เวลาย่ำค่ำ โคมไฟในวังหลวงแคว้นเยี่ยสว่างไสว ทำให้วังหลวงยิ่งเจิดจรัส มีเงาร่างหลายสิบสายกำลังเคลื่อนไหว ทุกคนล้วนเป็เด็กหนุ่ม ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความภาคภูมิใจ ผู้เข้าสู่เขตแคว้นกู่มีนับร้อย แต่คืนนี้มีแค่หลายสิบคนที่กลับมา เื่นี้เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงพร์ของพวกเขา
มีเด็กหนุ่มผู้หยิ่งทะนงคนหนึ่งยืนอยู่เดียวดาย ใบหน้าหล่อเหลานั้นดูอ้างว้าง สายตามีอารมณ์ความรู้สึก ทั่วร่างแผ่ไอสังหารรางๆ คนผู้นี้คือเด็กหนุ่มสวมหน้ากากที่หาประสบการณ์บนเวทีประลองที่แคว้นกู่ โชควาสนาที่เขาได้ประสบในครึ่งปีนี้ บวกกับความพยายามของเขา ทำให้ความสามารถของเขาใกล้เคียงขั้นเสวียนเต๋า ต่อให้เป็ผู้เข้มแข็งขั้นเสวียนเต๋าหนึ่งชั้นฟ้าเขาก็สู้ได้ แต่เขายังมีสีหน้าไม่พอใจ
เพราะวันนั้นทำให้เขาะเืใจมากเกินไป
เซียวเฉินที่กลายเป็เฉินเซียวใช้กำลังคนเดียวตวาดให้พวกเขาหลายสิบคนล่าถอย และเขาคือคนที่เอ่ยปากข่มขู่ในตอนนั้น
เขาพยายามฝึกวิชาในแคว้นกู่ก็เพื่อวันหนึ่งสามารถสู้กับเฉินเซียวได้ แต่เมื่อเขาได้พบเฉินเซียวอีกครั้ง ความมั่นใจของเขาก็พังทลายอีกครา เขานึกว่าความสามารถของเขาสามารถสู้กับเฉินเซียวได้ แต่เฉินเซียวถึงกับย่างสู่ขั้นเสวียนเต๋าห้าชั้นฟ้า
ยังไม่ได้ต่อสู้ก็พ่ายแพ้เสียแล้ว แพ้ทั้งด้านพร์และระดับขั้น
อีกด้านหนึ่ง มีสามคนมาด้วยกัน สายตาของทุกคนมองมา หนึ่งในสามคนนั้น รูปร่างสูงใหญ่ ทั่วร่างมีมัดกล้ามเนื้อเปี่ยมพลังดุจูเาลูกย่อมๆ สภาวะยิ่งใหญ่ เค้าหน้าแกร่งกร้าว ชวนให้คนตะลึง ส่วนเรือนร่างของสาวน้อยที่อยู่ด้านข้างสูงระหง อายุสิบห้าสิบหกปี เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เป็สาวงามที่หาได้ยาก อนาคตเมื่อเติบใหญ่ต้องงามล่มเมืองอย่างแน่นอน คนทั้งสองคือฉู่หยวนและฉู่เยียนหราน
ทุกคนล้วนเคยได้ยินนามอันน่าเกรงขามของตระกูลอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเยี่ย ชั่วขณะทุกคนก็พากันชื่นชม
ส่วนเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างกายคนทั้งสองหล่อเหลาโดดเด่น ดวงตาเจิดจรัสดุจดวงดาว แต่สายตาลึกล้ำ ทั่วร่างแผ่อานุภาพกดดันจางๆ ทำให้คนรู้สึกกดดัน แสดงถึงความโดดเด่นเป็เอกของเขาได้โดยไร้ลักษณ์ บุตร์ทุกคนที่นั่นต่างรู้สึกถึงกลิ่นอายอันแข็งแกร่งของขั้นเสวียนเต๋า
คนส่วนมากสยองขวัญ บางคนมีสีหน้าตื่นตระหนก
คนผู้นี้คือเซียวเฉินที่เปลี่ยนชื่อเป็เฉินเซียว
คนทั้งสามมาถึงตามนัดหมาย ขณะที่เซียวเฉินมาถึง สายตาของเด็กหนุ่มผู้หยิ่งทะนงคนนั้นก็มองมาที่เขา
หลังจากเซียวเฉินสบตากับเขาก็พยักหน้าให้นิดๆ
ทุกคนมองเซียวเฉินแล้วพากันวิพากษ์วิจารณ์ เขาแข็งแกร่งมากกว่าในตอนแรก...
“พี่ใหญ่เฉิน ตอนนี้ท่านเป็ผู้ทรงอิทธิพลแล้วนะ” ฉู่เยียนหรานยิ้มกล่าว ดวงตาโตเปล่งประกายงดงาม ทำเอาทุกคนที่นั่นเหม่อลอย ทรุดตัวให้กับยิ้มงามล่มเมืองของฉู่เยียนหราน แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปคุยด้วย เพราะเื้ัของนางคือตระกูลฉู่ ตระกูลอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเยี่ย ไฉนจะล่วงเกินได้ง่ายๆ ต่อให้เป็เชื้อพระวงศ์ยังต้องกริ่งเกรงสามส่วน ยิ่งกว่านั้น ข้างกายนางยังมีฉู่หยวนและเซียวเฉินยืนอยู่ด้วย
พวกเขาสามคนเพิ่งมาถึงก็ได้ยินเสียงคนดังมาจากตำหนักใหญ่ในวังหลวง
“ฮ่องเต้มีรับสั่ง บุตร์ทุกท่านเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงที่ตำหนักเฉียนหยาง” เพิ่งสิ้นเสียง ด้านข้างก็มีองครักษ์พาทุกคนไปตำหนักเฉียนหยาง ระหว่างทางผ่านตำหนักมากมาย ทำให้ทุกคนถอนหายใจ หรูหราโอ่อ่า สมเป็วังหลวงจริงๆ แม้แต่ศิษย์ของสำนักใหญ่บางคนก็จำต้องยอมรับความยิ่งใหญ่ของวังหลวงแห่งแคว้นเยี่ย
เซียวเฉินก็ถอนหายใจ แคว้นเยี่ยสมเป็หนึ่งในแคว้นอันกล้าแข็ง แข็งแกร่งกว่าแคว้นชางหวงไม่น้อยเลย
แค่ขนาดของวังหลวงก็เหนือกว่าแคว้นชางหวงแล้ว
ขณะที่ทุกคนเดินพลางชื่นชมอยู่นั้น ตำหนักอันโอฬารหลังหนึ่งก็ปรากฏขึ้นต่อหน้า บันไดร้อยขั้นสร้างจากหยกขาว ยามค่ำคืนยังส่องแสงนวลตา เห็นได้ชัดว่าไม่ธรรมดา มีเสาัทองตั้งตระหง่านอยู่ข้างตำหนัก แสดงถึงความสูงศักดิ์ทรงอำนาจของวังหลวงอย่างไม่ต้องสงสัย ทุกคนก้าวขึ้นบันไดหยกและเหยียบย่างเข้าสู่ตำหนักเฉียนหยางช้าๆ
มีราชันผู้ทอดตาลงมองใต้หล้านั่งอยู่บนบัลลังก์สลักัทาเคลือบเงาสีทองในตำหนักเฉียนหยาง ทุกความเคลื่อนไหวเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของผู้อยู่เหนือกว่า คนที่นั่งอยู่แบ่งเป็ผู้าุโของสำนักก้งเฟิ่ง และมีที่นั่งว่างที่ยังไม่มีใครปรากฏตัวขึ้นข้างกายเขา มีการร้องรำเฉลิมฉลอง เครื่องดนตรีดีดสีตีเป่า เสียงรื่นเริงดังกังวานและบรรยากาศฟุ้งเฟ้อด้านล่างบัลลังก์
ทุกคนทยอยกันนั่งประจำที่ เซียวเฉิน ฉู่หยวน และฉู่เยียนหรานนั่งด้วยกัน เห็นฮ่องเต้เยี่ยเทียนหนานนั่งอยู่บนบัลลังก์ มองทุกคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เอ่ยว่า “ข้าจัดงานเลี้ยงเชิญบุตร์ทุกคน วันนี้ไม่เมาไม่กลับ”
ทุกคนชูจอกดื่มร่วมกับฮ่องเต้
ในเวลานี้เอง เยี่ยเทียนหนานกล่าวอีกว่า “วันนี้ไม่เพียงมีทุกท่านเท่านั้น แต่ยังมีสหายจากแคว้นชางหวงมาดูมาดของบุตร์แคว้นเยี่ยเราด้วย” เมื่อคำพูดนี้ออกมา คนทั้งงานก็ร้องว่าดี ทว่าเซียวเฉินมีสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็หนักใจทันควัน
วันนั้น ลั่วเทียนอู่ใช้วิธีแข็งกร้าวปิดผนึกมิติคิดจะสังหารเขาต่อหน้าทุกคน แต่เขาเสี่ยงตายกลายเป็นกเผิงั์ปีกทองหลบหนีไป เดิมทีคิดจะรอจนความสามารถกล้าแข็งค่อยกลับแคว้นชางหวงไปล้างอาย ไม่คิดว่าวันนี้จะมีคนจากแคว้นชางหวงมาที่นี่ ต้องรู้ก่อนว่า ตอนลั่วเทียนอู่สังหารเขาในวันนั้นมีคนนับหมื่นเป็ประจักษ์พยาน หากคนของแคว้นชางหวงที่มาในวันนี้รู้ฐานะของเขาต้องเปิดโปงเขาอย่างแน่นอน
เซียวเฉินคิดถึงตรงนี้ก็หรี่ตาลงนิดๆ เขาในตอนนี้ถอยจนหมดทางถอยแล้ว
ขณที่เซียวเฉินกำลังคิดคำนวณในใจ ก็มีคนผู้หนึ่งเดินออกมาช้าๆ คนผู้นั้นสวมชุดยาวแบบจีนสีฟ้าทั้งตัว ใบหน้าอมยิ้ม เซียวเฉินเห็นคนผู้นี้แล้วใสุดขีด จากนั้นดวงตามีเจตนาสังหาร เพราะผู้มาไม่ใช่ใครที่ไหน คือกู่อวี้ อาจารย์ใหญ่ของสถานศึกษาเทียนเฉินนั่นเอง ตอนเขาอยู่แคว้นชางหวงก็สร้างความลำบากให้เขาต่างๆ นานา คิดจะจัดการเขาถึงตายหลายต่อหลายครั้ง หลังจากเขาถูกเปิดโปงว่าสังหารองค์ชายก็เป็คนแรกที่ก้าวออกมาสังหารเขา
บอกได้ว่าเซียวเฉินแค้นกู่อวี้เข้ากระดูก หากไม่ฆ่าเขาก็ยากที่จะระบายความแค้นในใจ
“ท่านนี้คือบุคคลขั้นเสวียนเต๋าระดับสูงสุด เป็อาจารย์ใหญ่ของสถานศึกษาเทียนเฉิน หนึ่งในสี่สถานศึกษาของแคว้นชางหวง” เสียงของเยี่ยเทียนหนานดังขึ้น ทุกคนจึงให้ความสำคัญ ถึงอย่างไรก็เป็บุคคลขั้นเสวียนเต๋าระดับสูงสุด อยู่ในสำนักใหญ่แต่ละแห่งก็ถือเป็บุคคลระดับสุดยอด
เซียวเฉินใสุดขีดทันที แคว้นชางหวงมีสถานศึกษาห้าแห่งชัดๆ เหตุใดจึงกลายเป็สี่สถานศึกษา?
หรือว่าสถานศึกษาชางหวง...
เซียวเฉินคิดถึงตรงนี้ ดวงตาก็มีเปลวเพลิงเต้นระริก เขาเดือดดาลสุดขีด
เขายิ่งแค้นตนเองเป็พิเศษ ทุกคนในสถานศึกษาชางหวงต้องลำบากเพราะเขาคนเดียว…
“วันนี้ข้าได้มาชื่นชมมาดของบุตร์ทุกท่านของแคว้นเยี่ย เดินทางมาไม่เสียเที่ยวจริงๆ ฮ่า ฮ่า” กู่อวี้หัวเราะเสียงดัง ชูจอกสุราขึ้นแล้วยิ้มกล่าว “ข้าขอดื่มให้ทุกคนจอกหนึ่ง” ว่าแล้วก็ดื่มหมดจอก ทุกคนที่อยู่ด้านล่างย่อมไว้หน้ากู่อวี้ ถึงอย่างไรก็เป็ผู้เข้มแข็งขั้นเสวียนเต๋าระดับสูงสุด ไม่ใช่คนที่พวกเขาสามารถล่วงเกินได้
“ไม่ทราบว่าคนที่นั่งอยู่มีบุตร์ที่ยอมรับบ้างหรือไม่?”
กู่อวี้เอ่ยพลางอมยิ้ม ทุกคนอึ้งทันควัน จากนั้นสายตาของทุกคนก็มองไปทางฉู่หยวนโดยไม่ได้นัดหมายและหยุดลงบนร่างของเซียวเฉิน เพราะเวลานี้เซียวเฉินก้มหน้าดื่มสุรา ดังนั้น กู่อวี้จึงดูไม่ออกว่าเป็เซียวเฉิน เพียงรู้สึกว่าเงาร่างนี้คุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก แต่กลับนึกไม่ออก
ความเคลื่อนไหวของทุกคนทำให้เยี่ยเทียนหนานและทุกคนในสำนักก้งเฟิ่งเกิดความสนใจ เพราะพวกเขารู้สึกได้ว่ากลิ่นอายจากร่างของเซียวเฉินเป็ขั้นเสวียนเต๋า ทั้งยังทรงพลังสุดขีด
“แคว้นเยี่ยเรามีอัจฉริยะมากมาย อายุยังน้อยก็ย่างสู่ขั้นเสวียนเต๋า ยอดเยี่ยมจริงๆ” เยี่ยเทียนหนานชื่นชม บรรดาผู้าุโของสำนักก้งเฟิ่งที่อยู่ด้านข้างก็ผงกศีรษะเช่นกัน จากการกระเพื่อมของพลังเสวียนบนร่างของเซียวเฉิน อย่างน้อยต้องอยู่ขั้นเสวียนเต๋าสองชั้นฟ้าขึ้นไป อายุเท่านี้สามารถทำได้ขนาดนี้ก็เพียงพอที่จะแสดงถึงพร์แล้ว เื่นี้ทำให้พวกเขาเกิดความคิดที่จะรับเซียวเฉินเป็ศิษย์
“เฉินเซียว เงยหน้าขึ้นให้อาจารย์ใหญ่ของแคว้นชางหวงดูมาดของบุตร์แคว้นเยี่ยเราหน่อย”
เซียวเฉินยกยิ้มมุมปาก จากนั้นยืนขึ้นค้อมกายคารวะช้าๆ
“ถวายบังคมฮ่องเต้”
ว่าแล้ว เขาก็เงยหน้าขึ้นช้าๆ เมื่อเขาเผยโฉมหน้าในตำหนักใหญ่ กู่อวี้ก็ใสุดขีด ร่างสั่นสะท้าน มีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ สีหน้านั้นยังมีแววสยองขวัญปะปนอยู่ด้วย มองเซียวเฉินแล้วเอ่ยเสียงสะท้าน “เซียวเฉิน เ้ายังไม่ตาย!”
เซียวเฉินยิ้มบางๆ “ไม่ได้พบกันเสียนาน คิดไม่ถึงว่าท่านยังจำข้าได้...”