เล่มที่ 3 บทที่ 73
“อาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทแทบจะหมกมุ่นอยู่กับการรักษาสุขภาพ บางทีเ้าอาจจะเริ่มด้วยเื่นี้กับตาเฒ่าคนนั้นก็ได้” เมื่อรู้ว่านางจะเข้าไปเสี่ยงอีกหน เขาก็รู้สึกวิตกกังวลในใจ ยิ่งได้เห็นความมุ่งมั่นและความเกลียดชังที่ปรากฏในแววตาของนาง คำพูดของเขาจึงหลุดออกมา
“ช่วยเชิญหมอเทวดาและองค์หญิงซาเหรินมาที่บ้านของเ้าในคืนนี้ที ข้าเชื่อว่าเ้าทำได้” สายตาเลื่อนไปมองทางจ้าวจื่อซิน น้ำเสียงของนางจริงจังจนไม่สามารถปฏิเสธได้
“เฮอะ เ้าช่างมั่นใจในตัวข้าเต็มที่จริงๆ สถานที่ที่พวกเขาพักอาศัยอยู่น่ะมีทหารจากกองทหารรักษาพระองค์คอยคุ้มกันอยู่ เ้าคิดว่าข้าจะสามารถกลายร่างเป็แมลงวันและบินเข้าไปได้กระนั้นหรือ?” เปล่งเสียงถากถางอย่างเ็าพลางยัดยาใส่ในมือของนาง นางบอกว่ารอยฟกช้ำจะมีประโยชน์สำหรับนาง แต่สุดท้ายก็ต้องทายา ได้ยินเสียงแหบเล็กน้อยของนางทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดถึงขีดสุด
เฉินเทียนหยู เ้ามันคือตัวภาระ เ้าทำได้แต่สร้างปัญหาให้กับผู้คนเท่านั้น เ้าไม่มีความสามารถ ถูกคนวางกับดักแล้วยังต้องให้คนอื่นเหนื่อยยากลำบากเพื่อเ้าอีก
“เ้ามีความสามารถนี้” น้ำเสียงในประโยคเป็ความเชื่อมั่นที่นางมีต่อเขา
จ้าวจื่อซินหัวเราะในใจ นางเป็คนฉลาดเฉลียวจริงๆ ด้วยคำพูดของนางประกอบกับอุปนิสัยของเขา แม้เขาจะไม่มีความสามารถ เขาก็จะพยายามคิดหาวิธีและทำให้ดีที่สุด
แปลกจริงแท้ เขารู้สึกเวทนานางอยู่หลายส่วน นางดูเปราะบางไม่อาจทนต่อความเสี่ยงใดๆ แต่กลับแสร้งทำเป็เข้มแข็ง จ้าวจื่อซินไม่มีคำพูดอื่นใดนอกจากสาวเท้าเดินออกไป
จวบจนกระทั่งเขาออกจากจวนเฉิน ชิงยวี่ถึงได้ถามขึ้นว่า "เ้านาย เ้านายจะไปจริงๆ หรือ? มันไม่ใช่เื่ง่ายๆ เลย"
“มันไม่ง่ายก็ต้องทำให้ง่ายขึ้นให้ได้ ใครให้นางเป็เ้านายของเราล่ะ? พวกเราจะไม่ทำตามคำสั่งของเ้านายได้อย่างไร?”
ร่างของจ้าวจื่อซินกลมกลืนไปกับความมืดในตอนกลางคืน ฝ่ายชิงยวี่ก็บ่นว่า "เ้านายเป็เพราะสิ่งนี้จริงๆ หรือ?"
จะใช่หรือไม่ใช่ ไม่มีใครสามารถตอบเขาได้ ดวงดาวบนท้องฟ้ากะพริบแสง เขาเงยหน้าขึ้นมองดูด้วยความสนใจระหว่างที่มีความรู้สึกหลากหลายประเดประดังเข้ามา...
---------------------------
สายตาของจื่อเอ๋อร์มองออกไปทางลานที่มีแสงจันทร์สว่างด้วยความวิตกกังวลในใจ คุณหนูใหญ่บอกว่าจะมาในคืนนี้เหตุใดจึงล่าช้า มาไม่ถึงเสียที?
นี่ก็ผ่านเวลาเที่ยงคืนไปแล้ว ไม่รู้ว่ามีเื่ใดรั้งคุณหนูไว้หรือไม่?
ชิงเย่ผู้ซึ่งยืนอยู่ด้านหน้าประตูเห็นนางพูดพึมพำพลางมองผ่านหน้าต่างไปทางลานเรือนหลายต่อหลายครั้ง ในท้ายที่สุดเขาก็เอ่ยปากถึงประเด็นสำคัญออกมา “บางทีคืนนี้ฮูหยินน้อยอาจจะไม่มาก็ได้”
“เป็ไปไม่ได้” ดวงตาของนางยังจับจ้องแต่ลานบ้านแทบไม่ละสายตา ทั้งพูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ไร้ซึ่งข้อสงสัยใดๆ “คุณหนูใหญ่ไม่เคยผิดคำพูด”
นางเชื่อมั่นในตัวคุณหนูใหญ่ เฉกเช่นที่เชื่อว่าคุณหนูใหญ่จะต้องหาวิธีช่วยนางได้อย่างแน่นอน
ชิงเย่ไม่แย้งว่าถูกหรือผิด เขาแค่ปิดปากเงียบพลางมองไปที่ลานเรือนด้วยเพราะไม่เข้าใจในความรู้สึกแน่วแน่ในคำพูดของจื่อเอ๋อร์
ทว่าสุดท้ายก็มีเสียงฝีเท้าดังมาให้ได้ยิน แววตาของจื่อเอ๋อร์ปรากฏความดีใจในทันควัน นางรีบกระโจนออกจากเรือนทันที แต่ครั้นเห็นผู้คนที่มาเยือน ใบหน้าของนางก็แปรเปลี่ยนเป็ความผิดหวัง
คนพวกนี้เป็ใครหรือ? หญิงสาวสวมผ้าคลุมหน้าและชายชราที่มีหนวดเคราสีขาวท่านนี้ พวกเขามาที่นี่ได้อย่างไร? คุณหนูใหญ่อยู่ที่ไหน?
เป้ยหนิงเห็นความผิดหวังของจื่อเอ๋อร์ในสายตา นางจึงเลิกคิ้วขึ้น ถึงกระนั้นนางก็เดินเข้าไปโดยไม่พูดอะไรสักคำพลางคิดในใจว่า ตาเฒ่าลากนางออกมากลางดึกเพื่อผู้หญิงคนนี้หรือ?
“พ่อหนุ่ม สาวน้อยคนนั้น้าทำอะไรกันแน่? ให้มาที่นี่ในเวลากลางดึก มันช่างเป็การทรมานข้าที่เป็คนเฒ่าคนแก่เหลือเกิน” หมอเทวดาหาวนอนก่อนถามชิงยวี่ที่เดินติดตามอยู่ด้านหลังของเขา
ชิงยวี่เหลือบสายตาไปมองชิงเย่เป็เชิงทักทาย และเดินตามหมอเทวดาเข้าไปในเรือน "ท่านเป็หมอไม่ใช่หรือ เชิญท่านมาที่นี่ นอกจากช่วยคนแล้วยังสามารถทำอะไรได้อีก?"
“ฮึ่ย! เ้าหนุ่มคนนี้ ข้าไม่ได้เจอเ้าสองสามปี ความกล้าของเ้าก็เพิ่มมากขึ้นแล้ว” คำพูดของชิงยวี่เป็สาเหตุให้หมอเทวดาถึงกับหรี่ั์ตาทั้งสองข้างซึ่งปฏิกิริยาตอบรับของชิงยวี่คือการก้าวเท้าถอยกลับไปโดยไม่รู้ตัว
โธ่... เดิมทีคิดว่าทักษะการต่อสู้ของตนเองพัฒนาขึ้นมากใน่หลายปีที่ผ่านมา เขาควรจะลืมตาอ้าปากถึงจะถูก แต่เมื่อต้องเผชิญหน้าอย่างกะทันหัน เขาก็ยังคงหวั่นไหวจากก้นบึ้งของหัวใจ
จื่อเอ๋อร์ไม่เห็นมู่หรงฉิง นางจึงเดินกลับเข้าไปในเรือนด้วยท่าทางผิดหวัง ทางด้านหมอเทวดายามเห็นใบหน้าของจื่อเอ๋อร์ก็เบิกตากว้างทันควัน "หยี สาวน้อยคนนี้ไม่เลวเลย เป็คนของพ่อหนุ่มคนนั้นใช่หรือไม่? มอบให้ข้าจะดีกว่า"
ถ้าพูดถึงการทดลองยา เ้าเป้ยหนิงคนนี้ก็แทบเป็แทบตาย ฉะนั้นตอนนี้จึงไม่มีใครเป็ตัวทดสอบยาให้เขาแล้ว มันทำให้เขาเสียใจมาก
หมอเทวดามองดวงตาสดใสของจื่อเอ๋อร์ แต่เป้ยหนิงกลับรู้สึกรังเกียจ "นี่คงเป็ศิษย์คนใหม่ของเ้าใช่หรือไม่? จะให้มอบอะไรอีกล่ะ?"
ตาเฒ่าสมควรตายคนนี้ ทันทีที่เขากลับไป เขาก็โอ้อวดกับนางโดยบอกว่าเขารับศิษย์ที่ดีและน่ารักมากเพียงใด พูดเสียจนทำให้นางโกรธเป็ฟืนเป็ไฟ ถึงแม้ว่านางไม่เต็มใจที่จะเป็ศิษย์ของเขา แต่ครั้นได้ฟังเขาชื่นชมผู้อื่นมากมาย นางย่อมไม่มีความสุขอยู่ดี
ดังนั้น ตอนที่เขาปลุกนางในเวลากลางดึก โดยพูดว่าอะไรนะ? ้าพานางไปพบกับศิษย์คนใหม่ของเขา นางจึงรู้สึกขุ่นเคืองใจครึ่งหนึ่งและอยากที่จะพิสูจน์อีกครึ่งหนึ่ง นางอยากจะรู้เหมือนกันว่า เขารับศิษย์ที่ดีเช่นไรกัน
ยามได้เห็นจื่อเอ๋อร์แวบแรก นางจึงให้คะแนนติดลบในใจ ผู้หญิงคนนี้ดูสวยน่ารัก แต่ดูอย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่มีวาสนาทางการแพทย์ คำกล่าวว่ามีวาสนาทางการแพทย์หรือไม่นั้น นางมักจะได้ยินจากปากตาเฒ่าคนนี้อยู่บ่อยครั้ง แม้ว่านางจะไม่เข้าใจแต่เมื่อเห็นจื่อเอ๋อร์ นางรู้สึกได้ทันทีว่าจื่อเอ๋อร์ไม่มีวาสนาทางการแพทย์
ในขณะที่คิดว่าตาเฒ่าสูญเสียมาตรฐานไปได้อย่างไร? เขาถึงได้ยอมรับศิษย์เช่นนี้
“โธ่ สาวน้อยคนนี้ไม่ใช่ศิษย์ของข้า ศิษย์ของข้ายังมาไม่ถึง” ระหว่างพูด หมอเทวดาก็เดินไปหาจื่อเอ๋อร์ ทำตัวเหมือนว่าเขากำลังหลอกเด็กน้อยให้กินขนมน้ำตาลอย่างไรอย่างนั้น “สาวน้อย ข้าเป็หมอเทวดา เ้าอย่าติดตามเ้าหนุ่มนั่นเลย มาติดตามข้าจะดีกว่า ข้ารับรองว่าข้าจะไม่ทำไม่ดีกับเ้าอย่างแน่นอน”
จื่อเอ๋อร์ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ที่แน่ๆ ชิงเย่กลับหายตัววับดุจแสงและไปปรากฏตัวขวางกั้นอยู่ด้านหน้าจื่อเอ๋อร์ก่อนที่หมอเทวดาจะลงมือ "ไม่พบเจอกันเป็เวลาหลายปีแล้ว ผู้าุโสบายดีหรือไม่"
หมอเทวดาเห็นชิงเย่ เขาก็เปล่งเสียงร้องแปลกๆ จากนั้นะโถอยหลังหนึ่งก้าว "เ้ามาั้แ่เมื่อไร?"
เขาตบหน้าอกของตนเองโดยไม่คิดสาวเท้าไปข้างหน้าอีกต่อไป ทำราวกับชิงเย่เป็น้ำเหนือและสัตว์ร้ายที่น่าหวั่นกลัวปานนั้น
ชิงเย่ไม่ตอบ นอกจากยืนเงียบๆ อยู่ตรงหน้าจื่อเอ๋อร์ ทั้งเ้านายและฮูหยินน้อยต่างสั่งกำชับให้เขาดูแลจื่อเอ๋อร์อย่างดี ถ้าเกิดจื่อเอ๋อร์ถูกหมอเทวดาัั นั่นย่อมหมายความว่าเขาละเลยต่อหน้าที่
ตาเฒ่าหมอเทวดาคนนี้ไม่มีจรรยาบรรณแพทย์เสียเลย เขาใช้เคล็ดลับที่ทำให้คนยากจะป้องกันตัว
หมอเทวดาเปล่งเสียงร้องแปลกๆ พลางก้าวเท้าถอยหลัง ระหว่างนั้นชิงยวี่ซึ่งเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ไม่ห่างก็คิดอย่างงงงวย ศิษย์ใหม่ไม่มาหรือ? ผู้ที่้ามาเยือนในคืนนี้ นอกจากฮูหยินน้อยย่อมไม่มีใครอื่นอีกแล้วนี่นา
หมอเทวดาไม่น่าจะรับบ่าวรับใช้เ่าั้มาเป็ศิษย์กระมัง?
ภายในห้องกำลังโกลาหลวุ่นวาย แต่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเป็จังหวะก้าวเข้ามาในลานเรือน ขณะเดียวกันยังได้ยินเสียงไอที่คล้ายว่าพยายามฝืนระงับอาการไว้ จื่อเอ๋อร์ดีใจเป็อย่างมาก นางวิ่งออกไปต้อนรับ "คุณหนูใหญ่"
เมื่อเห็นจื่อเอ๋อร์ แววตาของมู่หรงฉิงจึงเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน "มาดึกมากเช่นนี้ ทำให้เ้าไม่ได้พักผ่อนแล้ว"
จื่อเอ๋อร์ส่ายศีรษะและช่วยประคองมู่หรงฉิงเข้าไปในเรือนอย่างมีความสุข
เป้ยหนิงที่อยู่ในห้องถึงกับใหลังจากได้ยินเสียงของมู่หรงฉิง ยิ่งได้เห็นมู่หรงฉิงเข้ามาโดยมีสองสาวใช้ประคองทั้งสองฝั่ง สายตาของนางก็ยิ่งตื่นตระหนก นางตบโต๊ะและลุกพรวดด้วยความว่องไว "ปรากฏว่าเป็เ้านี่เอง"
ท่าทีของเป้ยหนิงทำให้สายตาของจ้าวจื่อซินเป็ประกายวับหนึ่ง ก่อนเขาจะหายตัววับดุจแสงและไปปรากฏตัวอยู่ด้านหน้ามู่หรงฉิงเพื่อป้องกันไม่ให้นางถูกทำร้าย
ดวงตาทั้งสองข้างของเป้ยหนิงจ้องเขม็ง "หลีกทางให้ข้าเดี๋ยวนี้" ในเวลาเดียวกัน นางยื่นมือออกไปผลักชายน่ารังเกียจตรงหน้า
จ้าวจื่อซินยกมือขึ้น ทันใดนั้นข้อมือของเป้ยหนิงก็ถึงกับเจ็บแปลบ "เ้าสารเลว เ้ากล้าใช้กำลังกับข้าหรือ เ้าไม่้าที่จะมีชีวิตต่อไปแล้วใช่หรือไม่"
น้ำเสียงหยิ่งผยองเต็มไปด้วยความมั่นใจส่งผลให้มู่หรงฉิงผู้ซึ่งอยู่ด้านหลังของจ้าวจื่อซินยิ้มตาม นางก้าวไปข้างหน้าสองก้าว "ไม่จำเป็ต้องวิตกกังวล เพื่อนเก่าน่ะ"
จ้าวจื่อซินอึ้งงัน เพื่อนเก่าหรือ? ผู้หญิงคนนี้กลายเป็เพื่อนเก่ากับองค์หญิงซาเหรินั้แ่เมื่อไร?
“เ้าได้ยินหรือไม่ ยังไม่ปล่อยอีกหรือ” จ้องจ้าวจื่อซินเขม็งด้วยความขุ่นเคือง มิหนำซ้ำน้ำเสียงของซาเหรินยังเย่อหยิ่งมากขึ้น "เป็บ่าวแต่กล้าใช้กำลังกับข้า เ้าไม่้ามีชีวิตต่อไปแล้วใช่หรือไม่"
ความเย่อหยิ่งของซาเหรินทำให้มู่หรงฉิงเป็วิตกกังวลเล็กน้อย ด้วยอุปนิสัยของจ้าวจื่อซินกลัวว่าซาเหรินจะต้องทนทุกข์ทรมานอยู่หลายส่วนแล้ว
เนื่องจากคืนนี้มีเื่สำคัญจะพูดคุย นางจะเสียเวลาต่อไปไม่ได้แล้ว นางคิดอยู่ในใจ ฉะนั้นก่อนที่จ้าวจื่อซินจะเคลื่อนไหวอีกหน มู่หรงฉิงจึงก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าวและขวางทางระหว่างทั้งสองคน พลางจับมือของเป้ยหนิงและลูบเบาๆ "พวกเราพบกันในวันนั้น แต่คาดไม่ถึงว่าจะดำรงยศเป็ถึงองค์หญิงผู้สูงศักดิ์"
“เฮอะ” เป้ยหนิงมองไปทางจ้าวจื่อซินพร้อมพ่นลมหายใจฮึอย่างเ็า ก่อนจะเบี่ยงสายตามองมู่หรงฉิง เพียงพริบตาประเด็นสนทนาก็เปลี่ยนไปจนทำให้มู่หรงฉิงรู้สึกประหลาดใจ “อย่าบอกนะว่าตอนนี้เ้าเป็ศิษย์ของเขาแล้ว”
"หือ?" เสียงในลำคอถูกเปล่งออกมา และตามมาด้วยเสียง "อืม..." ก่อนถอนหายใจอีกหน
บอกว่าปิดปากสนิทมากไม่ใช่หรือ? ทันทีที่พบกันก็บอกความจริงที่ว่านางเป็ศิษย์ของหมอเทวดาไปหมดแล้ว
หมอเทวดาเห็นสายตาของมู่หรงฉิงซึ่งกวาดมองอย่างสงสัย เขาก็ยกเคราสีขาวขึ้นและนับมันอย่างเงียบๆ โธ่? เขาสัญญาอะไรไว้กับนางหรือ? ดูเหมือนว่าไม่มีกระมัง?
ชายชราแสร้งทำเป็ความจำเสื่อม ฝั่งจ้าวจื่อซินกลับหรี่ตาลง ผู้หญิงคนนี้กลายเป็ศิษย์ของหมอเทวดาแล้วหรือ? เป็ไปได้หรือไม่ว่าจะเป็ศิษย์ในวันนี้? นางกลายเป็ศิษย์ของหมอเทวดาภายใต้สายตาของเขาจริงๆ หรือ?
ครั้นเห็นว่าสิ่งต่างๆ ไม่มีทางที่จะปกปิดได้แล้ว มู่หรงฉิงย่อมไม่หลีกเลี่ยงอีกต่อไป "วันนี้ข้าเจอกับท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์คิดว่าข้ามีวาสนาทางการแพทย์จึงยอมรับข้า"
เป้ยหนิงไม่ได้พูดอะไร นางมองสำรวจมู่หรงฉิงจากศีรษะจรดปลายเท้าปราดหนึ่ง จากนั้นมองไปที่หมอเทวดาซึ่งแสร้งทำเป็ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ดวงตาของนางก็สว่างขึ้น “ตอนนี้ร่างกายของเ้าสามารถต้าน…"
“ไม่ได้เจอกันเป็เวลาหลายวันแล้ว ข้ามีหลายสิ่งที่อยากจะบอกองค์หญิง พวกเราเข้าไปในห้อง แล้วพูดคุยกันจะดีกว่า” เด็กสาวขัดจังหวะคำพูดของเป้ยหนิงทันควัน คราวนี้แม้กระทั่งปี้เอ๋อร์ก็ไม่ได้พาเข้าไปด้วย แต่นั่นไม่ใช่เพราะนางไม่เชื่อใจปี้เอ๋อร์และจื่อเอ๋อร์ ทว่าเื่ที่ร่างกายของนางสามารถต้านทานสารพัดพิษนั้น ยิ่งมีคนรู้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี
จับมือของเป้ยหนิงและหันกลับไปมองหมอเทวดา "ท่านอาจารย์มีอะไรจะพูดกับฉิงเอ๋อร์ด้วยใช่หรือไม่?"
"โอ้? โอ้! ใช่" ไม่รู้ว่าศิษย์คนนี้กำลังจะทำอะไร แต่หมอเทวดาก็ปล่อยเคราที่ยังนับไม่เสร็จลง ก่อนจะเดินตามทั้งคู่เข้าไปในห้องชั้นใน
ขณะทั้งสามคนเข้าไปในห้อง ดวงตาของจ้าวจื่อซินถึงกับเป็ประกายวับ จากนั้นก็เดินตามเข้าไป
มู่หรงฉิงหันไปมองจ้าวจื่อซินผู้ที่ไม่คิดว่าตัวเองเป็คนนอก นางรู้สึกจนปัญญาอยู่หลายส่วน อยากให้เขาออกไป แต่เมื่อคิดพิจารณาดูอีกหน ด้วยอุปนิสัยของจ้าวจื่อซิน สิ่งที่เขา้ารู้ เขาจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เขา้า แม้ว่านางจะไม่พูดถึงกระนั้นเขาคงจะถามหมอเทวดาให้จงได้
ครั้นหันกลับมองหมอเทวดา มู่หรงฉิงก็ถอนหายใจอีกหน อาจารย์ท่านนี้ทำไมนางถึงรู้สึกว่าไม่น่าเชื่อถืออยู่หลายส่วน?
เอาล่ะ จะรู้ก็รู้ไปเถอะ ถือเสียว่าเป็การเตือนความจำให้จ้าวจื่อซินรับรู้ว่าตอนนี้นางไม่กลัวพิษหรือสิ่งมีพิษอีกต่อไปแล้ว บางทีเ้าอาจจะสามารถใช้ประโยชน์จากข้าได้มาก ด้วยความร่วมมือของพวกเรา เ้าไม่เสียเปรียบอย่างแน่นอน
“ตอนนี้เ้าสามารถต้านทานสารพัดพิษได้แล้วใช่หรือไม่?” ทันทีที่จ้าวจื่อซินปิดประตูและเข้ามาในห้อง เป้ยหนิงก็ดึงมู่หรงฉิงอย่างตื่นเต้นพร้อมเอ่ยถามว่า “ยานั้นมีประสิทธิภาพใช่หรือไม่?”
“อืม จากการสังเกตในปัจจุบัน ยาพิษจะไม่มีผลกับข้าและสัตว์มีพิษเช่นงูกับแมงป่องจะหลีกเลี่ยงข้า” หัวเราะเบาๆ พลางลากเป้ยหนิงที่มีหน้าตายิ้มแย้มมีความสุข ให้นั่งลง "ใบหน้าขององค์หญิงยังดีอยู่หรือไม่?"
“โธ่ อย่าพูดถึงมันเลย... เ้าทำดั้งจมูกของท่านอาจารย์หัก ทั้งยังยืมสมุดบันทึกของเขามาด้วย ความผิดนี้กลับกลายเป็ข้าที่จะต้องมาทนทุกข์ทรมานแทน” เป้ยหนิงมองหมอเทวดาด้วยสายตาน้อยใจ ท่าทีของนางช่างน่าเวทนาอย่างอธิบายเป็คำพูดไม่ออก
แต่มู่หรงฉิงเกือบจะพ่นเืออกมาหลังจากได้ยิน
องค์หญิงองค์นี้ ช่างน่าสนใจจริงๆ ดูเหมือนว่าความสามารถในการแสดงละครของนางจะยอดเยี่ยมเกินคน
หมอเทวดานับเคราของเขาต่อไป เขาปิดหูโดยอัตโนมัติพร้อมพูดพึมพำในใจ ข้าไม่ได้ยินอะไรเลย… ข้าไม่ได้ยินอะไรเลย…
ทว่าทางด้านจ้าวจื่อซินกลับรู้สึกประหลาดใจหลังจากได้ฟังการสนทนาระหว่างทั้งสองคน ไม่น่าแปลกใจที่นางไม่ได้รับพิษสงยาเทพขี้เมา ไม่น่าแปลกใจที่งูและแมงป่องมีพิษในเรือนของแม่รองเฉินต่างก็หลีกเลี่ยงนาง
ปรากฏว่าเป็เช่นนั้น ปรากฏว่าเป็เช่นนั้นนี่เอง
มู่หรงฉิง สิ่งที่เกิดขึ้นกับเ้า ชักจะเริ่มน่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วจริงๆ