บทที่ 43 รู้สึกเจ็บหน้าเล็กน้อย
เมื่อตัดสินใจจะแยกบ้านกันแล้ว และเมื่อวานก็มีเื่มีราวกันไปถึงขนาดนั้น แน่นอนว่าลู่ซืออวี่คงไม่มีทางกลับไปอยู่ร่วมห้องกับลู่หลิงซานได้อีก
ใครจะรู้ว่าลู่หลิงซานจะฉวยโอกาสตอนที่ลู่ซืออวี่หลับแล้วหาทางแก้แค้นอีกไหม?
ตอนที่สวี่จือจือเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น เคยมีเพื่อนร่วมชั้นผู้หญิงคนหนึ่งที่มีพี่สาวหลายคน ตอนกลางวันอีกฝ่ายถูกกลั่นแกล้ง พอตกกลางคืนเมื่อพี่สาวหลับหมดแล้ว อีกฝ่ายก็จะหาทางแก้แค้นด้วยการตบหน้าพี่สาว
แต่ห้องในบ้านก็มีอยู่แค่นี้ คุณนายลู่เสนอว่าจะให้ลู่ซืออวี่มานอนด้วยกัน กลับถูกสวี่จือจือห้ามไว้
หญิงชราอายุมากแล้ว ปกติก็หลับยากอยู่แล้ว ถ้ามีคนมานอนด้วยก็คงจะรบกวนการนอน อีกอย่างตอนนี้ลู่ซืออวี่ก็เป็สาวแล้ว ควรจะมีพื้นที่ส่วนตัวเป็ของตัวเองได้แล้ว
ห้องข้างๆ ห้องของลู่จิ่งซาน เมื่อก่อนเคยเป็ของลู่ซือหยวน แต่หลังจากที่อีกฝ่ายแต่งงานออกไปแล้ว ห้องนั้นก็ถูกใช้เป็ที่เก็บของของบ้านตระกูลลู่ พอเก็บกวาดทำความสะอาดก็พอจะพักอาศัยได้
ลู่จิ่งซานไม่รู้ไปหาปูนขาวมาจากไหน เอามาทาผนังห้องใหม่ทั้งหมด ข้างในไม่มีเตียงเตา มีแค่เตียงไม้กระดานปูทับด้วยฟางข้าวหนาๆ และผ้ารองนอน ข้างหน้าต่างมีโต๊ะไม้เก่าๆ วางอยู่ สีแดงบนโต๊ะลอกออกไปเกือบหมด ตอนแรกตั้งใจจะเอาสีมาทาใหม่ กลับถูกสวี่จือจือห้ามไว้
สีในยุคนี้มีกลิ่นฉุนมาก สูดดมเข้าไปก็ไม่ดีต่อร่างกาย สู้เอาผ้าปูโต๊ะไปซื้อมาปูทับดีกว่า รับรองว่าสวยกว่าทาสีแน่นอน
ลู่ซืออวี่รู้สึกเสียดาย การเอาผ้าปูโต๊ะมาปูทับแบบนี้มันสิ้นเปลืองเกินไป “พี่สะใภ้ ฉันเอาหนังสือพิมพ์มาแปะก็พอแล้วค่ะ”
“แบบนั้นไม่ได้หรอก” สวี่จือจือพูดพลางหัวเราะ “นี่เป็ห้องแรกที่เป็ของเธอเอง ต้องจัดให้ดีที่สุดสิ” มันก็ต้องมีพิธีรีตองกันบ้าง แต่ก็ไม่ได้ซื้อของดีราคาแพงอะไรมากมาย ซื้อแค่ผ้าปูโต๊ะพลาสติกลายตารางสีเหลืองบางๆ ราคาสองเหมา
จริงๆ แล้วสวี่จือจือชอบผ้าราคาแพงกว่า แต่เด็กน้อยยืนยันเสียงแข็ง เธอเลยไม่อยากจะพูดอะไรมาก นอกจากนี้ก็ซื้อเสื้อผ้าให้อีกชุด ชุดกระโปรงที่สวี่จือจือเคยเห็นก่อนหน้านี้ก็ยังอยู่ที่ร้าน แต่ก็คิดๆ ดูแล้วราคามันก็แพงไปหน่อย แถมแบบนั้นก็เหมาะกับคนผิวขาวอย่างเธอใส่เท่านั้น คนอื่นใส่ก็คงจะดูเชย
หลังจากซื้อเสื้อผ้าแล้วก็ไปซื้อผ้าอีกเล็กน้อย จากนั้นลู่จิ่งซานก็พาพวกเธอสองคนไปกินข้าวที่ร้านอาหารของรัฐบาล
“ฉันไม่หิว” ลู่ซืออวี่ส่ายหน้า “เดี๋ยวกลับบ้านแล้วหิวค่อยกินก็ได้ค่ะ”
พอแยกบ้านออกมาแล้วเธอก็รู้สึกดีใจ แต่ก็รู้ว่าพี่ชายกับพี่สะใภ้ไม่ได้สบายนัก แล้วยังต้องเลี้ยงดูเธออีก แถมในอนาคตถ้ามีเด็กกเล็กๆ ก็คงต้องใช้เงินอีกเยอะ
สวี่จือจือไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ในหัว ก็หัวเราะออกมา “จากกินข้าวเช้าถึงตอนนี้ก็หลายชั่วโมงแล้วนะ ฉันหิวจนท้องกิ่วหมดแล้ว เธอยังไม่หิวอีกเหรอ?”
“รีบกินเถอะ”
“นานๆ ทีพี่ชายเธอจะเลี้ยงพวกเราสักที ก็ต้องกินให้เต็มที่หน่อย” สวี่จือจือพูดพลางยิ้ม “เดี๋ยวพอเขาไปกองทัพก็คงหาตัวไม่เจอแล้ว”
ลู่จิ่งซานเหลือบมองเธอ ตอนแรกก็อยากจะพูดว่าเดี๋ยวจะเอาเงินเบี้ยเลี้ยงให้เธอ อยากจะกินอะไรก็ไปกินได้เลย แต่พอคิดถึงคำพูดที่ว่าในอนาคตเธอจะจากไป เขาก็เลยเปลี่ยนเป็เสียง “อืม” หนักๆ แทน
“พวกเธอสั่งอาหารไปก่อนเลย เดี๋ยวฉันมา” ลู่จิ่งซานมองสวี่จือจือแล้วพูดกับเธอ “สั่งเยอะๆ หน่อยนะ ผมอยากกินซี่โครงหมูน้ำแดง คุณอย่าลืมสั่งล่ะ”
มันเป็เมนูที่สวี่จือจือชอบกินเหมือนกัน เธอพยักหน้าอย่างเต็มใจ
ตอนนี้ถึงจะไม่ใช่่เวลาอาหาร แต่ในร้านก็มีคนกินข้าวเยอะมาก กว่าอาหารจะมาเสิร์ฟก็ต้องรอสักพัก
รอไปรอมาก็ยังไม่เห็นลู่จิ่งซานกลับมา แต่ตอนนี้อาหารก็เริ่มมาเสิร์ฟแล้ว
“พี่ชายเขา...” ลู่ซืออวี่ถามเสียงแ่เบา
“ไม่ต้องห่วง” สวี่จือจือยิ้มแล้วส่งตะเกียบให้ “เขาไม่ทิ้งเราไปไหนหรอก”
ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบก็เห็นร่างของลู่จิ่งซานเดินเข้ามา ในมือยังถืออะไรติดมาด้วย
สวี่จือจือหัวเราะออกมา “ฉันบอกแล้วไง”
“พูดอะไร?” ลู่จิ่งซานถามด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไร” สวี่จือจือยิ้มแล้วส่งตะเกียบให้ “กลับมาได้เวลาพอดี”
“ขอบคุณ” ลู่จิ่งซานรับตะเกียบไปอย่างเป็ธรรมชาติ แล้วพูดกับทั้งสองคน “รีบกินข้าวเถอะ”
พูดจบก็คีบซี่โครงหมูให้ลู่ซืออวี่หนึ่งชิ้น คิดๆ ดูแล้วก็คีบให้สวี่จือจืออีกหนึ่งชิ้น
ตะเกียบ เขายังไม่ได้ใช้เลย
อาหารอร่อยขนาดนี้ ลู่ซืออวี่คิดในใจว่าเธอควรกินน้อยๆ หน่อย
แต่ใครจะรู้ว่าอีกสองคนเหมือนจะนัดกันมา คีบอาหารใส่ชามให้เธอสลับไปมา อาหารในชามของเธอล้นออกมาจนเป็ูเา จะคีบกลับก็ไม่เหมาะ ได้แต่ก้มหน้าก้มตากิน
พอกินข้าวเสร็จ ลู่จิ่งซานก็จ่ายเงิน ทั้งสามคนออกมาจากร้านอาหารของรัฐบาล ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนโบกมือเรียกพวกเขาอย่างตื่นเต้นที่หน้าห้างสรรพสินค้าฝั่งตรงข้าม
สวี่จือจือทำหน้างุนงง
“คุณรู้จักเหรอ?” เธอถามลู่จิ่งซาน
ยังไม่ทันที่ลู่จิ่งซานจะตอบ ผู้หญิงคนนั้นก็วิ่งเข้ามาพูดกับลู่จิ่งซานด้วยความตื่นเต้น “สหาย ในที่สุดฉันก็หาคุณเจอ”
“มีธุระอะไร?” ลู่จิ่งซานถามด้วยน้ำเสียงเ็า
“ฉันชื่อฟางย่วนย่วน เป็ยุวชนที่ถูกส่งมาทำงานในชนบท” ฟางย่วนย่วนยิ้มอย่างเปิดเผย “คืออย่างนี้ค่ะ กระโปรงที่คุณซื้อไปเมื่อกี้ ฉันก็ชอบเหมือนกัน”
“แต่พอฉันไปซื้อ พนักงานขายบอกว่าคุณซื้อไปแล้ว”
ตอนแรกเธอตามเขาไปทันแล้ว แต่ถูกยุวชนที่ถูกส่งมาทำงานในชนบทร่วมกันขวางไว้ พอนานเข้าก็ไม่เห็นเงาของลู่จิ่งซานแล้ว
เธอเดินในห้างสรรพสินค้าอยู่นานก็ไม่เห็นอะไรที่ถูกใจอีกนอกจากชุดนั้น หาคนก็ไม่เจอ แถมชุดที่ถูกใจก็ถูกคนซื้อไปแล้ว
ฟางย่วนย่วนกำลังกลุ้มใจอยู่เลย พอดีก็เห็นลู่จิ่งซานเดินออกมาจากร้านอาหารฝั่งตรงข้าม ก็รู้สึกเหมือนฟ้าหลังฝน
ครั้งนี้เธอถูกคนที่บ้านยัดเยียดมาทำงานในชนบทแบบไม่ทันตั้งตัว นอกจากคูปองอาหารกับเงินแล้ว เสื้อผ้าที่พอจะใส่ได้ก็มีอยู่แค่ไม่กี่ชุด
นี่เป็เหตุผลว่าทำไมเธอถึงรีบมาที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อเสื้อผ้าั้แ่มาถึง
“แล้วมีธุระอะไร?” ลู่จิ่งซานพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ฟางย่วนย่วนถึงกับพูดไม่ออก คนคนนี้ดูหล่อเหลาดีแท้ ไม่คิดว่าจะเ็าขนาดนี้ แต่ก็ดูมีเอกลักษณ์ดี “คุณจะยกให้ฉันได้ไหมคะ?”
“คุณไม่ต้องห่วง” ฟางย่วนย่วนพูดด้วยรอยยิ้ม “เงินกับคูปองอาหารที่คุณจ่ายไป ฉันจะคืนให้คุณทั้งหมด แถมจะเพิ่มเงินด้วย คุณอยากจะได้เท่าไหร่ถึงจะยอมให้ฉัน?”
สวี่จือจือกับลู่ซืออวี่ทำหน้างุนงง
เพิ่มเงินอะไร? นี่มันอะไรกัน?
“ไม่ให้” ลู่จิ่งซานพูดออกมาสองคำเสียงเ็า แล้วหันไปพูดกับสองคนที่กำลังยืนงง “กลับบ้านกันเถอะ”
“คุณว่าเงินน้อยไปเหรอ? ยังมีคูปองผ้าด้วย เอาไหมคะ?” ฟางย่วนย่วนขวางพวกเธอไว้ “อีกอย่าง กระโปรงแบบนี้มันเลือกคนใส่มาก พวกคุณใส่ไปก็คงไม่สวยหรอก”
เธอพูดจบสายตาก็พลันไปสบกับเด็กสาวที่อยู่ข้างๆ ลู่จิ่งซาน แล้วถึงกับชะงัก รู้สึกเจ็บหน้าเล็กน้อย
ที่นี่ไม่ใช่ชนบทเหรอ? ทำไมยังมีคนผิวขาวกว่าเธออีก!
หน้าตาก็ ถึงแม้ว่าฟางย่วนย่วนจะไม่ยอมรับ แต่ก็ต้องพูดว่าเด็กสาวคนนี้ก็สวยมากเหมือนกัน
อืม เธอไม่มีทางยอมรับว่าอีกฝ่ายสวยกว่าตัวเองแน่นอน!
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้