Chapter 13
The devil hidden inside us
ค่ำคืนอันมืดมิดที่เริ่มจะกลายเป็ความเคยชินถูกทำลายลงด้วยเสียงแว่วๆบางอย่าง จูเลียนสะลึมสะลือบิดกายบนฟูกก่อนจะยันตัวลุกนั่ง เงี่ยหูฟังเสียงจากชั้นบนที่แว่วมาให้ได้ยินอีกคราเหมือนกับครั้งที่แล้วที่ถูกจับมาใหม่ๆไม่มีผิด ร่างเล็กลุกยืนขึ้นเต็มตัว เสียงที่ว่านั่นมันเบาบางเสียเหลือเกินจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ แต่คราวนี้คนที่ยืนอยู่ท่ามกลางความมืดสลัวในตอนนี้คงไม่ยอมแพ้แน่ๆ ยังไงซะก็ต้องรู้ให้ได้ว่าทั้งสองข้างบนกำลังพูดอะไร
สาวเท้าบนพื้นอย่างเงียบเชียบ แม้รู้ดีว่าการขยับตัวของตัวเองในชั้นล่างสุดที่แสนอึดอัดนี่จะไม่มีผลอะไรก็ตาม แต่หากมันจะรบกวนการรับฟังเสียงแ่เบานั่นคงไม่ดีแน่ จูเลียนพยายามจนในที่สุดก็ยืนอยู่ในตำแหน่งที่ดูเหมือนจะชัดเจนที่สุดแล้วเท่าที่จะเป็ไปได้ เสียงจากข้างบนนั้นไม่อาจรู้ได้เลยว่าใครเป็คนพูด ได้ยินเพียงแต่ประโยคที่ฟังดูแล้วไม่สบายใจเลยสักนิด
“คิดจะทำอะไร แน่ใจหรอว่ามันจะคุ้ม”
“แกหนีฉันไม่พ้นหรอก”
เพียงสองประโยคที่พอฟังออก จากนั้นก็ต้องสะดุ้งโหยงด้วยความใจากเสียงปิดประตูดังลั่นสนั่นไปทั้งหลัง ทิ้งไว้เพียงเสียงเงียบสงัดดังเดิมเหมือนที่เคยเป็มา มันมีเพียงเสียงปิดประตูเพียงเสียงเดียว เพราะงั้นแปลว่าอีกคนต้องอยู่ในห้องอยู่แล้วหรอ หรืออะไรกันนะ
ข้อสันนิษฐานในตอนนี้คือแน่นอนว่าแฟรงค์คงขยับไปไหนไม่ได้ในเวลานี้แน่นอน เด็กหนุ่มเคยบอกเองว่าตกกลางคืนจะถูกลิดรอนอิสรภาพด้วยโซ่ตรวนเสมอ ถ้างั้นก็ต้องเป็มันแน่ๆที่พ่นถ้อยคำข่มขู่น่าขยะแขยงแบบนี้ ร่างเล็กตัดสินใจเดินกลับมาทิ้งตัวลงนอนที่ฟูกตามเดิม ได้แต่ขบคิดอะไรบางอย่างกับตัวเองจนปวดไปทั้งหัว ความคิดในหลายแง่มันตีกันอย่างบอกไม่ถูก และเขาเองก็ไม่อาจเข้าใจมันได้เลย
มันดูจงเกลียดจงชังและกักขังหน่วงเหนี่ยวคนเป็ลูกได้อย่างน่ารังเกียจ กลับกันมันดูเหมือนจะมีสายตาบางอย่างที่โอนอ่อนกับคนที่มันจับมาอย่างจูเลียน ทั้งๆที่สายตาแบบนั้นมันควรจะใช้กับคนเป็ลูกเสียมากกว่าคนที่พร้อมจะเปิดโปงมันทุกเมื่อแบบเขา ยังไงกันแน่นะ จูเลียนวนเวียนสิ่งเหล่านี้ในหัวจนกระทั่งผล็อยหลับไปเอง
แดดร่มจนแทบไม่ต้องยืนหลบและพิงผนังตึกอีกต่อไป บุหรี่มวนที่สามถูกจุดขึ้นและคีบไว้ในปาก นานพอสมควรแล้วกับการรอคอยเ้าของจอมปลอมของจักรยานคันนั้น เม็ดเหงื่อเม็ดจิ๋วเริ่มผุดบนหน้าผากของคนเป็พี่ ในขณะที่นายตำรวจผิวแทนนั่นดูจะชินชาและไม่ยี่หระต่ออะไรทั้งสิ้น แม้ที่จริงเจย์ลีนเองก็หวั่นใจว่าเขาอาจตวาดขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ว่าเจย์ลีนทำอะไรไร้สาระอีกครั้ง
ทว่าดูเหมือนกับประธานเปิดงานเลี้ยงที่รอคอยมาแสนเนิ่นนานในที่สุดก็มาถึงสักที เป็เจย์ลีนที่สังเกตว่าชายแก่ตัวผอมคนหนึ่งเริ่มวนเวียนแถวจักรยานคันนั้น สะกิดเดวิดให้ดูความผิดปกตินั่น นายตำรวจหนุ่มทอดสายตามองไปก็พบว่านี่มันเริ่มจะเข้าเค้าเสียแล้วแหละ
“คุณรออยู่นี่”
“ได้ไงกัน ผมต้องไปด้วยสิ” เจย์ลีนยืนกราน เดวิดถอนหายใจแต่ก็ไม่อยากจะเสียเวลาถกเถียงใดๆ เดี๋ยวจะกลายเป็ว่าเป้าหมายที่รอคอยมาแสนนานจะหายเข้ากลีบเมฆไป
ชายคนนั้นคร่อมจักรยานเรียบร้อยพร้อมกับถุงกระดาษใบโตที่วางบนตะกร้าหน้า ดูเหมือนว่าอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าเขาต้องลับหายไปบนท้องถนนเป็แน่ เดวิดรีบวิ่งไปดักหน้าและจับแฮนด์จักรยานเอาไว้โดยมีเจย์ลีนตามมาติดๆ ชายแก่ตัวผอมสูงเบิกตาโพลงด้วยความใ ผสมรวมกับเมื่อเห็นเครื่องแบบสีดำของนายตำรวจที่กำลังยืนขวางหน้าแล้วก็ใจตกไปอยู่ตาตุ่ม
เ้าของจอมปลอมทำท่าจะทิ้งจักรยานและวิ่งหนี หากแต่คงจะช้าไปกว่านายตำรวจผิวแทนคนนี้ไปสักหน่อย เดวิดคว้าเข้าที่แขนอย่างไม่ต้องออกแรงมากเพราะดูท่าชายแก่ก็ไม่ได้เรี่ยวแรงเยอะสักเท่าไหร่ เจย์ลีนที่จับต้นชนปลายกับสถานการณ์ตรงหน้าไม่ถูกเลยสักนิดกลับรู้สึกแปลกตาไปในอะไรบางอย่าง เดวิดดูกระฉับกระเฉงไปมากในเวลาทำงาน เขาดูจริงจังจนแสดงออกมาทางใบหน้าที่เริ่มจะถมึงทึงเล็กน้อย
“ผม ผมไม่ ไม่ได้ทำอะไรเลยนะคุณตำรวจ” เสียงแหบพร่าเอ่ยจากเ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเข้มแซมเทา เขาละล่ำละลักส่ายหน้ายกมือโบกไปมาปฏิเสธอย่างตระหนก มันยิ่งดูมีพิรุธอย่างบอกไม่ถูก แต่จะโทษเขาก็ไม่ผิด เพราะการเข้าหาของทั้งสองมันดูบุ่มบ่ามเสียจนเป็ใครก็คงต้องใเป็ธรรมดา
“ใจเย็นๆครับ ผมแค่มีอะไรจะสอบถามนิดหน่อยเอง” เดวิดคลายมือที่จับแขนอีกคนออก ชายแก่หอบหายใจเล็กน้อย มองซ้ายขวาอย่างลุกลี้ลุกลน แน่นอนว่าผู้คนแถวนั้นที่มีประปรายเริ่มจะหันมองกันและทั้งสามก็ตกเป็เป้าสายตาเป็ที่เรียบร้อย
“ขอถามอะไรแค่สักสองสามคำครับ ภรรยาของคุณคงไม่อยากให้มะเขือเทศนั่นเหี่ยวหรอกจริงมั้ย” ชายแก่พยักหน้าช้าๆ เดวิดยิ้มมุมปากเมื่อเห็นว่าอีกคนเริ่มโอนอ่อนและยินยอมแต่โดยดี ในขณะที่เจย์ลีนหันไปในถุงกระดาษที่ตะกร้าหน้ารถก็พบกับมะเขือเทศสีแดงสดโผล่พ้นออกมาอย่างที่เดวิดว่า นึกชื่นชมเขาอีกคราที่หูตาไวและเข้าใจเอามาหลอกล่ออย่างแยบยลและชาญฉลาด
“ก็ได้ครับคุณตำรวจ” ชายแก่ดูนิ่งและยินยอมดังที่เดวิด้า นายตำรวจยิ้มกว้างอย่างเป็มิตร ก่อนจะผายมือไปยังตึกอีกฟากที่ผู้คนน้อยกว่านี้สักหน่อย การตกเป็เป้าสายตาคงไม่เวิร์กนัก แค่นี้คนก็แตกตื่นกันจะแย่แล้ว เดวิดไม่ลืมที่จะควักสมุดเล่มเล็กออกมาพร้อมกับปากกาที่เหน็บไว้กับกระเป๋าเสื้อ เดินนำโดยมีเจย์ลีนอยู่หลังสุด
จูเลียนยังนั่งอยู่บนฟูกที่นอนดังเดิม ย่ำรุ่งและแสงสว่างเริ่มเยื้องย่างเข้ามาคลอเคลียหากแต่คนที่นัดเอาไว้ก็ไม่ได้มาตามที่บอก เมื่อวานมันบอกว่าจะพาไปฝึกยิงปืน ทว่าไร้วี่แววของมันตามที่บอกเอาไว้ กระทั่งเสียงกุกกักหน้าประตูชั้นใต้ดินดังแว่วมา จูเลียนรีบทิ้งตัวลงนอนดังเดิม หลับตาพริ้มอย่างชำนาญให้เหมือนกับว่ายังไม่ตื่นแต่อย่างใด
“จูเลียน” เสียงเรียบเอ่ยเรียก คนตัวเล็กบนฟูกแสร้งสะลึมสะลือ แพขนตากะพริบตบตาคนมาปลุกได้อย่างแเี โชคดีแล้วที่แกล้งหลับ เพราะคนที่มาปลุกเป็คนลูกไม่ใช่คนพ่อ แฟรงค์นั่งยองไม่ห่างจากคนบนฟูกเท่าไหร่ เด็กหนุ่มยิ้มบางๆให้อย่างจริงใจ
“ไปกินมื้อเช้ากัน” แฟรงค์ว่า จูเลียนยันตัวขึ้นนั่งและพยักหน้ารับรู้ ชะงักเล็กน้อยเมื่ออีกคนเอื้อมมือมาลูกเรือนผมเขาอย่างแ่เบา คนตัวเล็กช้อนตามองและส่งยิ้มบางๆให้เช่นกัน
“ยังเจ็บอยู่มั้ย” แผลฟกช้ำบนใบหน้าของเด็กหนุ่มแน่นอนว่ามันยังคงอยู่ เ้าของดวงตาสีมรกตส่ายหน้าช้าๆ รอยยิ้มอ่อนโยนแสนใสซื่อนั่นทำจูเลียนใจอ่อนยวบ รู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ
“เื่นั้นช่างเถอะ ไปกันดีกว่า ช้าขึ้นมาเขาคงไม่พอใจแน่” แฟรงค์ลุกขึ้นยืน ส่งมือมาตรงหน้าเพื่อให้อีกคนจับ จูเลียนลำบากใจเล็กน้อยหากแต่ต้องตามน้ำไปอย่างแเี มือเล็กวางลงบนมือหนาของเด็กหนุ่ม แฟรงค์ออกแรงค่อยๆฉุดร่างเล็กของอีกคนจนยืนเต็มตัว
“ขอบคุณนะ” จูเลียนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม ทว่าอีกคนไม่ยอมปล่อยมือ แฟรงค์กอบกุมไว้แบบนั้นก่อนจะจูงมือจูเลียนจนไปถึงข้างบนจึงยอมปล่อยมือ คนตัวเล็กรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อยหากแต่ต้องข่มอาการไว้มากเหลือเกิน
มันนั่งรออยู่ที่โต๊ะก่อนแล้ว เมื่อเห็นว่าทั้งสองเดินมาก็เริ่มจัดการอาหารตรงหน้าที่เหมือนเดิมในทุกวัน จูเลียนและแฟรงค์นั่งลงที่เดิม มันปรายตามองจูเลียนเล็กน้อยราวกับรู้ว่าตัวเองผิดนัดอะไรบางอย่าง จูเลียนสบตากลับก่อนจะจัดการอาหารตรงหน้าเช่นกัน ไม่ได้แสดงอาการอะไรมากมายนักเพราะจำข้อบังคับบางอย่างที่มันเคยสั่งเอาไว้ได้แม่น
อย่าบอกแฟรงค์
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่เดาว่าคงจะมีเหตุผลบางอย่างที่ตัวจูเลียนเองก็ไม่อาจคาดเดาได้หรอก จิตใจของฆาตกรนั้นมันยากแท้หยั่งถึงกันทั้งนั้น บางคนก็อาจจะพออ่านออกได้ แต่กับมันคงต้องบอกว่ามีหลายเหลี่ยมหลายมิติมากนัก ไม่อาจรู้เลยว่าการกระทำที่มันทำอยู่หรือจะทำในอนาคตมันเพื่ออะไรกันแน่ ทางที่ดีที่ปลอดภัยที่สุดคงเป็การอยู่เฉยๆและตามน้ำมันไปคงดีกว่าจะขัดขืนและขบถ
“วันนี้ฉันจะกลับช้าหน่อย” มันเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ เสียงแข็งเป็ปกติ มันเงยหน้าสบตาเด็กทั้งสองสลับกันไปมาราวกับ้าให้รับรู้ประโยคต่อไปที่เอ่ยด้วยเสียงเยือกเย็น
“หวังว่าจะไม่ไปเถลไถลที่ไหนกันอีก เพราะไม่อย่างนั้นฉันคงต้องใช้ไม้แข็ง และไม่มีวันใช้ไม้อ่อนอีกต่อไป” พูดจบก็ลุกขึ้นและสะพายปืนคู่ใจ เปิดประตูออกไปพร้อมกับเสียงสตาร์ทบุโรทั่งคันเก่าตามมา จูเลียนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ไม่มีทางรู้เลยว่าไม้แข็งที่ว่าคืออะไร เพราะลำพังไม้อ่อนที่ใช้นั้นก็ร้ายแรงจนสร้างรอยฟกช้ำและาแเต็มใบหน้าของอีกคน
หลังจากช่วยกันเก็บล้างจานจนเสร็จเรียบร้อย คนทั้งสองก็มาขลุกกันอยู่ที่เดิมในทุกๆวัน แฟรงค์ง้างขวานในอากาศและจามลงบนท่อนฟืนเหมือนอย่างเคย และจูเลียนเองก็รดน้ำถอนวัชพืช เสื้อผ้าที่เปลี่ยนไปวันก่อนเริ่มมอมแมมอย่างเห็นได้ชัด หวังว่าไม่กี่วันมันจะพาไปลำธารนะ เพราะหากรบเร้าแฟรงค์คงได้เป็เื่อีกแน่นอน
“ไม่เจ็บแล้วแน่หรอ” จูเลียนเอ่ยถามขณะที่นั่งพักกันอยู่บนกองฟืน แฟรงค์ยิ้มน้อยๆ ส่งน้ำในแก้วให้จูเลียนดื่ม
“ไม่แล้วจริงๆครับ” แฟรงค์ตอบ จูเลียนสังเกตรอยฟกช้ำมันดูดีขึ้นแล้วก็จริง แต่มันคงเจ็บน่าดู ลำพังแค่ตัวเขาชนนู่นชนนี่จนที่ขามีรอยเขียวก็ว่าเจ็บจะแย่ ถ้าเป็แบบแฟรงค์คงเจ็บมากจนแทบไม่ต้องคิดเลย
ขณะนั่งทอดสายตามองไปข้างหน้ากันทั้งคู่ บทสนทนาขนาดย่อมก็ก่อเกิดระหว่างคนทั้งคู่ จูเลียนยังคงเล่าเื่หลังผืนป่าอย่างเจื้อยแจ้วสลับกับเอ่ยถามแฟรงค์บ้างในบางครา เด็กหนุ่มตอบอย่างตรงไปตรงมาและใสซื่อ แน่นอนว่าทุกสิ่งที่จูเลียนถามมันล้วนเกี่ยวกับเื่คดีล้วนๆ แต่เป็การถามที่ดูเหมือนจะไม่เจาะจงหากแต่มันมุ่งตรงไปยังสิ่งนั้นอย่างแน่วแน่
ทว่าการซักถามของอีกคนที่ดูเหมือนสนใจในชีวิตอันราบเรียบของแฟรงค์นั้นมันกำลังก่อมวลบางอย่างในใจของเด็กหนุ่มแ่าขึ้นเรื่อยๆ รอยยิ้มและใบหน้าของอีกคนที่เล่าเื่ด้วยแววตาเป็ประกายนั้น ทีแรกมันไม่ได้น่ามองเท่านี้มาก่อนในความคิดเขา ทว่าในตอนนี้มันรู้สึกเหมือนกับจะละสายตาไม่ได้ยังไงยังงั้น
เขาดูสนใจ สนใจในแบบที่พ่อไม่เคยให้ และแฟรงค์เองก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีใครอยากรู้อะไรแบบนี้ ชีวิตเกิดมาก็มีแต่พ่อั้แ่เล็กจนโตก็มีแค่พ่อ พอมาเจอกับใครสักคนที่ดูน่าแปลกในทีแรกหากแต่ตอนนี้แฟรงค์เริ่มรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่เคยรู้สึกวาบหวามในอกยามคุยกับใครถ้าไม่ใช่จูเลียน แหงล่ะเพราะไม่เคยพูดคุยกับใครมาก่อนเลย
แล้วถ้าหากวันหนึ่งไม่ได้มีแล้วล่ะ ถ้าหากวันหนึ่งคนข้างๆหายไป ไม่ว่าจะจากฝีมือของพ่อหรือแม้กระทั่งเขาหนีไปเอง แฟรงค์จะทำยังไง ชีวิตสีเทาทะมึนที่กลายมาสดใสต้องกลับไปมัวหมองอีกอย่างงั้นหรือ แม้ในใจจะกลัวเหลือเกินแต่คิดว่าถึงวันนั้นจริงๆแล้วก็คงจะต้องปล่อยเขาไปหรือเปล่านะ หรือยังไงกันดีเขาเองก็ไม่รู้เลย แต่แฟรงค์คงจะโยนความกังวลที่เริ่มก่อตัวในอกทิ้งไปก่อนและตักตวงความสุขในตอนนี้ไว้ให้มากจะดีกว่ามั้ยนะ
“จักรยานคันนี้ของคุณใช่มั้ยครับ” เดวิดยิงคำถามทันทีโดยไม่รอช้า ปากกากับสมุดในมือนั่นดูแก่เรียนเล็กน้อย ทว่าแววตาจริงจังที่ชัดเจนนั้นบ่งบอกได้ทันทีว่าเขากำลังเข้าสู่โหมดปฏิบัติงานอย่างเต็มตัว
“ก็ใช่น่ะสิ” ชายแก่ตอบอย่างเต็มคำ เจย์ลีนทำท่าจะท้วงทันที หากแต่นายตำรวจหนุ่มอีกคนกระแอมไอขึ้นมา เจย์ลีนหันมองเขาอย่างหัวเสียเล็กน้อยแต่ก็ยอมสงบปากสงบคำและปล่อยให้มันเป็หน้าที่ของเดวิดแต่โดยดี
“คุณซื้อมือสองมาใช่มั้ยครับ” คำถามเมื่อครู่ทำเอาชายแก่ตาเบิกกว้าง เขาดูลุกลี้ลุกลนและไม่ตอบออกมาทันทีเหมือนคำถามที่แล้ว เดวิดจับอาการก็พอรู้ได้ทันทีว่าคนตรงหน้าโกหก แม้แต่คนอ่อนประสบการณ์อย่างเจย์ลีนก็ดูรู้ได้ไม่ยาก
“คุณ คุณรู้ได้ยังไง”
“มันดูไม่ได้ใหม่ขนาดนั้น”
“ผมซื้อมานานแล้ว”
“คุณซื้อมาจากที่ไหนหรอครับ” เดวิดยิงคำถามอย่างไม่สนใจข้อแก้ตัวของอีกคน ท่าทางตาแก่นี่จนมุมเดวิดเข้าอย่างจัง เจย์ลีนนึกหงุดหงิดเล็กน้อยที่ถามออกไปโต้งๆขนาดนี้แล้วยังทำท่าจะตุกติกและปิดบังอีก
“กรุณาตอบตามความจริงและให้ความร่วมมือกับเ้าหน้าที่ด้วยนะครับ ผมว่ามันคงจะดีกว่าต้องมาเสียเวลาไล่ถามแบบนี้ คุณว่ามั้ย” วาทศิลป์ที่หลอกล่อนั่นได้ผล ชายแก่พ่นลมหายใจออกมาอย่างหมดทางสู้ ก่อนจะเอ่ยปากบอกตามตรง
“ผมซื้อจากร้านมือสองแถวบ้านครับ” ชายแก่ตอบเพียงสั้นๆ
ให้หลังมาประมาณสิบห้านาทีมัสแตงคันเก่าก็จอดหน้าบ้านหลังหนึ่งไม่ห่างจากที่ยืนคุยกันเมื่อครู่เท่าไหร่นัก ชายแก่หอบถุงกระดาษลงไป ก่อนจะลับหายเข้าไปในบ้านของตัวเอง เดวิดจอดนิ่งอยู่ครู่หนึ่งเพื่อสังเกตบ้านหลังขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ทาสีขาวครีมตรงหน้าของทรอย ใช่ เขาชื่อทรอย และจักรยานที่ทรอยว่าซื้อมาก็ถูกจอดไว้ที่หน้าร้านขนมที่เดิม แต่เดวิดโทรหาแมททิวให้มาเอาไปเก็บที่สถานีเรียบร้อย ถือว่าขึ้นตรงเป็ของกลาง เลยทำให้ต้องมาส่งทรอยที่บ้านแบบนี้
“คุณว่าเขาพูดจริงมั้ย” เจย์ลีนเอ่ยถามระหว่างทางกลับไปสถานี
“เดี๋ยวก็ได้รู้พรุ่งนี้นั่นแหละ” เดวิดว่า ตามข้อมูลที่ทรอยให้มานั้นไม่น่ายากเย็นเท่าไหร่ ทรอยบรรยายร้านขายของมือสองแถวบ้านอย่างละเอียดว่าอยู่ตรงไหน พรุ่งนี้เขาคงต้องไปที่นั่นกับเจย์ลีน วันนี้คงต้องหยุดไว้แค่นี้ก่อนเพราะเหนื่อยกันทั้งคู่
หันไปอีกทีคนที่เอ่ยถามเมื่อครู่ก็หลับไปเสียแล้ว เดวิดยิ้มมุมปาก คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าต้องยกให้เป็ความดีความชอบของเจย์ลีนล้วนๆ ถ้าไม่ตาดีสังเกตเห็นก็คงจะไม่ได้เจอเบาะแสที่น่าพอใจแบบนี้ ถึงแม้จะผลีผลามตัดสินใจอะไรแบบเด็กๆไปเสียหน่อยในบางครั้ง ไม่รู้สิ บางทีมีมาร่วมทีมก็อาจจะเบาแรงเดวิดได้มั้ง หรือไม่ก็อาจจะเพิ่มแรงจนต้องเหน็ดเหนื่อยกว่าเดิมหลายเท่าในบางคราก็เถอะ
มือหนากำช่อดอกคัตเตอร์สีขาวในมือแน่น ก้าวขาเดินไปตามทางที่โรยด้วยกรวดก้อนเล็ก เพียงครู่ก็ถึงที่ที่คุ้นเคยถึงแม้ไม่ได้มาเยือนนานพอสมควรแล้วก็ตาม มันทรุดตัวนั่งลงหน้าป้ายหินที่ผุพังเล็กน้อย มือเอื้อมลูบที่รอยแกะสลักบนนั้นเบาๆ ก่อนจะวางช่อดอกไม้หน้าหลุมศพอย่างช้าๆ
เบียทริซ สมิธ
ร่างสูงนั่งหน้าหลุมศพท่ามกลางลมพัดเอื่อย ไร้ผู้คนโดยรอบอย่างไม่ต้องเดา ที่ว่างแห่งนี้มันออกจะรกร้างและห่างไกลจากในเมืองอยู่มากโข สุสานที่เต็มไปด้วยหลุมศพอันเก่าแก่ มีแต่คนฐานะยากจนเท่านั้นที่รู้กันดีว่าต้องมาฝังที่นี่ บางหลุมก็ถูกหญ้าสูงปกคลุม ตะไคร่เกาะเต็มแผ่นป้ายเพราะไร้การดูแล คงจะมีแต่เบียทริซเท่านั้นที่หลุมศพดูได้รับการใส่ใจมากกว่าคนอื่น
ถ้อยคำต่างๆที่แสนจะอัดอั้นในใจพรั่งพรูออกมาพร้อมกับหยดน้ำตาหลากหลายหน่วย มันนั่งพูดกับเบียทริซไปเรื่อยราวกับว่าหล่อนยังมีชีวิตอยู่และนั่งข้างๆมันในตอนนี้ ความอ้างว้างกัดกินดวงใจั้แ่วันที่หล่อนจากไป มันยากลำบากและยังคงคิดถึงทุกคืน กระทั่งรู้สึกว่าความอ่อนแอถูกปลิดทิ้งไปจนหมด มันจึงลุกขึ้นยืนและรีบเดินออกมาทันทีโดยไม่หันไปมอง
จุดหมายต่อไปคงจะใช้เวลาสักพัก หลังมือหยาบปาดคราบน้ำตาออกจากใบหน้า บุโรทั่งครางหึ่งจนถึงที่ที่หนึ่งไม่ห่างจากกลางเมืองเท่าไหร่ มันดับเครื่องเพื่อยุติควันขาวเทา ก่อนจะก้าวลงจากรถและเดินเข้าไปในตึกสองชั้นที่เงียบเชียบ
หยุดยืนที่เคาท์เตอร์ยาวไม่ห่างจากประตู หญิงแก่หลังเคาท์เตอร์ยิ้มให้น้อยๆ มันเอ่ยปากถามถึงสิ่งที่้า หล่อนนึกอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยตอบ มันพยักหน้าขอบคุณ หายลับเข้าไปข้างในตามทางที่หล่อนบอก
รอบตัวเต็มไปด้วยชั้นหนังสือสูงกว่ามันเล็กน้อย ห้องสมุดประจำเมืองคือที่ที่มันเหยียบอยู่ในขณะนี้ กวาดสายตามองหาชั้นหนังสือที่้าตามที่หล่อนบอก ไม่นานนักก็พบเข้าจนได้ มันหยุดอยู่ที่หน้าหมวดหนึ่ง ไล่สายตาอย่างช้าๆเพื่อให้หาเจอ หรือเล่มไหนก็ได้ที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่มัน้า นิ้วไล่ไปตามสันหนังสือกระทั่งพบเข้ากับเล่มที่เหมือนจะเข้าเค้า
หยิบออกมาและพลิกอ่านปกหลัง ยิ้มมุมปากทันทีที่พบเข้า ถือหนังสือเล่มไม่หนาไม่บางกลับมายังโซนนั่งอ่าน เลือกเก้าอี้ที่ห่างไกลจากผู้คน แต่ก็มิวายถูกเด็กหนุ่มคนหนึ่งจ้องมองด้วยความสงสัย คงจะแปลกใจที่คนภายนอกพิลึกแบบมันอยู่ในที่แห่งนี้ มันรู้ดีว่าเด็กนั่นมอง แต่ไม่ได้สนใจอะไรไปมากกว่าสิ่งตรงหน้า
ความเงียบเชียบของห้องสมุดคงจะเหมาะกับการให้ขบคิดยามมีเื่รบกวนในหัวมากมาย และบางทีความหนาวเหน็บในตอนนี้ก็ทำให้มันรู้สึกว่าเสียวสันหลังวาบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เปิดอ่านทีละหน้าอย่างตั้งใจ ไล่สายตาทีละคำพร้อมกับประมวลผลในหัวไปด้วย ดูท่ากว่าจะอ่านจบก็คงจะย่ำค่ำและฟ้ามืดอย่างแน่นอน อันที่จริงในชีวิตไม่เคยจะเสียเวลากับการทำอะไรแบบนี้มาก่อน แต่ดูเหมือนในตอนนี้มันจะจำเป็กับตัวเขาเสียเหลือเกิน
ยกนิ้วขึ้นมานวดขมับยามมันปวดหนึบ บิดี้เีเล็กน้อยจนกระดูกกระเดี้ยวลั่นกรอบแกรบ อายุอานามก็ไม่ใช่ว่าจะน้อยแล้ว คงเป็ธรรมดาที่จะปวดเมื่อยกันบ้าง แต่แปลกที่เวลาล่าสัตว์ในป่า เดินร่วมสิบกิโลไม่ยักกับปวดอะไร แต่พอมานั่งอยู่เฉยๆแบบนี้ดันไม่ชอบขึ้นมาเอาเสียดื้อๆ คงจะเหมาะแล้วมั้งที่เลือกทางเดินชีวิตเช่นนี้
ข้อข้องใจที่ทับถมกันในหัวเริ่มไขออกทีละน้อย กุญแจแต่ละดอกที่ได้มาจากการอ่านนั้นมันทำให้เขาเข้าใจอะไรมากขึ้นอย่างช้าๆ ทว่าบางครั้งความจริงมันก็ทำเอาใจสั่นอย่างบอกไม่ถูก ไม่อยากจะยอมรับมัน หากแต่หลบเลี่ยงมันไม่พ้นเช่นเดียวกัน บางวรรคในหนังสือก็ทำให้ต้องหยุดอ่านมาขบคิด มันช่างยากเย็นในการจะตัดสินใจ เพราะบางอย่างมันเหนี่ยวรั้งเอาไว้ สายสัมพันธ์บางครั้งก็ยากที่จะสะบั้นให้ขาด
สุดท้ายก็พลิกจนถึงหน้าสุดท้ายของเล่ม เงยหน้ามองหน้าต่างก็พบว่ามืดสนิทจริงดังที่คาด คนรอบตัวจากที่มีพอให้เห็นก็เหลือเพียงคนสองคน ความเงียบก่อตัวหนักกว่าเก่าคล้ายสุญญากาศ มันปิดหนังสือเล่มนั้นลง อ่านจนจบแล้วก็จริงแต่ยังคงนั่งนิ่งเหม่อมองไปข้างหน้าต่อ
อยู่ดีๆของเหลวหนึ่งหยดก็ไหลอาบแก้มตอบ เพียงหนึ่งหยดเท่านั้นจริงๆ มันส่ายหัวไล่ความคิดที่ก่อตัวเนืองแน่นในหัวออก ก่อนจะลุกยืนเดินไปเก็บหนังสือเล่มนั้นเข้าที่เดิม ก้าวขาอย่างเชื่องช้าเพื่อกลับออกไปยังประตูหน้า บรรณารักษ์ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม หล่อนยิ้มและพยักหน้าให้เมื่อเห็นมันเดินกลับมา มันยิ้มและพยักหน้าตอบ ไม่นานบุโรทั่งคันเก่าก็ส่งเสียงดังลั่นพร้อมทิ้งควันขาวเทาไว้กระทั่งลับหายไป
แม้ข้างทางมืดมิดหากแต่ความคิดยังคงสว่างวาบ มันจอดรถในที่เดิมสำหรับทิ้งซากรถ ร่างสูงยังไม่ขยับเขยื้อนเข้าไปในป่าเพื่อกลับกระท่อม มันนั่งลงบนตอไม้ขนาดใหญ่ไม่ไกลกับรถตัวเอง รอบตัวไร้แสงไฟใดๆยกเว้นเสียแต่แสงไฟสีส้มจากปลายมวนบุหรี่ยี่ห้อโปรด มันพ่นควันออกมาจากปาก แม้ที่จริงอยากจะให้ความคิดในหัวมันออกมาแทนควันพิษนั่นเสียมากกว่าแต่คงทำไม่ได้
มันกำลังหนักใจอะไรบางอย่าง ไม่สิ หลายอย่างจนเกินจะรับไหว ราวกับว่าในตอนนี้ทุกอย่างมันเหนือการควบคุมเรียบร้อย ไม่มีสิ่งใดใต้อาณัติของมันจะสงบสุขอีกแล้ว อิสรภาพที่ลิดรอนมาไม่อาจจะปกป้องความบริสุทธิ์ของใครบางคนได้อีกต่อไป ถ้าแล้วอย่างนั้นเขาเองเป็คนผิดหรือ หรือใครกันแน่ที่ผิด มันจะใครกันถ้าไม่ใช่เขา เมล็ดพันธุ์ที่เน่าเฟะมันเกิดจากคนปลูกหรือเปล่านะ
ลมพัดเอื่อยคงทำหน้าที่ปลอบประโลมเขาอยู่ ถึงแม้จะเย็นชื่นใจเพียงใดคงไม่อาจกลบความกังวลที่สุมหนักในตัวเขาได้เลย และไม่รู้ว่าเขาควรจะทำยังไง เขาควรจะปล่อยให้มันกลายเป็แบบนี้โดยสมบูรณ์แบบ หรือมันจะยังพอมีทางหักห้ามได้อยู่ เพราะถ้ามันเป็จริงดังที่หนังสือเล่มนั้นว่าไว้ มันบอกว่าเราทุกคนต่างมีปีศาจร้ายซุกซ่อนอยู่ในตัวเอง มันจริงมั้ยนะ เรามีมันั้แ่เกิด หรือมันถูกใครบางคนสร้างให้กันแน่ เขาเองก็ไม่รู้เลย