เล่มที่ 3 บทที่ 88
เฉินเทียนหยูผลักเป้ยหนิงออกไปพร้อมยืนขวางอยู่ด้านหน้าเตียงเพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเข้าใกล้ เป้ยหนิงเปล่งเสียง “เฮ้ย” มือทั้งสองเท้าสะเอว “เ้าโง่ ข้ากำลังจะดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง เ้ายังไม่หลีกทางให้อีก หากเ้ายังขวางเช่นนี้แล้วถ้าเกิดนางตายขึ้นมา จะทำอย่างไรหรือ?”
คำพูดของเป้ยหนิงเป็การข่มขู่เฉินเทียนหยู แม้ว่าทักษะการแพทย์ของนางจะด้อยกว่าหมอเทวดามาก แต่การดู การฟัง การดม การสอบถามอาการ การตรวจชีพจร เพื่อวินิจฉัยวิเคราะห์โรค นางก็ใช่ว่าจะเรียนรู้ทักษะเ่าั้มาโดยเปล่าประโยชน์ เมื่อเห็นสีผิวหน้าของมู่หรงฉิง นางก็รู้ทันทีว่ามันเกิดจากความโศกเศร้า สาเหตุที่นางเอื้อมมือออกไปเพื่อตรวจดูว่ามันร้ายแรงแค่ไหนก็เท่านั้น
โดยไม่คาดคิดว่า เ้าคนโง่งมจะปกป้องมู่หรงฉิงถึงเพียงนั้นซึ่งทำให้นางรู้สึกว่าน่าสนใจเป็อย่างมาก
คราวก่อนได้ยินมู่หรงฉิงพูดว่าเขาน่าจะต้องยาพิษจากผลโยิ เป็สาเหตุให้เขาโง่งม แต่นางไม่คาดคิดเลยว่า ชายหนุ่มจะปกป้องมู่หรงฉิงอย่างแข็งขันในยามที่เขากลายเป็คนโง่
อย่างไรก็ดี หลังจากจำได้ว่าเคยเห็นรอยฟกช้ำที่ลำคอของมู่หรงฉิง ความรู้สึกดีเพียงเล็กน้อยของเป้ยหนิงที่มีต่อเฉินเทียนหยูก็มลายหายไป นางมองเฉินเทียนหยูด้วยสีหน้าดุดัน “ได้ยินมาว่ารอยฟกช้ำที่ลำคอของนาง เป็ฝีมือของเ้า ตอนนี้นางเป็ลมอีกหนแล้ว คงไม่ใช่เ้าเป็คนทำร้ายนางใช่หรือไม่?”
“ข้าเปล่า ข้าไม่ได้บีบคอน้องหญิง ข้าไม่ได้ทำร้ายน้องหญิง เ้าพูดจาเลื่อนเปื้อน เ้าพูดจาเลื่อนเปื้อน ข้ารักน้องหญิง… ข้ารักน้องหญิง…”
เฉินเทียนหยูพูดพร้อมสะอื้น เขาได้ยินพวกบ่าวกระซิบกันถึงเื่ที่เขาจะฆ่าน้องหญิงเบาๆ มากกว่าหนึ่งครั้ง แต่เขาจำไม่ได้เลย เขารักน้องหญิง เขาสงสารน้องหญิงจริงๆ แต่ทำไมทุกคนถึงบอกว่าเขาจะฆ่าน้องหญิง?
“ถ้าเ้าไม่หลีกทางให้ ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเ้าเป็คนทำร้ายนางหรือไม่? บางทีเ้าอาจทำร้ายนาง เ้าก็เลยไม่ให้ข้าตรวจดูอาการ”
เป้ยหนิงจะปล่อยเฉินเทียนหยูไปอย่างง่ายดายได้อย่างไร? นางคิดในใจศิษย์น้องหญิงของข้าฉลาดเฉลียวมาก ทั้งยังบรรเลงกู่ฉินเก่งมากด้วย แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็ถูกทำลายด้วยน้ำมือของคนโง่ ถ้าข้าไม่สอนบทเรียนให้เ้าโง่แทนศิษย์น้องหญิง ข้าก็ไม่คู่ควรที่จะเป็ศิษย์พี่หญิง
ในจังหวะที่เฉินเทียนหยูและเป้ยหนิงถกเถียงถึงทางตัน ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินและฮูหยินเฉินก็เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบระคนกระวนกระวายใจ
ฟังสาวใช้บอกว่ามีแขกผู้มีเกียรติสองสามคนมาเยี่ยมเยียน พวกนางกำลังเตรียมที่จะเชิญแขกเข้าไปในห้องโถงใหญ่ แต่ไม่คิดไม่ฝันว่า องค์หญิงกลับไม่สนใจและลากสาวใช้คนหนึ่งวิ่งไปที่เรือนม่อเหอ ทั้งคู่จึงไม่มีเวลาสนใจในเื่ธรรมเนียมมารยาทนอกจากรีบไล่ตามมาที่นี่
ไม่คาดคิดว่าพวกนางที่อยู่ด้านนอกห้องก็ได้ยินเสียงถกเถียงกันระหว่างองค์หญิงและเฉินเทียนหยู ฟังจากน้ำเสียง ดูเหมือนว่าเฉินเทียนหยูจะทำร้ายมู่หรงฉิงอีกหน
ฮูหยินผู้เฒ่าคิดในใจ เป็การมาในเวลาที่ไม่เหมาะสมจริงๆ หากคนของตนรู้ก็เท่ากับรู้ แต่ถ้าผู้มียศศักดิ์สูงอยู่ที่นี่ ถ้าปล่อยให้รู้ว่ามู่หรงฉิงได้รับาเ็เนื่องจากถูกเฉินเทียนหยูทำร้ายอยู่บ่อยครั้ง มันจะส่งผลเสียต่อจวนเฉินเป็อย่างมาก
ในใจกระวนกระวายและรีบเข้าไปในห้องด้วยความร้อนรน เมื่อเห็นท่าทีขุ่นเคืองของเฉินเทียนหยูและองค์หญิง พวกนางก็ยิ่งตื่นตระหนกในใจมากขึ้นเรื่อยๆ รีบสาวเท้าไปข้างหน้าและคำนับคนสองสามคน “หมินฟู่ถวายพระพรองค์หญิงซาเหริน ท่านอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาท”
“ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินไม่จำเป็ต้องสุภาพ องค์หญิงเจอฮูหยินน้อยเฉินครั้งแรกก็รู้สึกเหมือนเป็เพื่อนกันมานาน ข้ากับหมอเทวดาขอยกโขยงกันมารบกวนแล้ว” อาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทเอ่ยวาจาอย่างสุภาพ และได้อธิบายสาเหตุความเป็มาอย่างกระจ่างด้วยถ้อยคำไม่กี่คำ
คำพูดเ่าั้บ่งชี้โดยตรงว่า องค์หญิงชอบฮูหยินน้อยของครอบครัวพวกเ้า พวกเราก็แค่ถือโอกาสที่เดินทางผ่านพอดี แวะมาเยี่ยมเยียนก็เท่านั้น
หมอเทวดายกเคราของเขาขึ้นมองดูอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทด้วยสายตาล้อเลียน พลางพูดพึมพำในใจว่า ตาเฒ่าหลิงคนนี้นี่ เห็นๆ อยู่ว่าเ้า้ามาด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้เ้าปัดทุกอย่างออกอย่างสะอาดเอี่ยมแล้ว
ครั้นเห็นฮูหยินผู้เฒ่า เป้ยหนิงก็โคลงศีรษะให้ ก่อนชี้นิ้วมือไปที่เฉินเทียนหยู “ขอฮูหยินผู้เฒ่าได้โปรดบอกคุณชายรองเฉินทีว่าให้หลีกทาง เวลานี้ฮูหยินน้อยเฉินหมดสติ ท่านอาจารย์ของข้าเป็หมอเทวดา ประจวบเหมาะจะได้ตรวจดูอาการให้”
ทักษะทางการแพทย์ของข้าไม่ดี ถ้าเช่นนั้น ข้าจะให้ท่านอาจารย์ของข้าตรวจดูอาการให้ ดูสิว่าเ้ายังจะขวางทางอีกหรือไม่
หมอเทวดาตรวจดูอาการด้วยตัวท่านเอง ถ้าเกิดเื่เช่นนี้ขึ้นในอดีต ฮูหยินผู้เฒ่าคงจะดีใจมาก แต่ในทางกลับกัน เวลานี้ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกกระดากอาย ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่สามารถพูดเพื่อให้เฉินเทียนหยูหลีกทางออกไปได้
อาการลังเลของฮูหยินผู้เฒ่าเป็สาเหตุให้เป้ยหนิงยิ่งยืนยันได้มากขึ้นว่าการเป็ลมหมดสติของมู่หรงฉิงมีส่วนเกี่ยวข้องกับเฉินเทียนหยู เป็สาเหตุให้นางยิ่งหงุดหงิดเพิ่มมากขึ้น เฉินเทียนหยูเป็คนโง่งม เขาใช้กำลังกับมู่หรงฉิงเป็ระยะๆ แต่คนในจวนไม่ใช่คนโง่ ทว่ากลับฟังเื่นี้เป็เหมือนเื่ปกติ และปล่อยให้เฉินเทียนหยูทุบตีจนตายในไม่ช้าก็เร็ว
ยิ่งคิด ก็ยิ่งหงุดหงิด เป็เื่ยากมากที่จะมีศิษย์น้องสักคน นางจะปล่อยให้มู่หรงฉิงถูกทำลายไม่ได้ ก่อนชี้นิ้วมือไปที่เฉินเทียนหยูด้วยความขุ่นเคือง พร้อมก่นด่า “เฉินเทียนหยูหลีกทางให้ข้าเดี๋ยวนี้ เ้าไม่ได้บีบคอนางจนตาย และเ้าก็ไม่พอใจ เ้ายัง้าฆ่านางตอนนี้ใช่หรือไม่?”
คำพูดของเป้ยหนิงช่างโเี้ยิ่งนัก ทำให้สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าถึงกับดูน่าเกลียดในทันที อย่างไรก็ตาม เื่นี้ก็เป็เื่ของจวนเฉิน เ้าเป็องค์หญิงตัวประกัน เ้ามาที่นี่เพื่ออวดอำนาจ มันจะไม่มากเกินไปหรือ?
ฮูหยินผู้เฒ่าคิดในใจ ในขณะที่ใบหน้าก็เ็าอยู่หลายส่วน “องค์หญิงพูดแรงเกินไปแล้ว ฉิงเอ๋อร์ก็แค่ไม่สบาย ดื่มยาสงบจิตใจแล้วนอนหลับเท่านั้น มีเื่ตบตีคนจนตายเสียที่ไหน?”
“ยาสงบจิตใจ? ฮูหยินผู้เฒ่าช่างแก้ตัวได้เก่งจริง แล้วรอยฟกช้ำที่ลำคอของนางล่ะ เ้าจะอธิบายอย่างไร?” ชี้นิ้วไปทางมือของเฉินเทียนหยูสลับกับรอยฟกช้ำที่ลำคอของมู่หรงฉิง ฮูหยินผู้เฒ่าคนนี้ยังไม่้าที่จะยอมรับหรือ?
“ไปชนบางอย่างโดยไม่ได้ตั้งใจก็เท่านั้น นี่เป็เื่ในจวนเฉิน ขอองค์หญิงได้โปรดอย่าหนักใจเลย”
“ชนบางอย่างโดยไม่ได้ตั้งใจกระนั้นหรือ?” เสียงของเป้ยหนิงดังขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ฮูหยินผู้เฒ่าคนนี้เก่งเื่ปั้นน้ำเป็ตัวจริงๆ เห็นๆ อยู่ว่าเป็รอยฟกช้ำจากการบีบ แต่กลับพูดได้ว่าชนบางอย่างโดยไม่ได้ตั้งใจ มีใครบ้างที่ว่างๆ แล้วจึงเอาคอของตัวเองไปชนกับสิ่งของ?
ครั้นเห็นว่าเป้ยหนิงกำลังจะเริ่มผรุสวาท ั์ตาของอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทก็เป็ประกาย “องค์หญิงโปรดลดโทสะ ข้ารู้ว่าองค์หญิงและฮูหยินน้อยสนิทสนมกันมาก แต่สตรีในจงหยวนไม่แข็งแกร่งเท่ากับสตรีในทุ่งหญ้าเช่นพวกท่าน สตรีในบ้านในเรือนร่างกายอ่อนแอ คงจะไม่สบายจากการโดนลมพัดเย็นๆ หลังจากนอนหลับแล้ว ก็คงดีเอง ไม่มีอะไรมาก ในเมื่อฮูหยินน้อยไม่สบาย ทำไมองค์หญิงไม่รอให้ฮูหยินน้อยหายดีก่อนแล้วค่อยมาเยี่ยมอีกล่ะ”
เอ่ยจบหลิงชิงป๋อจึงลอบพูดกับตัวเองว่าเขารีบร้อนเกินไป คิดไม่ถึงว่าเขาจะเข้ามาในห้องด้วยความเร่งรีบซึ่งไม่สุภาพเป็อย่างมาก
เป้ยหนิงกำลังโกรธเป็ฟืนเป็ไฟ นางจะฟังคำพูดของหลิงชิงป๋อเสียที่ไหน? เป็ตายร้ายดีอย่างไร นางก็จะรอมู่หรงฉิงฟื้นขึ้นมา ฝ่ายหมอเทวดาเห็นเช่นนั้นจึงเป่าเคราของเขาพร้อมจ้องเขม็ง จากนั้นก้าวเท้าไปข้างหน้าและหยิกหูของเป้ยหนิง “เ้าเด็กบ้า โวยวายเสียงดังที่นี่ เ้าจะให้คนพักผ่อนอย่างไรหรือ?”
เขาพูดพลางดึงหูของเป้ยหนิงและลากหญิงสาวให้เดินออกไป
เป้ยหนิงกรีดร้องด้วยความเ็ป ถึงกระนั้นก็ทำอะไรไม่ได้ นางทำได้แค่มองมู่หรงฉิงที่อยู่บนเตียงอย่างอาลัยอาวรณ์ก่อนถูกหมอเทวดาลากตัวออกไป
“วันนี้รบกวนมากแล้ว ช่างเสียมารยาทจริงๆ วันข้างหน้าจะมาเยี่ยมอีกอย่างแน่นอน” หลังจากพูดกับฮูหยินผู้เฒ่าอย่างสุภาพแล้ว หลิงชิงป๋อจึงเดินตามหมอเทวดาและศิษย์ของเขาออกจากเรือน จากนั้นก็ออกจากจวนเฉิน
จนกระทั่งทั้งห้องเงียบลง ฮูหยินผู้เฒ่ามองไปที่มู่หรงฉิงซึ่งนอนหน้าซีดอยู่บนเตียง แม้ว่านางจะมีความโกรธในใจ ถึงกระนั้นนางก็เผยความโกรธออกมาไม่ได้ ใครให้หลานชายของนางเกเรเกตุง?
“โธ่ ครอบครัวนี้โชคร้าย ครอบครัวนี้โชคร้าย” หลังจากหายใจเข้าและหายใจออกหลายหน ฮูหยินผู้เฒ่าจึงออกจากเรือนม่อเหอโดยได้รับการประคองจากฮูหยินเฉิน
หลังจากเสียงดังโวยวายสิ้นสุดลง ในห้องย่อมสงบลง ั์ตาของเฉินเทียนหยูแดงก่ำ เขานั่งลงด้านข้างเตียงและจับมือของมู่หรงฉิง
“คุณชายรอง ไปทานอาหารเย็นกันก่อน ฮูหยินน้อยนอนหลับแล้ว เดี๋ยวก็ตื่น” เห็นเฉินเทียนหยูเฝ้าดูมู่หรงฉิงด้วยั์ตาแดงก่ำ ปี้เอ๋อร์พลอยรู้สึกเศร้าอย่างยิ่ง อึดใจก่อนเฉินเทียนหยูปกป้องมู่หรงฉิงเช่นนั้น นางจึงรู้สึกอบอุ่นใจที่ได้เห็นมัน
ไม่ว่าในกรณีใด คุณชายรองปฏิบัติต่อคุณหนูใหญ่ด้วยความจริงใจจริงๆ
“ข้าไม่กิน น้องหญิงยังไม่ตื่น ข้ากินไม่ลง” หลังจากพูดไปพลางสะอื้นไปพลาง เฉินเทียนหยูกระชับฝ่ามือจับมือของมู่หรงฉิงไว้แน่น
หลังจากเฝ้าดูแลเป็เวลาสองชั่วยาม มู่หรงฉิงถึงได้ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ขนตาของนางสั่นเล็กน้อย เฉินเทียนหยูซึ่งคอยจ้องมองนางโดยไม่กะพริบตาถึงกับกระโจนเข้าไปด้วยความปีติยินดี “น้องหญิงตื่นแล้ว ในที่สุดน้องหญิงก็ตื่นแล้ว”
ตื่นแล้ว? นางรู้สึกสับสนเล็กน้อย ครั้นเห็นเฉินเทียนหยูร้องไห้ด้วยความปีติ นางก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากเวลาผ่านไปชั่วพักใหญ่ นางถึงจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นใน่เวลาบ่าย
“น้องหญิงหลับไปนานแล้ว ข้ากลัวมาก กลัวว่าน้องหญิงจะไม่้าข้าแล้ว” นอนคว่ำอยู่บนตัวของนาง และใบหน้าของเฉินเทียนหยูถูกฝังไว้ที่ลำคอของนาง เสียงของเขาฟังดูหดหู่เป็อย่างมาก “ข้าไม่ได้ฆ่าน้องหญิง ผู้หญิงคนนั้นบอกว่าข้าฆ่าน้องหญิง ข้าไม่ได้ฆ่า...”
“ผู้หญิงคนนั้นหรือ?” นางรู้สึกอึดอัด เนื่องจากถูกเขากอดรัด นางยกมือขึ้นและผลักเบาๆ เฉินเทียนหยูก็เข้าใจเช่นเดียวกัน และรีบช่วยพยุงนางให้ลุกขึ้นนั่ง “ผู้หญิงคนนั้นมาบอกที่จวนในเวลาบ่าย”
เป้ยหนิง?
นางหันไปมองปี้เอ๋อร์ที่เฝ้าอยู่ด้านข้าง “เป้ยหนิงเคยมาที่นี่หรือ?”
“เรียนคุณหนูใหญ่ องค์หญิงมาที่นี่พร้อมกับอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทและหมอเทวดาในเวลาเย็น เมื่อเห็นว่าคุณหนูใหญ่ยังไม่ตื่นจึงกลับไปแล้ว” เห็นมู่หรงฉิงตื่นขึ้น ปี้เอ๋อร์จึงรีบไปรินน้ำหนึ่งถ้วยและเดินกลับมาที่เตียง จากนั้นส่งมันให้มู่หรงฉิง
“อาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทมาที่นี่ด้วยหรือ?” มู่หรงฉิงหยิบถ้วยขึ้นมาอย่างประหลาดใจ แม้กระทั่งหลิงชิงป๋อก็มาที่นี่อย่างไม่คาดคิด เขามาที่นี่เพื่ออะไรหรือ?
“ใช่ เมื่อเห็นว่าคุณหนูใหญ่ยังไม่ตื่น ก็เลยกลับไปด้วยกันแล้ว” มู่หรงฉิงยกน้ำขึ้นดื่มสองจิบก่อนคืนถ้วยให้ปี้เอ๋อร์ หลังจากปี้เอ๋อร์วางถ้วยลงบนโต๊ะ นางก็กลับไปที่เตียงเพื่อช่วยพยุงมู่หรงฉิงให้ลุกขึ้น
ปี้เอ๋อร์และเฉินเทียนหยูประคองมู่หรงฉิงคนละข้างซึ่งทำให้นางรู้สึกเหมือนเป็ผู้ป่วย นางส่ายศีรษะและส่งสัญญาณบอกปี้เอ๋อร์เป็นัยว่า ไม่จำเป็ต้องช่วยประคองแล้ว ครั้นเห็นว่าสิ่งของบนโต๊ะไม่อยู่แล้ว นางก็ตื่นตระหนก “ของบนโต๊ะนี้อยู่ที่ไหนหรือ? ม้วนกระดาษเ่าั้อยู่ที่ไหน?”
“จ้าวจื่อซินได้นำของทั้งหมดไปที่เรือนหยางเซิงแล้ว โดยบอกว่าถ้าคุณหนูใหญ่้ามัน คุณหนูใหญ่สามารถไปรับมันได้ทุกเมื่อ และเขาก็จะไม่เปิดดูเป็การส่วนตัวด้วย”
ทันทีที่ได้ยินว่าจ้าวจื่อซินเก็บสิ่งเ่าั้ไว้แล้ว มู่หรงฉิงพลอยรู้สึกผ่อนคลายอย่างอธิบายเป็คำพูดไม่ถูก แม้ว่าอุปนิสัยหลายอย่างของจ้าวจื่อซินจะค่อนข้างน่าเกลียด แต่อย่างน้อยเขาก็ทำงานได้ดีและทำให้คนโล่งใจเป็ที่สุด อีกประการจดหมายฉบับนั้นถูกเผาไปแล้ว และเนื่องจากจ้าวจื่อซินบอกว่าเขาจะไม่เปิดดูตราประทับหยก คิดว่าเขาคงจะไม่ผิดคำพูด
มู่หรงฉิงตื่นขึ้น และเฉินเทียนหยูก็รู้สึกหิวแล้ว เมื่อรอจนกว่าพวกบ่าววางอาหารอย่างเรียบร้อย เขาก็ดึงมู่หรงฉิงลงนั่งเพื่อทานอาหาร
“ทำไมน้องหญิงถึงไม่กิน?” หลังจากทานไปครึ่งชาม เฉินเทียนหยูมองเห็นทางหางตาว่ามู่หรงฉิงยังไม่ขยับตะเกียบ เขาจึงหันมองนางอย่างงงๆ
“ไม่สบายกาย กินไม่ลง ท่านพี่กินเยอะๆ” พูดพลางหยิบตะเกียบคีบผักให้เฉินเทียนหยู
ได้ฟังมู่หรงฉิงพูดว่านางรู้สึกไม่สบายกาย เฉินเทียนหยูก็วางตะเกียบลง “ถ้าน้องหญิงไม่กิน ข้าก็ไม่กินด้วย”
สีหน้าจริงจังฉายชัดให้เห็นว่าเฉินเทียนหยูนั้นไม่พูดปดแม้แต่น้อย นางถอนหายใจเบาๆ และหยิบชาม “อืม มากินด้วยกัน”
เมื่อเห็นว่านางเริ่มกินแล้ว เฉินเทียนหยูก็หยิบตะเกียบอีกหนด้วยอาการร่าเริงและกินคำใหญ่
หลังจากทานอาหารเย็น เฉินเทียนหยูเห็นว่ามู่หรงฉิงยังคงดูเคร่งเครียด เขาคิดตรึกตรอง จากนั้นก็กอดนางจากด้านหลัง “ข้าจะพาน้องหญิงไปที่สถานที่หนึ่ง”
“จะไปที่ไหนหรือ?”
“ไปแล้วก็จะรู้เอง”
เป็เื่ยากที่เฉินเทียนหยูจะเก็บความลึกลับไว้เล็กน้อย เขาอุ้มมู่หรงฉิง พาออกไปข้างนอกโดยไม่เดินออกผ่านประตูใหญ่ แต่ะโขึ้นไปบนหลังคา กระโจนอีกเพียงสองสามครั้งก็ข้ามผ่านกำแพงจวนเฉิน
ทันทีที่ชิงยวี่เห็นเฉินเทียนหยูอุ้มมู่หรงฉิงออกจากจวน เขาก็แจ้งจ้าวจื่อซิน ชายหนุ่มจึงติดตามไปด้วยโดยไม่พูดอะไร
มู่หรงฉิงไม่รู้ว่าเฉินเทียนหยูจะพานางไปที่ใด? แต่ท้องฟ้าเบื้องบนกลายเป็สีดำมืดแล้ว ดวงจันทร์ไร้แสงสว่างทำให้ดวงดาวส่องแสงระยิบระยับ คนทั้งสองค่อยๆ ออกจากเมืองที่พลุกพล่าน ทิศทางมุ่งตรงขึ้นไปบนูเา
นี่ขึ้นไปบนูเาหรือ? จะขึ้นไปบนูเาเพื่อทำอะไร?
ด้วยความประหลาดใจ นางจึงเงยหน้าขึ้นมองเฉินเทียนหยู “ท่านพี่้าพาฉิงเอ๋อร์ไปที่ไหนหรือ?”
“พวกเราไปดูดาวกัน” เฉินเทียนหยูยกมุมปากโค้งขึ้น เขาไม่สามารถเก็บความลึกลับไว้ได้อีกต่อไปแล้ว “ที่นั่นสวยมาก ครั้งสุดท้ายที่จ้าวจื่อซินพาข้าไปดูดาว ที่นั่นมีดาวมากมายเหลือเกิน”
ดูดาวหรือ? ลืมตาขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืน พูดได้หรือไม่ว่าจะไปดูดาวบนูเา? ไม่คาดคิดเลยว่า จ้าวจื่อซินจะมีงานอดิเรกเช่นนั้น