริงมิใช่ของมีราคาสูงมากมายอะไรนัก แต่ถึงกระนั้นกลับเป็ของหายากเหนียงเหนียงลองตรองดูเถิดว่าพึงพอใจหรือไม่?”
ไม่สิ ของชิ้นนี้หาใช่ของที่ท่านพ่อนำกลับมา!
หลินเมิ้งหยาพยายามเค้นความทรงจำในสมอง ก่อนจะนึกออกว่าของชิ้นนี้เป็ของที่ฮองเฮามอบให้กับซ่างกวนฉิง
บางทีอาจเพราะซ่างกวนฉิงรู้ว่าพระสนมเต๋อเฟยไม่มีทางรับของจากฮองเฮาดังนั้นจึงแสร้งบอกว่าท่านพ่อเป็คนนำกลับมา
“โอ้? เป็หยกแดงน้ำดีเลยทีเดียวแน่นอนว่าเป็ของหายากมาก จิ่นเยว่ เ้ารีบนำไปเก็บเถิดขอบคุณฮูหยินหลินในความหวังดี”
“มิเป็ไรเพคะ ขอเพียงเหนียงเหนียงชอบพวกเราก็รู้สึกโชคดีมีสุขแล้วเพคะ หวู่เอ๋อร์ ตอนนี้ค่ำแล้วพวกเราอย่ารบกวนเวลาพักผ่อนของพระสนมเลย ทูลลาเพคะ”
ซ่างกวนฉิงลุกขึ้นพลางถวายคำนับพระสนมเต๋อเฟยเองก็ลุกขึ้นเพื่อให้เกียรตินาง
มองดูสองแม่ลูกเดินผ่านธรณ์ประตูของตำหนักหยาเสวียนกลับไปรอยยิ้มบนใบหน้าของพระสนมเต๋อเฟยจางหายไปเช่นกัน
“หรูฉิน เ้าเองก็กลับไปก่อนเถิด”
เจียงหรูฉินกระทืบเท้าอย่างไม่ชอบใจนัก ทว่านางกลับไม่กล้าเอาแต่ใจ
ตอนนี้ท่านป้าเอ็นดูหลินเมิ้งหยามากกว่านางที่เป็หลานแท้ๆดังนั้นเจียงหรูฉินจึงรู้สึกเกลียดชังหลินเมิ้งหยาเป็อย่างมาก
“หมู่เฟย ไม่ทราบว่าตามหม่อมฉันมาด้วยเหตุอันใดหรือเพคะ?”
พระสนมเต๋อเฟยจ้องมองด้านนอกประตูร่างบางที่สวมใส่ชุดสีเหลืองนวลของเจียงหรูฉินจากไปแล้ว
“ท่านอาคนโตของเ้าส่งข่าวมาว่าการมาเยือนของฮ่องเต้ิในคราวนี้ก็เพื่อหาพระชายาให้กับองค์ชายท่านอาคนโตหวังเหลือเกินว่าหรูฉินจะได้ขึ้นเป็ชายาแห่งซีฟาน”
พระสนมเต๋อเฟยรับสั่งด้วยท่าทางลังเลนางมิอาจทำใจแยกจากกับหลานสาวของตนเองและส่งนางไปแต่งงานกับองค์ชายแห่งบ้านป่าเมืองเถื่อนได้
“เพล้ง” เสียงดังขึ้น ราวกับว่ามีของตกที่ด้านนอกหน้าต่าง
จิ้งเยว่รีบรุดออกไปตรวจสอบ ก่อนจะกลับเข้ามายังตำหนัก
“เกรงว่านกจะบินเข้ามาชนกระเื้ัคาจนตกลงมาแตกเพคะ”
หลินเมิ้งหยาหลุบตาต่ำ ไม่เชื่อว่าเป็เช่นนั้น
กระเบื้องเคลือบบนหลังคามีน้ำหนักต่อชิ้นราวครึ่งกิโลกรัมหากเอ่ยว่านกบินมาชนจนตกลงมาแตก แสดงว่านกตัวนั้นเป็นกแร้งกระนั้นหรือ?
“อ้อ เช่นนั้นก็ดีวันนี้ที่ข้าเรียกเ้ามาก็เพื่อปรึกษาว่าควรทำเช่นไรหรูฉินจึงได้ถูกองค์ชายเลือกในวันงานเลี้ยง”
พระสนมเต๋อเฟยเพิกเฉยต่อการถูกขัดจังหวะเมื่อครู่ แม้จะไม่เต็มใจแต่สุดท้ายนางก็ยังมีแผนสำหรับตัวเอง
หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด กลับรู้สึกว่าเจียงหรูฉินเป็คนอารมณ์ร้อนและเห็นแก่ตัวคนเช่นนี้ไม่เหมาะที่จะถูกเลือก
“หม่อมฉันจะลองปรึกษากับท่านอ๋องดูเพคะ หมู่เฟยได้โปรดวางพระทัย”
แน่นอนว่าเื่เช่นนี้จะต้องปรึกษากับหลงเทียนอวี้ก่อนจะตัดสินใจอะไรได้
ดูเหมือนว่าคลื่นลูกเก่ายังไม่ทันซาคลื่นลูกใหม่ก็สาดซัดเข้ามาแทนที่เสียแล้ว
กลับจากตำหนักหยาเสวียนหลินเมิ้งหยาขังตัวเองอยู่ภายในตำหนักนานถึงหนึ่งวันหนึ่งคืนโดยห้ามมิให้ใครเข้าใกล้
สาวใช้ทั้งสาม รวมถึงหลินจงอวี้ล้วนถูกสั่งให้อยู่ด้านนอก
จนกระทั่งเช้าของวันถัดมา หลินเมิ้งหยาจึงเปิดประตูห้อง
เพียงเดินออกมาก็ได้เห็นคนทั้งห้ากำลังสุมหัวกันอยู่หน้าประตู
อาการตกตะลึงเผยให้เห็นในแววตาขณะจ้องมองบุคคลที่ห้าชายหน้าตาหล่อเหลาเ้าเล่ห์คนนี้เป็ใคร? เหตุใดเขาจึงสวมใส่ชุดองครักษ์ของจวนแต่กลับนั่งยองๆ อยู่หน้าประตูตำหนักของนาง?
“ออกมาแล้ว! พี่สาวพวกเราเป็ห่วงท่านมากเลยนะ!”
หลินจงอวี้เป็คนแรกที่เห็นหลินเมิ้งหยาดวงตาทั้งสองข้างเปล่งประกาย เขารีบพุ่งตัวเข้าไปเตรียมโอบกอดหลินเมิ้งหยา
ทว่าเขากลับถูกมือหนาคู่หนึ่งคว้าเอาไว้แน่น
“เหยียยังไม่ได้กอดเลย จะถึงตาเ้าได้อย่างไร?”
น้ำเสียงยียวนระคนยั่วยุดวงตาของหลินเมิ้งหยาเบิกกว้างพลางจับจ้องใบหน้างดงามมีเสน่ห์กว่าหญิงสาวของชิงหู
เหตุใดเวลาเพียงคืนเดียวกลับทำให้เด็กหนุ่มเติบโตขึ้นเป็ผู้ใหญ่เช่นนี้เล่า?
“เป็อะไรไป? จำเหยียไม่ได้แล้วหรือ? หรือเพราะเหยียหล่อขึ้นไม่เป็ไรหรอก ไม่ว่าเหยียจะเปลี่ยนไปสักเพียงไหนทว่าหัวใจของเหยียเป็ของเ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น”
น้ำเสียงกวนประสาทหาความเป็จริงไม่ได้เช่นนี้จะต้องเป็ชิงหูอย่างแน่นอน
สายตาของหลินเมิ้งหยาเผยความประหลาดใจ มองดูร่างของเด็กหนุ่มที่เคยสูงไล่เรียงกับนางคนก่อนเวลาเพียงคืนเดียวทำให้ร่างกายของเขากลายเป็ผู้ใหญ่ไปแล้ว
นี่มัน...ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย!