ที่ดินอยู่ห่างจากเรือนของเฉินเนี้ยนหรานไม่มากนัก ถือเป็บ้านใกล้เรือนเคียงยังมีพื้นดินทรายผืนหนึ่งมีดอกหญ้าเติบโตขึ้นมาเฉินเนี้ยนหรานถามผู้ใหญ่บ้านด้วยความสนใจ “ที่ดินทรายผืนนั้นเป็ของผู้ใดหรือ?เหตุใดถึงไม่มีผู้ใดปลูกเล่า พื้นที่โล่งเช่นนี้น่าเสียดายออก!”
“อ่อ พื้นดินทรายนั้นหรือ เป็ของในหมู่บ้าน เพราะปลูกสิ่งใดล้วนไม่สำเร็จดังนั้นที่ดินนี้จึงไม่มีผู้ใด้า” ผู้ใหญ่บ้านตอบกลับไป
“ไม่มีคน้าหรือ?” เฉินเนี้ยนหรานถามราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่างมองไปที่ที่ดินผืนนั้น เป็พื้นดินทรายจริงๆ แม้จะมีดอกหญ้าขึ้น แต่มองแล้วไร้ชีวิตชีวาคาดว่าอากาศค่อนข้างร้อน จึงไม่สามารถรักษาน้ำในดินได้ ดังนั้นปลูกสิ่งใดล้วนไม่ค่อยจะดีนัก
“หากขาย เยี่ยงนั้นที่ดินร้างเช่นนี้จะราคาเท่าใด?” เฉินเนี้ยนหรานคล้ายจะถามออกมาเฉยๆ
ผู้ใหญ่บ้านนับนิ้วออกมาแล้วตอบโดยไม่คิด “ไม่มาก หนึ่งไร่สามตำลึง”
พื้นที่กึ่งแห้งแล้งทั้งยังเป็พื้นดินทราย ปากบอกไม่มากแต่ราคากลับสูงถึงสามตำลึงมิน่าจึงไม่มีคนรับไว้ ต้องรู้ว่าเมื่อซื้อที่ดินทรายเช่นนี้มา จะต้องจ่ายภาษีหากทำรายได้ไม่ดี ถือเป็เงินที่จ่ายชดเชย
เฉินเนี้ยนหรานไม่ได้พูดต่อ ยืนฟังหวงเต๋ออันกับตาเฒ่าสวี่พูดเื่ที่ดินทางนั้น
รอจนกระทั่งได้เวลาพอสมควรแล้ว ในขณะที่ไม่มีใครสังเกตเห็น หวงเต๋ออันหันมาพยักหน้ากับเฉินเนี้ยนหรานที่ดินนี้ซื้อได้ แต่ราคาจะต้องปรึกษากันอีก
เพราะขายทั้งหมดภายในครั้งเดียว อีกทั้งยังรีบใช้ ราคาที่คำนวณไปแล้วสามารถดึงให้ลงมาได้อีก
เฉินเนี้ยนหรานพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งที่ดินนี้สามารถลดราคารวมให้น้อยลงมาอีกสิบตำลึงคงจะได้
สิบตำลึง เอามาทำสัญญา คำนวณแล้วนับว่าพอจะใช้ได้
หลังจากพวกนางตกลงกันแล้ว หวงเต๋ออันจึงไปคุยราคาสุดท้ายกับผู้ใหญ่บ้านและตาเฒ่าสวี่
คราแรกตาเฒ่าสวี่ไม่ยอม ผู้ใหญ่บ้านคนนั้นอยากทำให้เื่นี้สำเร็จ จึงพูดโน้มน้าวอยู่ด้านข้าง
“ตาเฒ่าเอ๋ย เ้าดูครอบครัวพี่น้องหวงสิ เป็คนที่รักที่ดินที่ดินของเ้าไปอยู่ในมือของเขา ไม่ต้องกังวลว่าจะสูญเปล่า ให้เขามาดูแลจัดการเ้าจะได้วางใจอีกอย่างเ้ารีบใช้เงิน คนในหมู่บ้านพวกเรามีแต่คนอยากซื้อที่ดินแต่เรือนอยู่ตะวันออก อีกเรือนอยู่ตะวันตก คนซื้อไปจับมันแยกออก หากที่นาของเ้าถูกแบ่งออกแล้วเห็นที่ดินที่ตนเองซื้อมาถูกแบ่งแยกเ้าจะรู้สึกดีหรือ เ้าถือว่าหาคนมาซื้อที่ดินของเ้าอย่างเ้าของเรือนสกุลหวงเจอจากนิสัยของเขาแล้ว ยังไม่แน่ว่าจะกดราคาเ้าหรอก จากที่ข้าว่านี่จะกลายเป็ที่ดินของครอบครัวพี่น้องหวงเขาดูแลที่ดินดี พวกเราล้วนเป็คนในหมู่บ้านเดียวกัน ต่อไปยังสามารถมีน้ำใจกันได้อีกนะ”
คำพูดนี้ทำให้ตาเฒ่าสวี่เริ่มหวั่นไหว
สุดท้ายเมื่อพิจารณาปัจจัยหลายด้านแล้ว ตาเฒ่าสวี่ยังยอมถอยให้
ทั้งสองฝ่ายคุยราคากันเสร็จ จึงทำสัญญากัน
สัญญานี้แบ่งออกเป็สัญญาธรรมดากับสัญญาประทับตราของสำนักราชการ
หากเป็สัญญาธรรมดา หลังจากตกลงกันเรียบร้อยแล้วจำเป็ต้องลงนามสัญญาถือว่าเป็อันเสร็จสิ้นแน่นอนว่าภาษีของทุกปียังต้องคุยให้ดีว่าให้ฝ่ายผู้ซื้อเป็คนรับผิดชอบ สัญญาเช่นนี้ช่วยประหยัดเงินในส่วนที่ไปสำนักขุนนาง แต่ข้อเสียเล็กน้อยคือหากต่อไปมีเื่อะไรขึ้นมาฝ่ายขุนนางไม่มีทางยอมรับคดีนี้
แต่สัญญาประทับตราสำนักราชการ เอกสารจะแสดงสัญญาของทั้งสองฝ่ายประทับตราประทับ ยังต้องให้ผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็พ่อค้าคนกลางประทับรอยนิ้วมือจากนั้นส่งให้กับทางการจัดการสุดท้ายหลังจากสำนักราชการลงทะเบียนในทะเบียนบ้านแล้วถึงจะถือว่าสำเร็จ
แน่นอนว่าภาษีนั้นต้องจ่าย แต่สัญญาการซื้อขายเช่นนี้จะได้รับการคุ้มครองจากทางการ
หากต่อไปมีเื่ยุ่งยากเกิดขึ้น เฉินเนี้ยนหรานจึงไม่อยากตระหนี่เช่นนี้ นำเงินออกมาให้หวงเต๋ออันกับผู้ใหญ่บ้านไปทำเื่ด้วยกัน
ต่อมา เฉินเนี้ยนหรานถือว่าเื่นี้นางรบกวนผู้ใหญ่บ้าน อย่างไรก็ต้องเชิญเขามาเลี้ยงข้าวและถือเป็การฉลอง
ดังนั้นจึงปรึกษากับหนิวซื่อ ตัดสินใจจัดงานเลี้ยงภายในเรือน
ความจริงแล้ว หากทำตามที่เฉินเนี้ยนหรานพูดคือจองโต๊ะร้านอาหารในเขตไปเลยแต่หนิวซื่อบอกว่าไม่ต้อง ที่เรือนมีสตรีมากเช่นนี้ การทำโต๊ะงานเลี้ยงเป็เื่ง่ายมาก
“ในเขตน่ะ ไปกินเลี้ยงที่นั่นอย่างน้อยราคาเกือบหนึ่งตำลึง เงินนี้พวกเราสู้ไปซื้อปลาดีๆเนื้อดีๆ มาทำอาหารเองที่เรือน หากเหลือยังสามารถทานต่ออีกได้ตั้งหลายวันนะ เ้าไปทานข้าวที่นั่นนอกจากเสียเงินมาก ยังไม่สามารถเก็บกับข้าวดีๆ กลับมาได้อีก”
ถูกหนิวซื่อพูดเช่นนี้ เฉินเนี้ยนหรานคิดตาม คนก็ไม่เยอะ เวลาก็ไม่มากหากเชิญผู้ใหญ่บ้านมาทานข้าวในเรือน ยังต้องเชิญฮูหยินของเขามาด้วย เมื่อถึงเวลางานเลี้ยงนางยังต้องคุยเื่การซื้อขายอีก
“ได้ เช่นนั้นตอนนี้ไปซื้อกับข้าวในเขต อีกเดี๋ยวพวกเขาทำสัญญาเสร็จแล้วกลับมาจะได้ดื่มเหล้าทานข้าวกันเ้าค่ะ”
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เฉินเนี้ยนหรานคิดจะเข้าไปซื้อของในเขต แต่หนิวซื่อไม่้าให้นางกลับไปกลับมาจึงเรียกน้องห้ามาทั้งสองคนรีบเข้าไปเลือกอาหารในเขต
หนิวซื่อทำงานเก่ง ควรทำงานเลี้ยงอย่างไร นางถือว่ามีประสบการณ์
เฉินเนี้ยนหรานคิดไปแล้ว ตนสามารถทำอาหารได้หลายอย่างจึงเดินไปเด็ดผักที่อยู่หลังเรือน
ผักที่ปลูกไว้ก่อนหน้านี้ ตอนนี้มีหลายชนิดเติบโตเต็มที่แล้ว
ในเรือนปลูกทั้งฟักทอง ผักกาดเขียว ผักกาดขาว ขึ้นฉ่าย แม้แต่มะเขือเทศเฉินเนี้ยนหรานก็ปลูกเอาไว้ คราแรกก่อนจะซื้อมาปลูกมีราคาแพงมาก สำหรับน้องห้าแล้วต่อให้ตายก็ไม่อยากซื้อรู้สึกแค่ว่าถุงเมล็ดเล็กๆ ราคาแพงเช่นนี้ช่างไม่คุ้มเสียเลย
แต่เฉินเนี้ยนหรานยืนกรานจะซื้อ ช่วยไม่ได้นางชอบแกงมะเขือเทศใส่ไข่มากนี่นา
มองต้นมะเขือเทศที่ออกผลสีแดงเป็แผงเรียงสวยในเรือน เฉินเนี้ยนหรานพลันยิ้มอย่างพอใจเรือนนี้ ตอนที่พวกนางทำธุรกิจ มักจะหาเวลาว่างมาดูแล ไม่เพียงแค่นาง น้องห้าน้องหกต่างมาช่วยดูแลเช่นกัน
หากไม่เป็เช่นนี้ สวนผักนี้คงเติบโตได้ไม่ดี
มองไปยังรั้วรอบๆ คิดไปแล้วใน่นี้ครอบครัวของหนิวซื่อเป็คนดูแลทั้งสองคนนั้นขยันมาก พืชผลในแปลงนายังไม่ทันได้ปลูกจึงยังโล่งว่าง พวกเขาจึงมาดูแลสวนผักนี้ก่อน
วัชพืชรอบๆ แปลงเติบโตขึ้นมาน้อยมากดูออกเลยว่าสวนผักแห่งนี้ถูกคนดูแลอย่างดี
เฉินเนี้ยนหรานเด็ดมะเขือเทศ และฟักทอง ผักกาดเขียวรวมถึงมะเขือม่วงออกมาหลายผล และไปเด็ดผักใบเขียวอีกเล็กน้อย จึงจะเข้าเรือนเอาผักมาล้างหั่นให้เรียบร้อย
ครุ่นคิดสักครู่ มะเขือเทศสามารถนำไปทำอาหารได้สองอย่าง หนึ่งคือมะเขือเทศผัดไข่ซึ่งเมนูนี้ดึงดูดเด็กๆ มาก การเลี้ยงอาหารครอบครัวผู้ใหญ่บ้านในวันนี้ยังมีลูกของผู้ใหญ่บ้านที่เป็เด็กอยู่ด้วย
เมื่อเลี้ยงอาหารผู้ใหญ่บ้าน เช่นนั้นก็ต้องเลี้ยงรองผู้ใหญ่บ้าน
ส่วนตาเฒ่าสวี่ก็ขาดไม่ได้เช่นกัน เมื่อคำนวณแล้วล้วนแต่เป็ผู้ชายนั่งเต็มงานเลี้ยง สตรีจะต้องอยู่อีกโต๊ะหนึ่ง
กับข้าวจะต้องเยอะ หากน้อยไปจะสร้างความทรงจำไม่ดีให้กับคนที่มาร่วมงาน
เพราะยังมีพวกเนื้อที่กวนซูเยวียนเอามาให้
เฉินเนี้ยนหรานจึงเลือก เนื้อสามชั้นสองชิ้นมาหั่นเป็ชิ้นแล้วนำไปล้างน้ำก่อนจะเอาลงไปต้มในหม้อ ของพวกนี้เมื่อทำเสร็จแล้ว สามารถเป็ของกินที่แกล้มกับสุราได้ดีพวกผู้ชายเมื่ออยู่บนโต๊ะอาหาร หากไม่มีสุราจะไม่พอใจ ดังนั้นอาหารแกล้มเหล้ามักจะทานกันเยอะขึ้นสักหน่อย
จนกระทั่งหั่นผักมาล้างจนหมดแล้ว เอาลงหม้อ น้องหกก็วิ่งกลับมา
เด็กคนนี้จูงม้าออกไปเดินเล่น พร้อมทั้งออกไปเล่นกับพวกเด็กชายทั้งสาม
เด็กพวกนี้เป็ลูกของพี่สะใภ้ฟาง ซึ่งมักจะตามใจนางกันเสียจริง
“ท่านพี่ ข้ากลับมาแล้ว ฮี่ๆ จะต้มเนื้อหรือ มา ข้าช่วยท่านจุดไฟ”
น้องหกนั้นขยันขันแข็ง ั้แ่เด็กก็ทำงานเป็แล้วเื่นี้เป็ความสามารถพิเศษของเด็กที่มาจากครอบครัวยากจน
“คืนนี้มีเลี้ยงแขก อีกเดี๋ยวเ้าต้องเชื่อฟัง ไม่วิ่งเล่นซนนะ” เฉินเนี้ยนหรานก้มหน้าก้มตานวดแป้งอยู่
นาง้าทำแป้งทอดอีกอย่างหนึ่ง
“อืม ข้ารู้แล้วเ้าค่ะ”
เด็กน้อยเห็นว่ายังมีผักที่ต้องล้างอีกมากจึงเสนอตัวเอาผักไปล้างน้ำที่ข้างแม่น้ำ
“ได้ เ้าไปเถิด” เฉินเนี้ยนหรานพยักหน้า
เมื่อได้รับคำอนุญาตแล้ว น้องหกจึงวิ่งออกไปด้านนอก
เมื่อถึงที่ข้างแม่น้ำก็เจอกับป้าฝูเพื่อนบ้านคนใหม่พอดี
“สวัสดีเ้าค่ะ ป้าฝู”
ป้าฝูที่กำลังซักเสื้อผ้า เมื่อเห็นเด็กน้อยหน้าตาน่าเอ็นดูมาอยู่ข้างกายตนก็แย้มยิ้ม
“น้องหก หากว่างๆ ก็มาเล่นกับลูกชายป้าสิ เรือนป้ามีลูกชายที่ยังไม่โตอยู่คนหนึ่งและมีลูกสาวอีกคน ถึงตอนที่เรือนสร้างเสร็จแล้วจะพาพวกเขามา เ้ากับเด็กๆทั้งสองจะได้เป็เพื่อนกัน”
เมื่อได้ยินว่าจะมีเพื่อนใหม่มา น้องหกรู้สึกยินดีจึงถามเื่ราวเกี่ยวกับลูกของป้าฝูไปไม่น้อย
“พวกเขาอายุเท่าใดหรือเ้าคะ? พวกเขาชอบอะไรหรือ?ชอบพาม้าไปเที่ยวเล่นหรือไม่เ้าคะ? ชอบทานอะไรที่สุดหรือ?ชอบกินลูกอมเหมือนน้องหกหรือไม่เ้าคะ?...”
คำถามมากมายทำเอาป้าฝูหัวเราะออกมา ฟังนางพูดอย่างอดทน
ขณะทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น กลับเห็นรองผู้ใหญ่บ้านกับคนวัยแรกรุ่นแต่งกายคล้ายบัณฑิตเดินมาทางนี้
ทั้งสองคนเดินไปพูดคุยกันไป
สำหรับบัณฑิตแล้ว คนในหมู่บ้านต่างให้ความสนใจ โดยเฉพาะเด็กอย่างน้องหกซึ่งกำลังอยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็น
“ป้าฝูเ้าคะ ที่นี่มีบัณฑิตมาด้วยหรือเ้าคะ? ข้าจำไม่ได้ว่าที่นี่มีบัณฑิตด้วย?”หมู่บ้านปาเจียวเป็หมู่บ้านในชนบทนะ
แม้จะเป็หมู่บ้านล้าหลัง แต่คำนวณแล้วก็มีคนอาศัยอยู่กว่าพันคนทว่าห่างชั้นจากคนคนนี้มาก บางครั้งประชุมกับผู้ใหญ่บ้านยังต้องเดินไปประมาณหนึ่งชั่วยาม
แน่นอนว่าจำนวนหนึ่งพันคนในหมู่บ้านยังมีข้อดี คือสามารถได้ยินเื่น่าสนใจมากมาย
“อ๋อ ก่อนหน้านี้ที่ข้าไปหาผู้ใหญ่บ้าน เหมือนได้ยินว่าหมู่บ้านของพวกเราร่วมมือกันเชิญบัณฑิตมาสอนหนังสือหากเชิญมาจริงๆ ต่อไปหมู่บ้านของเราคงสะดวกขึ้น ลูกทั้งสองคนของข้าปีนี้แปดขวบแล้วจะได้เรียนหนังสือพอดี”
น้องหกได้ยินแล้วยู่ปาก
ป้าฝูเห็นท่าทางไม่ดีใจของนางกลับรู้สึกแปลกใจ “โอ้ ปกติเด็กหญิงล้วนชอบอะไรทำนองนี้ไม่ใช่หรือเหตุใดตอนนี้ถึงไม่พอใจเล่า?”
น้องหกปรายตามองบัณฑิตที่เดินกับผู้ใหญ่บ้านไกลๆ นั้น “เฮ้อ ข้าจะชอบได้อย่างไรแม้จะเชิญบัณฑิตคนนี้มาข้าก็ไม่สามารถเข้าไปร่วมเรียนได้เขาไม่มีทางสอนเด็กผู้หญิงอยู่แล้ว ดังนั้นจะเรียนหรือไม่เรียนข้าไม่สนใจหรอกเ้าค่ะ”เพราะไม่ได้คาดหวัง ดังนั้นจึงไม่มีความสนใจ
ป้าฝูได้ยินถึงกับชะงักไป
