นอกโถง น้ำพุยังคงไหลริน
ในโถง ชาร้อนในถ้วยยังคงส่งไอร้อน
หลิวจื่อที่สวมชุดแดงตลอดร่าง แม้มีใจอยากจะเอ่ยปากถามไถ่ ทว่านั่งอยู่ตรงนี้ ต่อให้จะรู้สึกไม่พอใจเพียงใด แต่จะให้นางเอ่ยปากอย่างไรเล่า
ชุดแดงทั้งร่างที่นางสวมมากลายเป็เพียงแผนการเล็กๆ น้อยๆ
เพราะบุตรสาวคนนี้ของนางยามที่เดินเข้ามาแล้ว ก็ไม่แม้แต่จะหันมองนางสักครา
หลัวไป่ซิ่นเสียอาการเล็กน้อย
“หลัวอู๋เลี่ยง คำว่าอู๋เลี่ยงนี่ดีจริงๆ ชิงเฉิง ในปีนั้นพ่อ…”
อู๋เลี่ยงยกมือขึ้นคราหนึ่งเพื่อหยุดคนตรงหน้าไม่ให้กล่าวสิ่งใดอีก
บุรุษตรงหน้าคนนี้คือบิดาของนาง...ท่านพ่อแท้ๆ ของนาง
นางเคยจินตนาการถึงวันที่จะได้พบกันอีกครั้งจนนับครั้งไม่ถ้วน
นางคิดว่านางคงจะพุ่งเข้าใส่อ้อมกอดของท่านพ่อแล้วร่ำไห้จนสุดแรง
อีกทั้งนางยังเฝ้าระลึกถึงหน้าตาของท่านพ่อนับครั้งไม่ถ้วน รอยยิ้มของท่านพ่อ แล้วยามท่านโกรธจะเป็เช่นไร
จากความคะนึงหาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็ความระลึกถึง ก่อนที่ภาพเ่าั้จะค่อยๆ เลือนราง
“ไม่ทราบว่าใต้เท้าหลัวมาครานี้มีเื่อันใดหรือไม่” ท่าทางสง่างามของหลัวอู๋เลี่ยงค่อยๆ นั่งลงแล้วเอ่ยถาม
ยามนี้หลัวไป่ซิ่นโมโหจนแทบจะเป็ลม เสียงของบุตรสาวของตนที่เรียกตนว่าใต้เท้าหลัวทำให้เขารู้สึกราวกับว่านางกำลังถากถางเขาอยู่
ส่วนหลิวจื่อรู้สึกไม่ค่อยจะพอใจนักที่นางถูกเมินเฉยเช่นนี้ ทั้งยังใกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของหลัวชิงเฉิง
นางคิดว่านางจะได้พบกับสตรีกร้านโลกสักคนหนึ่ง ถึงอย่างไรผู้คนก็ร่ำลือกันว่าสตรีผู้เป็เ้าของโรงทอผ้าเป็หญิงม่ายคนหนึ่ง แม่ม่ายเช่นนี้สามารถมีชีวิตรอดในทุ่งหญ้ารกร้างได้ ทั้งยังสามารถทำการค้าใหญ่โตเช่นนี้ได้ควรจะมีสภาพอย่างไร แค่คิดก็พอจะเดาได้
ย่อมจะต้องใจดำโหดร้ายกร้านโลก ใบหน้าจะต้องเต็มไปด้วยร่องรอยความตรอมตรม ทั้งนิสัยก็คงจะหยาบกระด้าง
ทว่ากลับไม่เป็เช่นนั้น
บุตรสาวคนนี้ของนางกลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย
ไม่เพียงแต่บนใบหน้าจะไม่มีร่องรอยแห่งความตรอมตรม กระทั่งท่าทางใจดำก็ยังไม่มี หรือแม้แต่ริ้วรอยตรงหางตาก็ยังหาไม่พบ
พวงแก้มทั้งสองยังคงอิ่มเอิบ เป็ลักษณะของคนที่ไม่ค่อยมีโทสะ
คนที่มีโทสะบ่อย ริ้วรอยตรงมุมปากจะลึก นานวันก็ยากจะลบเลือน
ดังนั้นฮูหยินในตระกูลใหญ่จึงมักจะทำให้คนรู้สึกว่าเคร่งขรึมดุดันจนไม่น่าเข้าใกล้ เพราะมุมปากทั้งสองข้างมีร่องลึกเช่นนี้
หลิวจื่อไม่ทันจะรู้ตัวก็เริ่มมีแล้วเช่นกัน
เมื่อก่อนเคยหน้าตาพริ้มเพรา ยามนี้จึงดูแล้วโหดร้ายเล็กน้อย ดูแล้วไม่นับว่างามดังเดิม
นางเองก็ไม่คิดเช่นนั้น
ทว่าบุตรสาวผู้น่าสงสารของนาง สตรีในวัยสาวสะพรั่งที่สุด ยามนี้กลับมีร่องรอยทั้งสองข้างแล้วเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าชีวิตในวังหลวงของนางคงจะไม่ง่ายดายนัก
เมื่อเทียบกับหลัวชิงเฉิงตรงหน้าคนนี้แล้ว
มือของหลิวจื่อใต้ชายเสื้อแขนกว้างของนางกำแน่น ดวงตาแทบจะปกปิดแววรังเกียจไว้ไม่อยู่
ไฉนนางจึงยังเป็เช่นนี้ นางหญิงชั่วนี่ราวกับปีศาจก็ไม่ปาน
หญิงม่ายคนหนึ่ง บนใบหน้าไร้แววระทมเคียดแค้น นางยังดูราวกับแม่นางน้อยคนหนึ่ง
สิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปคือความงามที่เพิ่มขึ้นของนาง
ทั้งยังดูเป็ความงามแบบที่แฝงไปด้วยความโอบอ้อมอารี
แววตาก็แฝงไปด้วยความเย้ายวน กระทั่งสตรีด้วยกันยังเห็นแล้วอดใจเต้นแรงไม่ได้
หลิวจื่อมองหลัวชิงเฉิงที่นั่งอยู่ตรงหน้านาง แล้วคิดถึงเื่ในปีนั้น นางก็ยิ่งมั่นใจ
สตรีตรงหน้านางนี้จะต้องเป็ปีศาจอย่างแน่นอน จะเป็อะไรไปได้นอกจากนางปีศาจ หากว่าตอนนั้นนางไม่ลงมือทำร้ายนางหญิงชั่วตรงหน้า ให้พวกโจรมาฉุดไป หลายปีมานี้มีหรือพวกนางแม่ลูกจะได้สุขสบายเช่นนี้
“ชิงเฉิง เ้าอย่าได้กล่าวโทษท่านพ่อของเ้าไปเลย หลายปีมานี้เขาก็เอาแต่เฝ้าคำนึงถึงเ้าอยู่ทุกเช้าค่ำ หากจะกล่าวโทษก็ขอให้โทษข้าเถิด หากเลือกได้ข้าจะขอเป็คนที่โดนฉุดแทนเ้าเอง”
หลัวอู๋เลี่ยงพิจารณาสตรีตรงหน้าครู่หนึ่ง
ทว่าก็เพียงแค่ครู่เดียว จากนั้นก็ไม่ได้หันไปมองนางอีก
สตรีที่เคยอยากจะทึ้งร่างนางให้แยกออกเป็ส่วนๆ ก็ยังคงเป็เช่นนั้น
นางเคยฆ่าคนมาก่อน เคยผ่านเหตุการณ์การฆ่าล้าง เื่การต่อสู้แย่งชิงกันในเรือนนางก็กระจ่างแจ้งดี
เหตุผลเดียวที่ทำให้นางกลับมาคือเฉินโย่ว
“หากว่าฉุดท่านไป หญิงชราเช่นท่านเกรงว่าคงจะเอาชีวิตไม่รอด” หลัวอู๋เลี่ยงกล่าวขึ้นลอยๆ พร้อมกับยกชาขึ้นจิบ
“เ้า…” หลิวจื่อโดนคำกล่าวของนางตอกเสียจนหน้าหงาย นางคาดไม่ถึงว่าบุตรสาวของนางจะกล้าตอบนางเช่นนี้
ช่างไม่รู้จักกลัวบาปกลัวกรรมเสียจริง
มองใบหน้าของหลิวจื่อที่เต็มไปด้วยโทสะ แต่ไม่กล้าแม้แต่จะแสดงอารมณ์ เพียงไม่นานนางก็รีบกลบเกลื่อนโทสะของตัวเอง หลัวอู๋เลี่ยงก็รู้สึกสะอิดสะเอียนขึ้นมา
นางเพียงแค่เหลือบมองท่านพ่อของนางเท่านั้น จึงได้ยกถ้วยชาตรงหน้าขึ้นอีกคราเป็สัญญาณส่งแขก
สายตาของหลัวอู๋เลี่ยงกวาดมองคนทั้งสอง ท่าทางเปี่ยมไปด้วยมารยาท แม้ว่าจะเป็แค่ท่าทางการส่งแขกก็ตาม แต่ก็ช่างทำให้คนนึกเกลียดนางไม่ลง
นายท่านใหญ่ที่ฆ่าคนเป็ผักปลาในตอนนั้น ก็ยังไม่อาจรับมือกับท่าทางเช่นนี้ของหลัวอู๋เลี่ยงได้
หลัวไป่ซิ่นทั้งโกรธทั้งร้อนใจ ในใจก็เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ปีนั้นยามที่บุตรสาวของเขาโดนฉุดไป เดิมทีเขาก็ควรจะส่งคนไปช่วยนางกลับมา
ทว่าโจรบนทุ่งหญ้าช่างร้ายกาจนัก เื่จะช่วยคนก็ช่างยากเย็นเหลือเกิน
อีกทั้งชิงเฉิงยังมีรูปลักษณ์เช่นนี้
เื่นี้กลายเป็หนามตำใจเขาตลอดมา
ไม่คาดคิดว่าบุตรสาวของตนจะยังมีชีวิตอยู่ ทั้งยังไปได้ดีนัก แต่นางกลับจำบิดาของตนไม่ได้เสียแล้ว
แคว้นเชินให้ความสำคัญเื่ความกตัญญูนัก ยามนี้บุตรสาวแท้ๆ กลับจำเขาไม่ได้แล้ว ในอกจึงสุมไปด้วยไฟจากโทสะ
เขาแทบอยากจะตบโต๊ะแล้วสาปแช่งบุตรสาวของตน
เพียงแต่เมื่อหันมองซ้ายขวาแล้วก็ไม่พบอะไรให้ตบสักอย่าง
เมื่อหันไปเห็นใบหน้าโกรธแค้นของหลิวจื่อที่อยู่ข้างกายเขาก็มีโทสะขึ้นมา
ใบหน้านั้นช่างแตกต่างจากที่เขาจินตนาการไว้มาก หลิวจื่อเป็น้าสาวแท้ๆ ของชิงเฉิง ชิงเฉิงเองก็มีท่าทีสนิทสนมกับนางมาตลอด แล้วเหตุใดนางจึงมีสายตาราวกับคู่อาฆาตต่อบุตรสาวของตนเช่นนี้ได้
“เ้า เ้า…”
หลัวไป่ซิ่นโกรธเสียจนไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไร
ตอนนั้นเองขันทีชราผู้ที่กลายมาเป็ผู้ดูแลเรือนหลังนี้ก็เข้ามาพอดี
“นายหญิง ท่านอาจารย์กัวบอกว่ามีเื่อยากให้นายหญิงชี้แนะขอรับ”
ด้วยเพราะชายชราเป็ถึงขันที กิริยาจึงดูสง่างามต่างจากพ่อบ้านธรรมดาในจวนอื่นๆ
บ่าวรับใช้ของฮ่องเต้ กิริยาเรียกได้ว่าแทบจะงดงามกว่าเหล่าราชวงศ์และชนชั้นสูงเสียด้วยซ้ำ
หลัวไป่ซิ่นที่เดิมทีจะบันดาลโทสะ แต่เมื่อเห็นได้เห็นพ่อบ้านที่มีท่าทีเช่นนี้จึงไม่กล้าะเิอารมณ์ ทั้งยังมีความรู้สึกแปลกๆ ที่พ่อบ้านตรงหน้าทำให้เขาเกิดความรู้สึกอยากจะก้มหัวคารวะขึ้นมา
หลัวอู๋เลี่ยงแม้จะยกชาเป็สัญญาณเช่นนี้
หากว่ากันตามหลักความกตัญญูแล้ว นางก็ไม่รู้เช่นกันว่าควรทำอย่างไร
บนโลกนี้หากบิดามารดา้าให้บุตรไปตาย บุตรก็ต้องตาย
ความกตัญญูสำคัญที่สุด
หลัวอู๋เลี่ยงวางถ้วยชาในมือลง มองท่าทางสง่างามของพ่อบ้านแล้วก็เอ่ยขึ้น “ท่านให้ท่านอาจารย์กัวมาที่นี่แล้วกัน”
ปกติแล้วยามที่คนอื่นๆ จะต้องจัดการธุระ คนปกติย่อมหลีกทางให้หรือขอตัวกลับ
ทว่าหลัวไป่ซิ่นทั้งโกรธทั้งยังคิดว่าตนคือบิดาของชิงเฉิง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ย่อมมีเหตุผลให้อยู่ที่นี่ต่อ
จึงไม่ยอมอ่อนข้อเดินทางกลับ
ส่วนหลิวจื่อกำลังนึกยินดีที่พ่อลูกกระทบกระทั่งกันเช่นนี้ จึงแสร้งทำทีว่าตนก็จนปัญญา ได้แต่นั่งอยู่ที่นี่ต่อเช่นกัน
เมื่อราชครูเข้ามาแล้วเห็นคนนอกก็รู้สึกแปลกใจ
เขาค่อนข้างจะจำหน้าคนไม่ได้ โดยปกติแล้วก็ไม่ได้สนใจคนอื่นนัก จึงไม่ค่อยรู้จักใคร
ทว่าหลัวไป่ซิ่นและหลิวจื่อล้วนเป็ชาวเมืองหลวง จะไม่รู้จักท่านราชครูได้อย่างไร
สีหน้าของทั้งคู่จึงพลันเปลี่ยนไป
หลัวไป่ซิ่นลืมความเกรี้ยวโกรธไปสิ้น รีบคารวะชายชราตรงหน้าทันที
หลิวจื่อก็รีบขึ้นยืน
ครานี้ทั้งสองสามีภรรยาล้วนแต่ก้มศีรษะคารวะของจริง
ราชครูเห็นเช่นนั้นก็อึ้งไปครู่หนึ่ง เขาไม่เคยรู้จักทั้งสองคนตรงหน้ามาก่อน จึงได้แต่ส่ายหน้า “ข้าไม่ใช่ราชครูแล้ว ไม่ต้องมากพิธี”
หลัวไป่ซิ่นไม่กล้าไม่มากพิธี จึงได้แต่ตอบด้วยวาจานอบน้อม “แต่ฝ่าาทรงแต่งตั้งท่านให้เป็ราชครูด้วยพระองค์เอง”
ราชครูได้แต่โบกมือปฏิเสธ “แต่ยามนี้ข้าเป็เพียงอาจารย์ในเรือนของแม่นางหลัวเท่านั้น”
