ที่สำนักเทียนอี้ มีเสียงเอะอะขณะผู้คนเดินขวักไขว่และสนทนากันไม่หยุดหย่อน ดูเหมือนว่ากำลังสนทนาถึงเื่บางอย่างอยู่
“ไม่คิดเลยว่าครั้งนี้ตระกูลต้วนจะส่งกองทัพไปยังเมืองต้วนเริ่น หรือการโจมตีของอาณาจักรโม่เยว่จะรุนแรงมากจนเมืองต้วนเริ่นไม่อาจต้านทานได้?”
ตามทางเดินในสำนักเทียนอี้ มีคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบาพลางถอนหายใจ คนคนนี้เป็หนึ่งในศิษย์ทหาร เขาเลื่อมใสในตัวหลิ่วชั่งหลันมาโดยตลอด แต่ไม่คิดว่าเทพลูกศรจะไม่สามารถหยุดยั้งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้
“น่าจะใช่ ไม่งั้นแต่ละสำนักใหญ่ๆ คงไม่ส่งศิษย์ของตัวเองไปเมืองต้วนเริ่นเพื่อฝึกฝน ซึ่งายังไร้วี่แววว่าจะเกิดขึ้นตอนไหน แต่ขณะนี้ตระกูลต้วนได้รับคำสั่งให้ส่งศิษย์ที่โดดเด่นเพื่อร่วมกับกองทัพที่เมืองต้วนเริ่น”
อีกคนหนึ่งกล่าวตอบ ซึ่งสองคนนี้กำลังรีบเดินไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง
นอกจากนี้ไม่เพียงมีพวกเขาทั้งสอง แต่ยังมีศิษย์จำนวนมากของสำนักเทียนอี้ต่างเดินไปทิศทางเดียวกัน
ขณะนั้นด้านนอกสำนักเทียนอี้ มีคนกลุ่มหนึ่งสวมชุดเกราะสีเงินกำลังขี่ม้าอย่างสง่างาม ซึ่งพวกเขาดูแข็งแกร่งกว่าคนปกติ
เบื้องหน้าคนเ่าั้ มีศิษย์ของสำนักเทียนอี้มากมายก็ขี่ม้าเช่นกัน แม้กระทั่งสัตว์อสูรปีศาจก็มี ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังเตรียมพร้อมที่จะออกเดินทาง
ในขณะนั้นได้มีเสียงควบม้ามาแต่ไกล มีร่างเงาสีขาวปรากฏตัวขึ้นและกำลังมุ่งมาด้วยความรวดเร็ว
เสื้อผ้าสีขาว ม้าสีขาว
“เวิ่นอ้าวเสวี่ย”
เมื่อฝูงชนเห็นใบหน้าที่งดงามราวกับหญิงสาวแล้ว พวกเขาถึงกับต้องประหลาดใจ ครั้งนี้เวิ่นอ้าวเสวี่ยก็ไปด้วยเช่นกัน
“หยุดก่อน”
สิ้นคำสั่งของเขา ม้าขาวก็ค่อยๆ ชะลอความเร็วลง เวิ่นอ้าวเสวี่ยกวาดสายตามองที่ฝูงชนด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็มาถึงค่ายของศิษย์ทหาร เมื่อเหล่าศิษย์ทหารเห็นก็ค่อยๆ หลีกทางให้เขาช้าๆ
หัวหน้ากองทหารเหลือบมองเวิ่นอ้าวเสวี่ยด้วยสายตาเ็า และกล่าวว่า “เวิ่นอ้าวเสวี่ย ทำไมเ้าถึงอยากไปกัน”
“เ้าลั่วยวี่ไปได้ แล้วทำไมข้าจะไปไม่ได้กัน?” เวิ่นอ้าวเสวี่ยกล่าวอย่างเยือกเย็น
ลั่วยวี่พึมพำอย่างขัดใจและไม่สนใจเวิ่นอ้าวเสวี่ยอีก เขาหันไปมองทหารที่สวมชุดเกราะสีเงินแล้วกล่าวว่า “จวนจะได้เวลาแล้ว ออกเดินทางเถอะ”
“ขอรับ” เหล่าทหารต่างพยักหน้าโดยพร้อมเพรียงกัน “เตรียมพร้อมออกเดินทาง”
เมื่อกล่าวจบพวกเขาก็ได้ยินเสียงกีบเท้าม้าดังขึ้น ภายในสำนักเทียนอี้มีกลุ่มม้าเหล็กกำลังมุ่งมาทางนี้และทิ้งฝุ่นตลบไว้ด้านหลัง คนที่อยู่ข้างหน้าเป็ชายหนุ่มผู้หล่อเหลา เขาดูสง่าและทรงพลัง เขากำลังควบม้าด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ เมื่อสังเกตม้าของเขาดีๆ ก็จะเห็นว่ามันเป็ม้าั ซึ่งเป็ม้าที่มีประสิทธิภาพสูงมาก
ทั้งด้านซ้ายและขวาของชายหนุ่มขนาบด้วยหญิงสาวสองคน โดยคนแรกสวมผ้าคลุมปกปิดใบหน้า ทำให้นางดูศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ราวกับนางฟ้า
ส่วนอีกด้านเป็หญิงสาวที่งดงามไม่แพ้กัน ดวงตาของนางมีเสน่ห์สะกดใจผู้คน และนางก็ดูราวกับวีรสตรีที่แข็งแกร่ง
“ช่างโชคดียิ่งนัก” หลายคนได้เห็นฉากนี้แล้วต่างต้องอิจฉา การที่มีหญิงสาวทั้งสองขนาบข้างเช่นนี้นับว่าโชคดียิ่ง
หลังจากที่ทราบว่าชายหนุ่มผู้อยู่บนหลังม้าัคือหลินเฟิง หลายคนก็รู้สึกประหลาดใจ
ตอนนี้ชื่อเสียงของหลินเฟิงโด่งดังมากในสำนักเทียนอี้ การที่เขาปรากฏตัวในเวลานี้ นับเป็เื่ที่น่าทึ่งมาก
หลินเฟิงก็จะไปสนามรบที่เมืองต้วนเริ่นเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีหญิงสาวผู้งดงามสองคนได้ติดตามเขามาด้วย
“เ้ามาแล้ว” เวิ่นอ้าวเสวี่ยทักทายหลินเฟิงยิ้มๆ
หลินเฟิงพยักหน้าให้เวิ่นอ้าวเสวี่ย แน่นอนว่าเขาก็ต้องไปด้วย
ในขณะนั้นลั่วยวี่ที่เป็ถึงทหารสายขุนนางได้หันไปมองหลินเฟิง และกล่าวอย่างแ่เบาว่า “หลินเฟิง!”
หลินเฟิงมองลั่วยวี่ด้วยสีหน้าสงสัย เพราะหลินเฟิงไม่รู้จักคนคนนี้
“มีอะไรหรือ?” หลินเฟิงกล่าวถาม
“ไม่มี” ลั่วยวี่ส่ายหัว “ที่สามารถชนะเฮยม่อได้ก็แค่โชคช่วย หวังว่าในสนามรบ เ้าจะโชคดีเช่นนั้น เพราะที่นั่นไม่ใช่ที่ที่จะมาวิ่งเล่นได้”
เมื่อกล่าวจบ ลั่วยวี่ก็หันกลับไปและไม่มองหลินเฟิงอีก เขาเริ่มเคลื่อนพลจากไป
“โชคดี?”
หลินเฟิงประหลาดใจในคำพูดของเขา เขาเอาชนะเฮยม่อได้เพราะโชคดี?
หลินเฟิงหัวเราะออกมาและะโไปที่ลั่วยวี่ว่า “เ้าก็เหมือนกัน อย่าหนีกลับไปก่อนล่ะ”
เมื่อลั่วยวี่ได้ยินคำพูดของหลินเฟิง เขาจึงหยุดม้าทันที และปลดปล่อยลมปราณที่เยือกเย็นออกมา จากนั้นก็พุ่งไปหาหลินเฟิง
ในเวลาเดียวกัน เขาหันหน้าและควบม้าไปหาหลินเฟิงด้วยความเร็วเต็มพิกัด ขณะที่เขาปล่อยหมัดตรงไปที่หลินเฟิง หมัดนั้นได้ส่งกลิ่นอายออกมาสายหนึ่งแหวกว่ายอยู่ในอากาศ
“ตูม!!!” เกิดเสียงทึบทึมขึ้นจนทำให้ม้าของหลินเฟิงส่งเสียงร้อง หลินเฟิงะโขึ้นไปในอากาศก่อนที่เขาจะลงมาบนพื้น ที่มุมปากของเขามีเืไหลออกมา
จากนั้นลั่วยวี่ได้เหยียบบนหลังม้าัอย่างแรง จนเขาต้องตกลงจากหลังม้า แต่ลั่วยวี่กลับยันไว้ได้ แล้วกลับไปบนหลังม้าอีกครั้ง
ั้แ่ที่หลินเฟิงกล่าวจบ ลั่วยวี่ก็พลันโจมตีอย่างเหี้ยมโหด แม้จะเป็เวลาสั้นๆ แต่พลังโจมตีเพียงครั้งเดียวของลั่วยวี่นั้นช่างสมบูรณ์แบบ
ขณะมองไปที่หลินเฟิง ลั่วยวี่ก็ยิ้มเยาะพลางกล่าวอย่างเ็าว่า “เ้าคิดว่าข้าเป็เหมือนเฮยม่อหรือ ที่จะทำตัวอวดดีเช่นนี้ใส่ข้าได้ง่ายๆ”
ผู้คนต่างแข็งทื่อขณะมองไปที่ลั่วยวี่ เขาช่างหยิ่งผยองและร้ายกาจอย่างยิ่ง
แม้หลินเฟิงจะมากไปด้วยพร์ แม้กระทั่งเฮยม่อก็สามารถเอาชนะมาได้ แต่ระหว่างเขากับลั่วยวี่นั้นมันยังแตกต่างกันเกินไป
ลั่วยวี่เป็ศิษย์อันดับ 7 ของสำนักเทียนอี้ เขาและเฮยม่อแตกต่างกัน ลั่วยวี่จึงไม่จำเป็ต้องใช้ทักษะพิเศษใดๆ เพราะเขาอยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 7
ฝูงชนเห็นหลินเฟิงเช็ดเืที่มุมปากขณะยืนอยู่ตรงนั้น ทันใดนั้นพลันเกิดประกายแสงขึ้นรอบตัวเขา ในมือของเขามีดาบเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นมา มันเปล่งประกายสีเงินดูคมปลาบราวกับมีชีวิต
เจตจำนงการต่อสู้ที่ปะทุออกมาจากร่างของหลินเฟิง มันช่างหนาวเหน็บและทรงพลังมาก คล้ายว่าไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด
นอกจากเจตจำนงการต่อสู้ที่ร้ายกาจนั้น ยังมีคลื่นดาบที่แหลมคม
“หืม?” ฝูงชนต่างตกตะลึงขณะมองหลินเฟิงด้วยสีหน้าซับซ้อน เพราะสายตาที่หลินเฟิงมองลั่วยวี่ในขณะนี้เปลี่ยนไปจากครั้งแรกโดยสิ้นเชิง
ลั่วยวี่ขมวดคิ้วขณะจ้องหลินเฟิงกลับอย่างประหลาดใจ
เมื่อเห็นหลินเฟิงกำลังก้าวเดินช้าๆ เพียงชั่วพริบตาเจตจำนงการต่อสู้และเจตจำนงดาบที่ปะทุออกมาก็ได้พุ่งตรงไปหาลั่วยวี่
ในขณะนั้นได้มีเสียงร้องบาดหูดังออกมา เมื่อม้าที่ลั่วยวี่นั่งอยู่กลับรู้สึกได้ถึงพลังอำนาจที่น่าหวาดกลัวมันจึงหมอบลงกับพื้นทันที จึงทำให้ลั่วยวี่ตกจากหลังม้ากะทันหัน
“เ้าม้าขี้ขลาด” ลั่วยวี่ะโอย่างเ็าและเตะไปที่จุดตายครั้งหนึ่ง จนมันชักกระตุกอยู่สองถึงสามทีแล้วไม่เคลื่อนไหวอีกต่อไป
หลังจากนั้น ลั่วยวี่ก็เงยหน้ามองไปที่หลินเฟิงด้วยแววตาเยือกเย็น
หลินเฟิงเดินไปหาลั่วยวี่ที่อยู่ไม่ไกลโดยไร้ซึ่งคำพูดใดๆ เขาค่อยๆ ยกดาบในมือขึ้น
เจตจำนงการต่อสู้ เจตจำนงดาบ เจตจำนงการทำลายล้างที่ทรงพลังได้แผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ทำให้ผู้คนต่างสั่นเทา
ความแข็งแกร่งของหลินเฟิงดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม เมื่อเทียบกับเมื่อครั้งที่ต่อสู้กับเฮยม่อ หลินเฟิงในวันนี้ทรงพลังมากกว่าในวันวานอย่างเทียบไม่ติด
ดาบนั้นยังไม่ได้พุ่งออกไป แต่เจตจำนงดาบกลับทำให้หัวใจของพวกเขาต่างสั่นระรัว ทุกการกระทำของหลินเฟิงราวกับส่งผลกระทบไปถึงจิตใจพวกเขา
“ตาย!”
หลินเฟิงเอ่ยออกมาหนึ่งคำ จากนั้นเขาก็เงื้อดาบฟันออกไป แม้ดูเหมือนดาบนี้จะเคลื่อนไหวช้า ทว่าในชั่วพริบตามันก็มาถึงร่างของลั่วยวี่แล้ว
สีหน้าของลั่วยวี่ดูเคร่งเครียดขึ้น เขาแผ่กลิ่นอายที่น่าหวาดกลัวออกจากร่าง ทันทีที่เห็นดาบของหลินเฟิงกำลังประชิดเข้ามา ลั่วยวี่รีบยกมือออกไปพร้อมด้วยแสงสว่างปรากฏขึ้น ซึ่งเป็พลังที่น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก
“แคร๊ก!”
มีเสียงหนึ่งดังขึ้น จากนั้นแสงสีขาวได้จางหายไป แต่ดาบทำลายล้างและดาบสีเงินยังคงเคลื่อไหวอยู่
ท้ายที่สุดสีหน้าของลั่วยวี่ก็เปลี่ยนไปกลายเป็ใ เขายกฝ่ามือขึ้นป้องกันขณะที่ฝีเท้าก็ค่อยๆ ถอยร่นไปเรื่อยๆ ดาบของหลินเฟิงได้เฉือนโดนใบหน้าของเขา ทิ้งรอยแผลพร้อมเืไว้รอยหนึ่ง ่เวลานั้นลั่วยวี่รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของความตายที่กำลังคืบคลานเข้ามา เพียงดาบเดียวก็เกือบจะตัดเขาออกเป็สองส่วน
อย่างไรก็ตามลั่วยวี่ก็ยังไม่มีเวลาให้หยุดพักหายใจ ในสายตาเห็นเพียงเงาวูบวาบพร้อมดาบทำลายล้างที่ฟันลงมาอย่างไม่ลังเล ดาบเล่มนี้ทั้งเยือกเย็นและเหี้ยมโหด สายตาของหลินเฟิงทำให้ลั่วยวี่ถึงกับหวาดกลัว เพราะสายตาคู่นั้นมันช่างเย็นเยือกอย่างมาก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้