Chapter 14
What are you trying to do?
ดวงตากลมจ้องมองตัวเองในกระจกขณะนิ้วเรียวกลัดกระดุมเสื้อเชิ้ตเรียบกริบเข้าด้วยกัน เจย์ลีนมองใบหน้าตัวเองที่ดูซูบผอมเล็กน้อยแล้วก็ถอนหายใจ มันคงเป็การเปลี่ยนแปลงที่ถือเป็เครื่องหมายบอกได้ดีว่าทำไมเขาถึงผอมลงกว่าเดิม ก็เพราะจูเลียนหายไปมันเลยเป็แบบนี้ เพราะพื้นที่ปลอดภัยเพียงไม่กี่พื้นที่ในชีวิตของเจย์ลีนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ร่างเล็กก้าวลงบันไดจนถึงชั้นหนึ่งของบ้าน เสียงกระทบกันของบางอย่างทำให้หันไปมองทางขวามือ เจย์ลีนรีบเดินไปทางห้องกินข้าวทันทีเมื่อเห็นพ่อนั่งอยู่ที่โต๊ะ รอยยิ้มที่ดูเหนื่อยเล็กน้อยของผู้เป็ลูกทำเอาทิมรู้สึกสงสารจับใจ คนเป็พ่ออ้าแขนรับเมื่อเจย์ลีนโผเข้ากอด
“เป็ยังไงบ้างลูก ไปถึงไหนแล้ว” ทิมเอ่ยถามขณะลูบเรือนผมของลูกชายเบาๆ
“เมื่อวานเจย์เจอจักรยานน้องที่นอกเมือง วันนี้จะไปดูร้านที่คนซื้อเขาบอกมาอีกทีครับ” คนเป็พ่อพยักหน้ารับ แววตาของเจย์ลีนสั่นระริก ทิมมองปราดเดียวก็รู้ว่าทำไม ย้ายมือที่ลูบเรือนผมอยู่มาจับใบหน้ากลมของลูกชายไว้และลูบอย่างแ่เบา พลันหยดน้ำใสไหลรินอาบแก้มของเจย์ลีนทันที
“เจย์อยากเจอน้องแล้วพ่อ เจย์อยากเจอน้องไวๆจัง” เสียงอู้อี้พร้อมใบหน้าเหยเกนั่นกล่าวออกมาอย่างน่าสงสาร เจย์ลีนซุกใบหน้ากับแผงอกของพ่อ ร้องไห้ฟูมฟายราวกับเด็กน้อย
“จูลเก่งอยู่แล้ว พ่อเชื่อว่าน้องเอาตัวรอดได้ เจย์ก็เก่ง ยังไงก็ต้องหาน้องเจอนะลูกนะ แต่ถ้าเหนื่อย…” ทิมเว้น่ เจย์ลีนเงยหน้าจากอกขึ้นมองคนเป็พ่อด้วยดวงตาแดงก่ำ
“ถอนตัวได้นะลูก ให้ตำรวจเขาจัดการก็ได้”
“ไม่เด็ดขาด เจย์จะหาน้องให้เจอ ไม่ว่ายังไงเจย์ก็จะต้องทำมันให้ได้” เสียงแข็งกร้าวเอ่ยอย่างสั่นระรัว แววตามุ่งมั่นแม้เอ่อคลอไปด้วยน้ำตาทำเอาทิมยิ่งรู้สึกสงสารลูก สงสารทั้งคนที่อยู่และคนที่หายไป เขารู้ดีว่าแฝดทั้งสองรักกันมากแค่ไหน และถ้าเจย์ลีนพูดแล้วมันก็หมายความว่าเจย์ลีนจะทำอย่างที่พูดจริงๆ
“โทษทีที่เมื่อวานฉันผิดนัด พอดีมีเื่ต้องสะสาง” มันพูดจบก็พ่นควันขาวเทาออกจากปาก ทำท่าจะออกเดินแต่อีกคนดูเหมือนไม่ยอมขยับตัว มันหันมองด้วยแววตาสงสัย
“แล้วแฟรงค์ล่ะ” จูเลียนเอ่ยถาม ที่จริงไม่ใช่ว่าเขาอยากจะตัวติดกับแฟรงค์หรอก แต่มันแค่รู้สึกว่าการไปไหนมาไหนกับมันสองคนช่างเสี่ยงอันตรายเหลือเกิน เกิดมันนึกจะยิงเขาทิ้งขึ้นมาจะทำยังไง
“ฉันใช้มันไปเก็บฟืนในป่า อีกนานกว่าจะมา” จูเลียนพยักหน้ารับฟัง มันเห็นแบบนั้นจึงออกเดินอีกครั้งโดยมีจูเลียนเดินตามเงียบๆ
ทางที่จะไปในครั้งนี้ไม่คุ้นชินสักเท่าไหร่ ไม่เหมือนหรืออาจจะเรียกว่าคนละทางกันกับที่ไปลำธารเลยก็ว่าได้ จูเลียนมองซ้ายมองขวาด้วยใจที่เต้นระส่ำ บางทีการที่มันพามาในทางที่ต่างออกไปอาจทำให้จูเลียนได้ทางหนีทีไล่เพิ่มก็ได้ คนตามหลังมองแผ่นหลังกว้างของมันด้วยความงุนงงอีกครั้ง กับอีแค่ฝึกยิงปืนทำไมถึงดูเหมือนจะพยายามกันแฟรงค์ออกไปขนาดนั้นกันนะ
สักพักเบื้องหน้าที่เคยปรากฏต้นไม้สูงชะลูดก็แปรเปลี่ยนเนินทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่ จูเลียนตาเป็ประกายทันที มันดูเหมือนกับภาพวิวที่สวยงามเวลาเห็นผ่านหน้าจอโทรศัพท์ คงจะดีกว่านี้หากได้มาเยือนในบริบทอื่น มันลอบมองแววตาตื่นเต้นของเด็กหนุ่มแล้วก็แอบยิ้มมุมปากออกมา เหมือนทิมไม่มีผิด โขลกกันออกมาชัดๆ
“เอาล่ะ ลองถือดู” มันพูดทำลายความเงียบ ยื่นกระบอกปืนในมือให้อีกคน จูเลียนรับมาถืออย่างกล้าๆกลัวๆเพราะไม่ได้จับมานานเหลือเกิน
“ไม่กลัวฉันยิงแกตายหรือยังไง ทำไมถึงไว้ใจให้ฉันถือปืน” จูเลียนเอ่ยถามออกไปด้วยสีหน้าจริงจัง ต่างจากอีกคนที่พอเจอคำถามนี้แล้วก็ยิ้มร่าออกมาราวกับว่าพึงพอใจอะไรบางอย่าง พิลึกคนจริงๆ
“คงจะแปลกใจแย่สินะที่ฉันดูไม่เหมือนคนที่แกคิดไว้” คำพูดที่เอ่ยออกมาทำเอาจูเลียนใจเต้นระรัว มันอ่านเขาออกจริงๆด้วยว่าเขาสงสัยในการกระทำของมันทุกอย่าง คนโตกว่าละสายตาและมองไปข้างหน้าก่อนจะเอ่ยอะไรที่ชวนขบคิดออกมา
“สงสัยแย่เลยสิว่าทำไมฉันถึงไม่ฆ่าแกั้แ่วันแรก วันที่ฉันยิงปืนขู่แกไปตั้งหลายนัด”
“เป็แกจริงๆด้วย” กะไว้แล้วเชียวว่าต้องเป็แบบนี้ จูเลียนคิดไว้ไม่มีผิดจริงๆ ใจสั่นระรัวกว่าเดิมเมื่อทุกอย่างดูเหมือนว่ามันเองนั่นแหละ มันที่ยืนอยู่ข้างๆเขาตอนนี้คือฆาตกรจริงๆ
“เดี๋ยวแกก็จะรู้เองว่าทำไม” มันหันมาสบตาและหัวเราะเบาๆในลำคอ ก่อนจะเดินหนีไปคว้าเอาบางอย่างที่แอบเอาไว้ด้วยตัวเองหลังพุ่มไม้พุ่มหนึ่ง มันเป็กระป๋องของปลาซาดีนยี่ห้อหนึ่ง มันวางทีตอไม้ตอหนึ่ง
“เล็งแล้วลองยิงดู เอาพื้นฐานจริงๆก่อนว่าเป็ยังไง” มันกอดอกและเอ่ยเสียงเรียบ จูเลียนยืนนิ่งเหงื่อแตก เขาลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามันต้องทำยังไง มันดูอาการก็พอรู้ว่าดูเหมือนคนเด็กกว่าจะเริ่มตื่นกลัวขึ้นมา
“เอามานี่” มันเดินมาคว้าปืนในมือ ขึ้นลำกล้องให้เรียบร้อยและส่งให้อีกครั้ง ก่อนจะกลับไปยืนที่ใกล้ๆเป้าดังเดิม
“เหนี่ยวไกแล้วยิง แค่นั้น” เสียงเรียบเอ่ยสั่ง แม้ไม่พูดอะไรต่อแต่มันคอยจับตามองท่าทางของจูเลียนตลอด
ร่างเล็กสูดหายใจเข้าปอด ยกแขนทั้งสองข้างขึ้น หลับตาข้างหนึ่งและเล็งปลายกระบอกให้ตรงกับเป้าจำลองที่ตั้งอยู่ จูเลียนเหล่สายตาเล็กน้อยไปทางคนข้างเป้า มันไว้ใจขนาดยืนไม่ไกลเป้าและทิ้งปืนบรรจุะุให้เขาถือเนี่ยนะ มันสมองกลับไปแล้วหรือยังไงกันนะ
ปั้ง!
กระป๋องปลาซาดีนะเืเล็กน้อย ะุนัดแรกไม่ได้เข้าเป้าหากแต่เฉียดไปเพียงนิด มันพยักหน้าอมยิ้มก่อนจะปรบมือด้วยความพึงพอใจ จูเลียนลดแขนลง ปาดเหงื่อบนหน้าผากและพ่นลมหายใจออกมา ใจเต้นระส่ำไม่หาย หันไปมองมันแล้วยิ้มออกมาอย่างลืมตัวด้วยความโล่งใจ
“เก่งมาก ทีนี้ลองอีก” มันกล่าวชม มันพอใจอย่างมาก เรียกว่าเหนือกว่าที่มันคาดเอาไว้เสียอีก จูเลียนเองก็รู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อยอะไรที่อัดอั้นมาตลอดั้แ่อยู่ที่นี่มา เขายกแขนและเล็งปลายกระบอกปืนไปที่กระป๋องนั่นอีกครั้ง คราวนี้เข้าเป้าเต็มๆ
กระป๋องปลาซาดีนกระเด็นร่วงลงจากตอไม้ มันพยักหน้าพอใจ คว้ากระป๋องใหม่วางแทนที่ทันที มันดูท่าทางของจูเลียนแล้วต้องบอกว่าทะมัดทะแมงเอาเื่ ความตื่นเต้นและตระหนกในนัดแรกดูเหมือนจะหายไปโดยสิ้นเชิง และจูเลียนเพลิดเพลินกับมันมาก กระทั่งะุหมดมันจึงพาเขากลับกระท่อม ระหว่างทางเขาสอนเทคนิคต่างๆในการยิงจนหมดเปลือกราวกับไม่กลัวว่าจูเลียนจะคิดยิงเขาทิ้งเข้าสักวัน
เจย์ลีนผลักประตูกระจกเข้ามาในทีมสามก็พบว่าทุกคนหายไปกันหมดมีแต่ความว่างเปล่า ยกนาฬิกาข้อมือดูเวลาก็แปลกใจว่ามันไม่ได้เช้าเกินไปนี่นาทำไมถึงหายกันไปหมด ร่างเล็กยืนนิ่ง เพียงครู่ก็ตัดสินใจเดินไปนั่งที่โต๊ะของเดวิดเพื่อรอเขามา
ขณะนั่งรออยู่ ดวงตากลมซุกซนก็มองสำรวจโต๊ะทำงานของเดวิดไปเรื่อย อันที่จริงมันเป็ระเบียบขัดกับลุคภายนอกของนายตำรวจผิวแทนเสียเหลือเกิน แฟ้มเอกสารบนโต๊ะถูกจัดเป็สัดส่วน ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่แอบอยู่และดันเรียกความสนใจจากคนที่แอบเสียมารยาทเข้าอย่างจัง
กรอบรูปขนาดเล็กหนึ่งอันตั้งแอบอยู่ในสุดของโต๊ะ เรียกว่าถ้าไม่สังเกตก็คงไม่เห็น เพราะมันถูกแฟ้มบังจนเกือบมิด เจย์ลีนมองซ้ายมองขวาก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่อให้มองได้ถนัดว่าคนในรูปคือใคร เจย์ลีนเบิกตากว้างเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเป็รูปผู้หญิงคนหนึ่งที่หน้าคล้ายเดวิดอย่างกับแกะ เดาว่าน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับเจย์ลีนแน่ๆ และก่อนที่จะวิเคราะห์อะไรไปมากกว่านี้ เสียงบางเสียงก็ดังขึ้นขัดจังหวะนักสืบสมัครเล่นทันที
“นั่นเสียมารยาทไปหน่อยนะคุณ” หลังเสียงกระแอมก็ตามมาด้วยประโยคเมื่อครู่ ทำเอาคนตัวเล็กรีบกลับมานั่งติดเก้าอี้ตามเดิม เมื่อกี้โน้มตัวจนแทบจะลุกยืนอยู่แล้ว ดวงตากลมหลุบต่ำอย่างเขินอายเป็อย่างมาก
“ขอโทษครับ” เสียงอ่อนกล่าวด้วยความรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้าไม่หาย เดวิดมองด้วยสายตาที่ระอาปนเอ็นดูเล็กน้อย เขาไม่ได้ถือโทษโกรธอะไรหรอกที่จะสงสัยว่าเดฟน่าเป็ใคร เพราะไม่น้อยเลยที่มักจะเข้าใจว่าเดฟน่าเป็ลูกสาวของเขา
“แล้วคุณหายไปไหนกันมาหรอ ทั้งทีมเลย” เจย์ลีนแสร้งเอ่ยถามและเปลี่ยนเื่เพื่อจะได้ออกจากความน่าอายนี้ เดวิดเก็บแฟ้มที่ถือติดมาเข้าที่ ก่อนจะหันมาหาคนเอ่ยถาม กอดอกและจ้องเขม็งพร้อมเสียงเรียบที่ตอบกลับ
“มีประชุมด่วนเื่คดีครับ พอใจหรือยัง” เจย์ลีนพยักหน้ารับ
“เดี๋ยวสักพักค่อยไปร้านของมือสอง คุณจะไปหามื้อเช้ากินก่อนก็ตามใจ ผมจะดูเอกสารต่อ”
“แล้วคุณไม่กินอะไรหรอ” คนอายุน้อยกว่าเอ่ยถามด้วยความเป็ห่วง เดวิดส่ายหัว
“ไม่ล่ะ เชิญคุณตามสบาย ไม่ต้องรีบกลับมานะ ผมขอเวลาอ่านอย่างสงบเงียบๆคนเดียวสักพัก” คำขอร้องแกมไล่ทำเอาคนที่ลุกขึ้นยืนทำท่าจะออกไปหน้าง้ำหน้างอขึ้นมาทันที เจย์ลีนถอนหายใจเบาๆแต่เดวิดได้ยินก่อนจะลับหายออกไปจากแผนกของทีมสาม
“ลูกแกงอนแล้วว่ะเดฟ” แมททิวเอ่ยแซวหลังจากที่เจย์ลีนออกไปได้สักพัก
“ปากดีจังนะ เดี๋ยวจะให้มาทำคดีนี้แทน” แน่นอนว่าแมททิวหุบปากแทบไม่ทัน ใครจะอยากทำกัน ลำพังแค่คดีฆาตกรต่อเนื่องก็ปวดสมองจะแย่ ถ้าต้องแบกคดีคนหายด้วยอีกแบบเดวิดอีกละก็เขาตายแน่ๆ
จูเลียนยกถังสังกะสีและรดน้ำลงบนแปลงผักแปลงเดิม เหงื่อโทรมกายจากอากาศที่ร้อนขึ้นเอาเสียดื้อๆ เขาวางถังกะสีลงกับพื้น ดูท่าแล้วอีกไม่นานหัวผักกาดนี่ได้กินแน่ๆ ทว่ารู้สึกเหมือนกับถูกมองอยู่ยังไงก็ไม่รู้ จูเลียนหันไปก็พบว่าแฟรงค์ที่ยืนอยู่ตรงกองฟืนกำลังมองเขาอยู่ เมื่อพบว่าถูกจับได้ก็รีบส่งยิ้มบางๆให้จูเลียน คนตัวเล็กยิ้มตอบและทำงานของตัวเองต่อ แม้ในใจจะงุนงงกับท่าทางของแฟรงค์เล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
“เมื่อเช้าไปไหนมาหรอ” จูเลียนสะดุ้งสุดตัว หันไปก็พบว่าแฟรงค์มายืนอยู่ข้างหลังั้แ่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ยกมือลูบหน้าอกของตัวเองด้วยความใ แฟรงค์เอ่ยขอโทษยกใหญ่เมื่อเห็นอีกคนใเพราะเขา
“ไปไหนหรอ” จูเลียนแกล้งตีหน้าซื่อ ดวงตากลมสดใสเป็ประกายราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ก็เมื่อเช้าพ่อพาจูเลียนไปไหนมา” เสียงที่เอ่ยออกมามันดูกดต่ำคล้ายกับจะจับพิรุธ บวกกับสายตาของแฟรงค์ช่างดูแข็งกร้าวยังไงชอบกล
“เขาแค่พาไปซุ่มดูกวางน่ะ” คนโตกว่ายิ้มบางๆ พยายามข่มความรู้สึกกระอักกระอ่วนและอึดอัดไว้ในใจ แม้รู้ดีว่าคนตรงหน้ามีท่าทีเปลี่ยนไป แฟรงค์จ้องหน้าไม่พอ แต่สายตาของเขามันทำให้จูเลียนรู้สึกไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย
“ดูหัวผักกาดกับแครอทนี่สิ เดี๋ยวไม่กี่วันก็คงจะได้กินแล้วเนอะ” จูเลียนเอ่ยเสียงใส หันไปสบตาอีกคนก็พบว่าแฟรงค์กลับมาเป็เหมือนเดิมแล้ว จูเลียนลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ท่าทางของเด็กหนุ่มเมื่อกี้ทำเอาเขาใจเสียอยู่เหมือนกัน
ที่จริงจูเลียนไม่ได้อยากจะโกหกแบบที่บอก แต่เพราะมันขอเอาไว้ว่ายังไงซะก็ห้ามบอกแฟรงค์เื่ที่ไปไหนมาไหนกับมันสองคน จูเลียนเข้าใจเอาเองว่าคงเป็เพราะมันกลัวว่าแฟรงค์จะรู้สึกเหมือนถูกแย่งความรักแน่ๆ เขาเข้าใจดีว่าแฟรงค์เองก็มีแต่พ่อ แล้วอยู่ดีๆเขาเองที่เป็คนนอกก็เข้ามามีบทบาทในบ้านแบบไม่ทันตั้งตัว ถึงแม้แฟรงค์จะดูเปิดใจกับเขามากแค่ไหน แต่จูเลียนเองก็คิดไว้เผื่อในกรณีที่แย่ที่สุดเสมอ
“ผมจะไปเก็บฟืนเพิ่มนะ” แฟรงค์ว่า ท่าทางเขาดูไม่แข็งกร้าวเหมือนเมื่อครู่แล้ว จูเลียนพยักหน้ารับ เด็กหนุ่มหันหลังเดินลับหายไปในป่า อีกคนก้มหน้าก้มตาพรวนดินทว่าเมื่อเห็นว่าแฟรงค์ลับสายตาไปก็ละมือและลุกยืนทันที
จูเลียนคิดไว้ในหัวแล้วว่าวันนี้จะทำอะไรบางอย่าง ไม่สิ อันที่จริงเขาคิดมานานแล้วว่าต้องทำ แต่ยังหาโอกาสที่จะอยู่ลำพังไม่ได้เลย นี่แหละคงจะเป็โอกาสที่ประจวบเหมาะที่สุด ร่างเล็กมองซ้ายมองขวาให้แน่ใจ ผลักประตูไม้เข้าไปในกระท่อม ก้าวเท้าอย่างเร่งและหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องของมัน
เอื้อมมือบิดกลอนแล้วก็เป็ดังคาดที่มันจะถูกล็อก รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยแม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจ พลันความคิดหนึ่งแล่นในหัวเข้ามา จูเลียนจำได้ว่ามันมีหน้าต่างบานหนึ่งที่เป็ของห้องมัน ร่างเล็กรีบรุดออกจากกระท่อมและตรงไปที่หน้าต่างบานนั้นทันที บางทีอาจจะเข้าจากทางนั้นได้ แม้ในใจรู้ดีว่าคงจะยากที่มันจะสะเพร่าก็ตาม
พยายามจะยกบานหน้าต่างขึ้นแต่ไม่เป็ผล จูเลียนหัวเสียอย่างมาก มีอยู่ทางเดียวคือต้องมองเข้าไปผ่านทางหน้าต่างบานนี้ จูเลียนเขยิบเข้าไปใกล้แต่ไม่ได้แนบหน้าจนชิดเพราะกลัวว่าจะทิ้งรอยเอาไว้ มือสองข้างป้องแสงให้มองได้ถนัดขึ้น กระจกบานเ้ากรรมดันมัวหมองเสียจนแทบมองไม่เห็นข้างใน อะไรๆก็ไม่เป็ใจสักอย่าง ยังดีที่พอจะเพ่งบางจุดได้บ้าง
จูเลียนถอดใจและยืนนิ่งอยู่ที่หน้าต่างบานนั้น มันมองเห็นแค่เพียงเตียง นอกนั้นก็มัวมากจนแทบจะเดาอะไรไม่ถูก ความรู้สึกท้อใจมันก่อมวลขึ้นเล็กน้อยแต่มันคงไม่มากพอให้ถอดใจไปเลย จูเลียนกลับไปนั่งข้างแปลงผักตามเดิมโดยไม่รู้เลยว่าทุกการกระทำั้แ่เริ่มจนจบนั้นอยู่ในสายตาของอีกคนเสมอ ั์ตาสีเขียวมรกตเห็นจนหมด และเป็แบบที่คิดไว้ไม่มีผิด
สองข้างทางในสายตาของเจย์ลีนตอนนี้ดูแปลกไป มันเป็ทางที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ผู้คนดูเยอะกว่าทางเมื่อวานที่เดวิดขับผ่าน รอบตัวเต็มไปด้วยบ้านคนสลับกับร้านรวงพื้นเมือง เจย์ลีนรู้สึกชอบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก จนกระทั่งมัสแตงสีดำจอดเทียบยามถึงที่หมาย
“ถึงแล้วหรอครับ”
“ครับคุณหนู” เดวิดเอ่ยเสียงเรียบและเปิดประตูออกไป เจย์ลีนหน้างอเมื่อรู้ว่าเขาจงใจกวนประสาทกัน เมื่อเช้าก็ทีนึงแล้ว แต่ช่างเถอะยังไงซะก็ต้องพึ่งเขาอยู่ดี
เดวิดเดินไปตามทางที่ทรอยบอกจนหยุดอยู่หน้าร้านที่เข้าเค้าแบบที่ทรอยว่า ตึกสองชั้นทาสีเขียวแก่ ชื่อร้านตรงกัน เคาท์เตอร์ไม้เก่ากึกหน้าร้าน นายตำรวจหนุ่มขยับเข้าไปใกล้ ชั้นวางของขนาบเต็มผนังร้านและอัดแน่นไปด้วยของชิ้นเล็กชิ้นน้อยมากมาย ดูเหมือนจะเป็ร้านของมือสองร้านใหญ่ตามคำคุยของทรอยจริงๆ เจย์ลีนสอดสายตาทั่วร้านก็ไม่พบกับเ้าของ
“เ้าของไม่อยู่หรอ”
“เดี๋ยวก็รู้” เดวิดว่าไม่ทันขาดคำก็ะโเรียกลั่นร้าน หันมายักคิ้วกวนประสาทให้เจย์ลีน คนตัวเล็กนึกขำกับท่าทางที่ดูจะผลีผลามของเขาในบางครั้ง กระทั่งการะโที่น่าขันดันได้ผลขึ้นมา เบื้องหน้าของทั้งสองปรากฏชายชราคนหนึ่งเดินออกมาจากหลังร้าน
ผมสีเทาเต็มหัวและริ้วรอยเต็มใบหน้า ผิวขาวสะอาด ดูท่าทางคงจะอายุอานามไม่น้อยหากแต่ดูแข็งแรงและทะมัดทะแมงราวกับโกงอายุ เขายิ้มทักทาย มีชะงักเล็กน้อยที่เห็นนายตำรวจผิวแทนในเครื่องแบบ
“เลือกของตามสบายเลยครับ” เขาเดินไปหลังเคาท์เตอร์และเอ่ยด้วยเสียงทุ้ม
“ผมไม่ได้มาซื้อของครับ พอดีจะขอรบกวนอะไรสักหน่อย” เดวิดเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังและไม่รีรอที่จะเข้าเื่ คิดไว้ในหัวแล้วว่าบางทีอาจจะต้องเสียเวลาต่อรองกับรายนี้อยู่ไม่น้อย ดูท่าจะหัวหมออยู่แม้ไม่อยากตัดสินคนจากภายนอก
“ผมมาถามหาจักรยานคันนี้ครับ” เดวิดยกโทรศัพท์โชว์รูปจักรยานของจูเลียนถ่ายเอาไว้ให้ชายชราดู เขาหยิบแว่นที่วางบนเคาท์เตอร์และสวมก่อนจะเพ่งมองอยู่สองสามนาที
“อ๋อ ผมพึ่งจะขายไปเองครับ” ชายชราตอบเพียงสั้นๆและวางแว่นสายตาไว้ที่เดิม
“ผมทราบครับ แต่อยากทราบมากกว่านั้นว่าคุณไปได้จักรยานคันนี้มาจากไหน” คำถามของเดวิดตรงไปตรงมา ทว่ามันทำให้ชายชรารู้สึกถึงสัญญาณเตือนอะไรบางอย่าง ยิ่งพอเป็คำถามที่มาจากตำรวจด้วยแล้วมันยิ่งน่ากลัวเข้าไปกันใหญ่ เขาอึกอักและเหมือนจะเดินหนีเข้าไปหลังร้านตามเดิม
“ถ้าคุณยอมบอกตามตรงเนี่ย เื่รับซื้อของโจรผมอาจช่วยทำเป็ไม่รู้ไม่เห็นให้ได้นะครับ” เสียงเรียบเอ่ยแกมยื่นคำขาด แน่นอนว่ามันไม่เหลือทางเลือกใดให้แก่ชายชรา เขาหยุดชะงักและเดินกลับมายังหลังเคาท์เตอร์ตามเดิม
“มี homeless คนหนึ่งมาขายให้ผมก่อนหน้าที่…”
“ทรอย” เดวิดพูดแทรกขึ้นมาอย่างเสียมารยาท หากแต่มันเป็การย้ำไปในตัวว่าเขารู้จักทรอย เพราะฉะนั้นแปลว่าทรอยบอกเขาทุกอย่างแล้วเขาจึงมาที่นี่
“ครับ ทรอย ก่อนหน้าที่ทรอยจะซื้อไปไม่กี่วัน”
“คุณจำหน้าเขาได้มั้ย” เดวิดเงยหน้าจากการจดรายละเอียดลงในสมุด ชายชราครุ่นคิดเพียงครู่ก็ตอบกลับมา
“จำได้ไม่แม่นนักครับ แต่เขาบอกว่าเขาอาศัยอยู่แถวๆโรงไม้เก่า” เดวิดพยักหน้ารับ ในขณะที่เจย์ลีนขมวดคิ้วอย่างสงสัยว่าโรงไม้เก่าคือแถบไหนกันนะ ผิดกันกับเดวิดที่รู้ดีว่าชายชราหมายถึงที่ไหน
“เอ่อ ขอโทษนะครับ แล้วเขาเอาจักรยานมาขายอย่างเดียวหรอ มีอย่างอื่นด้วยมั้ยครับ” เจย์ลีนเอ่ยถามท่ามกลางความเงียบ เดวิดหันมองเล็กน้อย ชายชรารีบส่ายหน้าทันทีและดูเหมือนจะนึกอะไรออก
“ไม่ครับ มีนี่ด้วย” ชายชราก้มลงไปหลังเคาท์เตอร์ เดวิดรีบชะโงกดูเพราะกลัวว่าอีกคนจะงัดปืนมายิงหรือเปล่า แต่ผิดคาดที่เขากำลังรื้อของในลังกระดาษอยู่
“นี่ครับ”
“ไม่จริงนะ” เจย์ลีนเบิกตาโพลงไม่แพ้เดวิด สิ่งที่วางอยู่บนเคาท์เตอร์ทำเอาคนทั้งคู่ใจเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น มันคือโทรศัพท์มือถือของจูเลียนที่ทั้งสองหากันจนตาแทบแตกเมื่อวาน
“ทีแรกก็กะว่าจะไม่รับซื้อหรอกครับ มันดูจะราคาแพงแถมเป็ของใครก็ไม่รู้ แต่หมอนั่นมันขายให้ถูกๆก็เลยซื้อมา” ชายชราเลื่อนมันไปใกล้คนทั้งคู่มากขึ้น เจย์ลีนทำท่าจะไปคว้ามาแต่เดวิดกระแอมเสียงดังเป็เชิงห้าม นายตำรวจหนุ่มคว้าผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงมาถือในมือและหยิบโทรศัพท์มือถือผ่านผ้าเช็ดหน้าอีกทีเพื่อป้องกันลายนิ้วมือปะปน เขาแตะที่หน้าจอก็พบว่ามันแบตเตอรี่หมดแบบที่จอนว่า
“ถ้างั้นผมคงต้องขอมันกลับไปที่สถานีนะครับ”
“ได้เลยครับคุณตำรวจ” ชายชราพยักหน้าอย่างเต็มใจ เขาเองตั้งใจให้ความร่วมมือเต็มที่ไม่ขัดขืนไม่ใช่เพราะอะไร แต่ถ้าหากขัดขืนก็จะพลอยทำให้ธุรกิจที่ทำอยู่มีปัญหาได้ไม่ยาก เพราะของในร้านไม่น้อยเลยเขาเองก็รับซื้อมาทั้งๆที่ไม่รู้เลยว่ามันมาจากการขโมยหรือเปล่า
“ไม่คิดเลยว่าจะเจอโทรศัพท์จูลที่นี่” เจย์ลีนเอ่ยเบาๆท่ามกลางความเงียบระหว่างทางกลับสถานี เครื่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ว่าถูกห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าของเดวิดและวางบนตักของคนเป็พี่ในขณะนี้
“ดีแล้วที่เจอ จะว่าไปคุณก็…”
“หือ ก็อะไรหรอครับ” คนตัวเล็กหันมามองคนหลังพวงมาลัยที่อยู่ๆก็เงียบไปเสียดื้อๆ
“คุณก็ช่างสังเกตเหมือนกัน เพราะคุณเห็นจักรยานคันนั้นเราก็เลยไปต่อได้อีก” เดวิดเอ่ยจนจบประโยคแต่ตะกุกตะกักเอาเื่ เจย์ลีนพยักหน้าน้อยๆเป็เชิงขอบคุณ
“ผมก็ช่วยเท่าที่ช่วยได้”
“นั่นมันก็เยอะมากแล้ว เป็ประโยชน์ดีกว่ามานั่งร้องไห้”
“นี่คุณ!” เสียงอ่อนเมื่อครู่กลับเปลี่ยนเอาเื่ทันทีที่ถูกจิกกัดจากอีกคน เดวิดหัวเราะร่าออกมาอย่างลืมตัวก่อนจะรีบหยุดและกระแอมไอหนึ่งทีแก้เก้อ หันไปสนใจทางข้างหน้าตามเดิม เจย์ลีนลอบมองอีกคนที่เก๊กขรึมน่าดู โถ่เอ๊ย กับอีแค่จะหัวเราะออกมามันเสียลุคตรงไหนกันนะ
“เขาพยายามจะเข้าไปในห้องพ่อ”
“หรอ”
คนเป็พ่อทำเพียงยักไหล่และพ่นควันมะเร็งออกจากปาก บรรยากาศในตอนนี้หนาวเหน็บ เงียบสงัดและมืดสลัว ทั้งสองยืนอยู่นอกบ้านไม่ไกลจากกองฟืน
“พ่อไม่คิดจะทำอะไรเลยหรือยังไง”
มันไม่ตอบอะไรเพียงปรายตามองช้าๆ บี้มวนบุหรี่กับหัวรองเท้าก่อนจะก้าวเท้าเขยิบมายืนอยู่ตรงหน้าแฟรงค์ไม่ถึงคืบ จ้องมองลงไปในดวงตาสีมรกต
“กูบอกแล้วไงว่าอย่าคิดจะหนีกู”
“มึงก็รู้ว่ากูทำอะไรได้บ้าง”
“มึงหนีกูไม่พ้น ไม่มีทางพ้น”
“เพราะมึงเลือกกูมาเอง จำไว้”