มู่หรงอวี้พุ่งไปทางมู่หรงฉือ “เตี้ยนเซี่ย เ้าร่วมมือกับข้าจัดการพวกเขา”
นางย่อมเห็นด้วย เพียงแต่กระบี่ของทั้งสองจะต้องเข้ากันได้ดี วิชากระบี่ที่พวกเขาฝึกมานั้นไม่เหมือนกัน ทั้งยังไม่เคยฝึกร่วมกันมาก่อน จึงไม่มีคำว่าเข้ากันได้เลย แม้ว่าจะใช้กระบี่คู่ร่วมมือกัน พลังการต่อสู้จะเพิ่มขึ้นหรือไม่? หากทำได้ไม่ดีจะทำให้าเ็ไปทั้งคู่หรือไม่?
ไม่สนแล้ว ลองดูสักตั้งก็แล้วกัน
นางกับเขายืนเคียงบ่าเคียงไหล่กันรับมือคนชุดดำทั้งสิบ ก่อนที่การเข่นฆ่าอันดุเดือดจะเริ่มขึ้น
หัวหน้าคนชุดดำส่งสายตาให้ทุกคน ก่อนที่คนอื่นๆ จะกระจายตัวออกไปแล้วล้อมพวกเขาเอาไว้ตรงกลางทันที
มู่หรงฉือรีบขยับไปทางด้านหลังของมู่หรงอวี้ พริบตาต่อมาการต่อสู้อันดุเดือดก็เปิดฉากขึ้น
แสงจันทร์สาดส่องลงมา แสงสีเงินกระจายออกแฝงไว้ด้วยจิตสังหาร
ในคราวแรกพวกเขาแยกกันสู้ เวลานี้เพียงแค่หันหลังชนกัน ไม่ยอมแยกตัวอย่างเด็ดขาด เมื่อเป็เช่นนี้พวกเขาก็ไม่จำเป็จะต้องกลัวว่าจะถูกลอบโจมตี มีจุดแข็งเพิ่มขึ้นดังคาด
พลังการโจมตีของมู่หรงอวี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงครู่เดียวก็ทำให้ศัตรูาเ็หนักไปสองคน
หัวหน้าคนชุดดำหน้าเคร่ง ส่งสัญญาณมือออกไป คนชุดดำสิบคนก็รีบรวมตัวกัน พลังการต่อสู้พุ่งขึ้นสูง
พวกมู่หรงอวี้สองคนเองก็ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ การต่อสู้อันน่าใพลันเริ่มขึ้นอีกครั้ง
ความจริงแล้วคนชุดดำไม่มีประสบการณ์การสู้เป็กลุ่ม เพียงทำให้ดูใหญ่โตไปเท่านั้น พอสู้กันขึ้นมาจริงๆ พวกเขาก็กระจัดกระจายไปเหมือนเม็ดทรายที่ซ่านกระเซ็น
ส่วนพวกมู่หรงฉือยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งดุเดือดห้าวหาญ ยิ่งเข้าขากันขึ้นเรื่อยๆ คนหนึ่งโจมตีด้านล่างอีกคนโจมตี้า คนหนึ่งไปซ้ายอีกคนไปขวา บางครั้งก็ลงมือโจมตีอย่างรุนแรงพร้อมกัน บางครั้งก็สลับตำแหน่ง กระบี่อ่อนเป็ประหนึ่งงูขาวสองตัวเลื้อยลดอย่างคล่องแคล่วว่องไว เข้ากันได้เป็อย่างดียิ่ง
คนชุดดำร่วงไปอีกสี่คน คนที่เป็หัวหน้าโกรธจัด คิดไม่ถึงว่าพลังของกระบี่ที่สอดประสานกันจะทรงพลังถึงเพียงนี้
เขารู้ว่าบุรุษร่างเล็กพลังการต่อสู้ด้อยกว่าอยู่บ้าง หากรุมโจมตีคนผู้นี้จะมีโอกาสสำเร็จกว่าครึ่ง ดังนั้นเขาจึงออกคำสั่งให้ทุกคนหันกระบี่ไปทางนั้น
มู่หรงฉือกับมู่หรงอวี้มองตากัน คาดเดาแผนการของเขาออกจึงปรับเปลี่ยนการรับมืออย่างรวดเร็ว
นางแสร้งทำเป็เปิดจุดอ่อนถึงชีวิต ล่อศัตรูให้เข้ามา ส่วนเขาก็อาศัยโอกาสนี้ในการเข่นฆ่าศัตรูให้ไวที่สุด
จากนั้นก็มีคนชุดดำอีกสามคนล้มลงไป
เมื่อเห็นสหายล้มตายไปทีละคนสองคน คนชุดดำดวงตาแดงก่ำ เริ่มการโจมตีอย่างรุนแรงอีกครั้ง
มู่หรงฉือบางครั้งก็ยืนอยู่ข้างบ่าของเขา บางครั้งก็ยืมแรงของเขาฟาดกระบี่อ่อนออกไปอย่างแข็งแกร่งหาใดเปรียบ บางครั้งก็หมุนตัวออกกระบวนท่าสังหารแบบสามร้อยหกสิบองศา...
มู่หรงอวี้หัวเราะเสียงเย็น กระบี่อ่อนฟาดฟันออกไป เมื่อปราณกระบี่บางแผ่กระจายไป คนที่ััก็พากันล้มตาย
หัวหน้าคนชุดดำถูกกระบี่ฟันจนเืสาด นางอาศัยจังหวะนี้ตวัดกระบี่หมายจะตัดหัวเขาเสีย
ทันใดนั้น นางก็เห็นเข็มเงินเล็กยาวเล่มหนึ่งลอยมาอย่างไร้สุ้มเสียง แสงสว่างเรียวเล็กน่าหวาดหวั่น เป็การฆ่าคนอย่างไร้รูปร่าง นางไร้การป้องกันใด หน้าอกหันออกให้ศัตรูตรงหน้า ดูจากรูปการณ์นางคงจะติดกับของฝั่งตรงข้ามเข้าแล้ว
มู่หรงอวี้ใจับขาขวาของนางแล้วดึงนางกลับมา
ในขณะเดียวกัน เข็มเงินอีกเล่มก็พุ่งมาทางเขา
มู่หรงฉือหลบเข็มเงินเล่มนั้นจนมันร่วงลงพื้น ครั้นเห็นว่าเข็มเงินอีกเล่มแทงเข้าที่แขนขวาของเขา นางใจนตาโต ความโกรธพุ่งขึ้นสูงจนไม่อาจเปล่งเสียงใดออกมา
นางยกมือขึ้นฟันกระบี่ลงใส่อีกฝ่าย โลหิตสดพลันสาดกระจายดั่งสีแดงสดของสายรุ้งที่ปรากฏอยู่ใต้แสงอาทิตย์
ที่แท้ เป้าหมายของหัวหน้าคนชุดดำก็คือเขา!
มู่หรงอวี้ไม่สนใจแขนขวาที่าเ็ของตนแล้วสู้ต่ออย่างไม่ลดละ
หัวหน้าคนนั้นตายไปแล้ว เหลือคนชุดดำอีกไม่กี่คนที่ฝีมือไม่ได้ดีนัก เพียงไม่นานก็ถูกพวกเขาสังหารจนหมดสิ้น
ศพเกลื่อนเต็มพื้น เืสดๆ ไหลนอง
“ท่านไม่เป็อะไรใช่หรือไม่ เปิ่นกงดูแผลของท่านหน่อย” มู่หรงฉือเป็กังวลอย่างมาก
“ออกจากที่นี่กันก่อน...” มู่หรงอวี้จับมือเล็กของนางแน่นแล้วพากันเดินไป
นางรู้ว่าคุณชายชุดทองไม่มีทางหยุดง่ายๆ จึงทำได้เพียงรีบออกจากบึงเสวียนเยว่
ตอนที่พวกเขาออกมาจากบึงเสวียนเย่ได้ก็ไม่มีม้าแล้ว จึงทำได้เพียงเดินเท้าต่อไป นางพยุงเขาแล้วรีบหนีออกไปให้ไกลโดยเร็วที่สุด
ที่บึงเสวียนเยว่ที่หมอกกระจายตัวอยู่โดยรอบ ลมเย็นๆ ยามค่ำคืนพัดผ่าน ชายชุดทองค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้น
คุณชายชุดทองยืนอยู่ท่ามกลางแสงสีแดงจากคบไฟที่ส่องแสง มองศพที่เกลื่อนกลาดอยู่เต็มพื้น หางตาเจือความร้ายกาจ มุมปากยกยิ้มชั่วร้ายที่ทำให้คนที่เห็นขนลุก
“ข้าจะให้พวกเขาตายที่นี่ ยังไม่รีบตามไปอีก?” น้ำเสียงเนิบช้า แต่กลับเต็มไปด้วยจิตสังหาร
“ขอรับ”
คนชุดดำสิบกว่าคนปรากฏตัวขึ้นทันที ก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
...
มู่หรงฉือกับมู่หรงอวี้เดินไวๆ ไปได้ไม่กี่ลี้ ขาทั้งสองข้างก็เดินไม่ไหวแล้ว ทั้งเมื่อยทั้งล้า เดินต่อไปไม่ได้อีก
ไม่รู้ว่าสะดุดอะไรเข้า นางล้มลงไปที่พื้นหญ้า และเพราะนางพยุงอีกคนอยู่ เขาจึงล้มลงไปด้วย
“เ้าไม่เป็อะไรใช่หรือไม่” เขารีบลุกขึ้นตรวจดูว่านางได้รับาเ็หรือไม่
“เปิ่นกงเดินไม่ไหวแล้ว” นางพูดเสียงเบา พูดไปก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรง
การต่อสู้ก่อนหน้านี้นางใช้แรงไปจนหมดสิ้น ทั้งยังเดินมาไกลถึงเพียงนี้ ตอนนี้นางไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้สักเสี้ยว
เขามองไปรอบๆ ที่นี่เป็ป่านอกเมือง ด้านหน้าเป็แม่น้ำเล็กๆ สายหนึ่ง เขาดึงนางให้ลุกขึ้นก่อนจะอุ้มนางขึ้น “พวกเราไปทางนั้นกัน”
นางอยากจะเดินเอง แต่นางเหน็ดเหนื่อยมากแล้วจริงๆ ทั่วทั้งร่างอ่อนเปลี้ยไปหมด บ่าซ้ายทั้งเจ็บทั้งแสบ
กว่าจะเดินมาถึงริมแม่น้ำ พวกเขาก็อ่อนล้าจนขาพับขาอ่อนล้มลงไปบนพื้น
ตอนนี้เป็เวลาพระอาทิตย์ตกดินแล้ว ก้อนเมฆทางทิศตะวันตกถูกเทพแสนซนจุดไฟจนเป็สีแดงเถือก แสงสีแดงทะลุผ่านก้อนเมฆส่องมายังพวกเขาจนทั้งตัวเป็สีแดงเรืองรอง แม่น้ำไหลเอื่อยๆ สะท้อนแสงสีทองไหลไปตามกระแสลมใน่พลบค่ำ
ผืนหญ้าพลิ้วไหวไปตามลม
นอนพักอยู่ครู่หนึ่งมู่หรงอวี้ก็ลุกขึ้นนั่ง เห็นนางนอนหลับสนิทไปแล้วก็ตบลงที่แก้มของนางเบาๆ “เตี้ยนเซี่ย”
ตัวร้อนมาก!
เขาลูบหน้าผาก แก้มกับแขนของนางด้วยความใ ทั่วทุกที่ร้อนรุ่ม หรือว่าจะไข้ขึ้นสูง?
ใช่! นางได้รับาเ็ ทั่วทั้งร่างก็เปียกปอน ทั้งยังใช้เรี่ยวแรงไปจนหมดสิ้น จึงล้มป่วยลงเสียแล้ว
โชคดีที่เขาพกยาแก้าเ็กับยาแก้พิษติดตัวมาด้วย
“เตี้ยนเซี่ย…เตี้ยนเซี่ย…” มู่หรงอวี้ร้องเรียกอย่างร้อนรนใจ
“แค่กๆ…” มู่หรงฉือตื่นขึ้นมาพลางลืมตาน้อยๆ รู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิม ทั้งเวียนหัวหน้ามืด ทั่วทั้งร่างไร้เรี่ยวแรง ตัวร้อนราวถูกไฟเผา ร้อนจนทรมาน
“ข้าช่วยเ้าพันแผลก่อน”
เขาคลายสายรัดเอวของนางออก นางหยุดมือของเขาไว้ตามสัญชาตญาณ เขาปลอบอย่างอ่อนโยน “ต้องจัดการแผลของเ้าเสียก่อน ไม่เช่นนั้นไข้จะไม่ลด”
นางยังมีสติอยู่กึ่งหนึ่ง รู้ว่าเขากำลังทำอะไรแต่ก็ปล่อยเขาไป
เขาแก้ชุดของนางออก เผยให้เห็นบ่าด้านซ้าย ตามนิ้วมือทั้งห้ามีรอยเืเต็มผิวใส น่าใเป็อย่างยิ่ง
ครั้นกวาดตามองไป ผิวขาวผ่องดั่งหิมะนั้นมีความนุ่มอยู่สามส่วน มีความนิ่มสามส่วนและความชุ่มชื้นอีกสามส่วน การยั่วยวนโดยธรรมชาตินี้สะกดหัวใจอันแข็งแกร่งของเขา ไหปลาร้าได้รูปสวยน่ามอง ครั้นเลื่อนลงไปอีกก็เป็จุดที่อ่อนนุ่มที่สุดในโลก ทั้งยังงดงามเป็ที่สุด
หัวใจของเขาสั่นไหว ลอบก่นด่าตัวเองที่จิตใจเตลิดไปเช่นนี้ นี่เป็เวลาใดกัน ยังจะมีความคิดพวกนี้ ไม่ควรเลยจริงๆ!
เขาทายาลงที่ปากแผลของนาง เสื้อผ้าของนางเปียกชื้นไปทุกส่วน ไม่สามารถฉีกเอามาทำเป็ผ้าพันแผลได้ จึงทำได้แค่ให้นางนอนลง รอให้ปากแผลค่อยๆ ซึมซับยาเข้าไป
ต่อมามู่หรงอวี้ก็เก็บกิ่งไม้แห้งรอบๆ มาจุดไฟ ถอดชุดตัวนอกของทั้งคู่ออกแล้วเอาไปวางพาดบนพื้นหญ้าข้างๆ กองไฟ
มู่หรงฉือรู้สึกว่าไม่ทรมานขนาดนั้นแล้ว อยากจะลุกขึ้นมาแต่กลับถูกเขาห้ามเอาไว้
นางมองเขาที่นั่งอยู่ข้างๆ ใบหน้าของเขาขาวซีด ดวงตาไร้ประกาย ริมฝีปากบางเริ่มเป็สีม่วง ท่าทางดูย่ำแย่ หัวใจของนางสั่นไหว พยายามฝืนลุกขึ้นมา “สีหน้าของท่านไม่ดีเลย พิษออกฤทธิ์แล้วใช่หรือไม่?”
“ข้ายังไม่ตายหรอก” มู่หรงอวี้พูดเสียงเบา ตบเบาๆ ลงไปที่มือของนาง
“บ่าขวาของท่านถูกอาวุธโจมตี อาวุธนั่นอาบพิษใช่หรือไม่?” นางดึงเสื้อตัวกลางสีขาวของเขาออก เป็อย่างที่คิด ปากแผลเท่าเข็มเงินเล็กๆ นั้นดำคล้ำ ผิวเนื้อรอบๆ ก็เปลี่ยนกลายเป็สีม่วง
“ข้ากินยาแก้พิษไปแล้ว อีกประเดี๋ยวก็ไม่เป็อะไรแล้ว” เขาแย้มยิ้มน้อยๆ อย่างอ่อนแรง
นางไม่เชื่อคำพูดเขา เดิมทีพิษในตัวของเขาก็ยังไม่ได้ขับออก วันนี้ยังจะโดนอาวุธเคลือบพิษเข้าไปอีก สถานการณ์ยิ่งมีแต่จะแย่ลง
มู่หรงอวี้จัดที่ทาง ก่อนจะดึงนางเข้ามาในอ้อมอก “อาฉือ ข้าเคยพูดเอาไว้แล้ว เ้ายังไม่ตาย ข้าก็จะไม่ตาย”
มู่หรงฉือมองเขาอย่างตกตะลึง ใบหน้าหล่อเหลาไร้ชีวิตชีวากลับแฝงความรู้สึกลึกซึ้งอยู่ คนที่สะท้อนอยู่ในดวงตาคู่นั้นคือคนที่เขาวางไว้อยู่ในใจ
ไม่รู้ว่าผีผลักหรือไม่ นางจึงกอดเขาไว้แน่น
เขาชะงักไป นี่เป็ครั้งแรกที่นางเป็ฝ่ายกอดเขาก่อน เขาถึงกับยิ้มดีใจออกมา ฝ่ามือลูบแผ่นหลังของนาง
เขาร้องเรียกในใจอยู่เงียบๆ ว่า : อาฉือ...
กอดกันอยู่เนิ่นนาน นางถึงจะปล่อยมือออก “ที่นี่คือที่ไหน? ไม่กลับเมืองหรือ?”
“เ้าคิดว่าคุณชายชุดทองจะยอมให้พวกเรากลับเมืองหรือ?” มู่หรงอวี้เชื่อว่าอีกไม่นานคนของคุณชายชุดทองก็จะตามมาถึงที่นี่
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี?”
“ค่อยแก้ไขสถานการณ์ตอนนั้นก็แล้วกัน” เขายิ้มอย่างอ่อนโยน “ผมเปียกไปหมดแล้ว ปล่อยมันลงมาเถิด จะได้แห้งไวๆ”
มู่หรงฉือคลี่ยิ้มเ้าเล่ห์ “ให้ข้าเอาผมท่านลงมาก่อน”
เมื่อถอดกวานออก เส้นผมสีดำนุ่มสลวยของเขาก็ปรกลงมาที่บ่า ดวงหน้าขาวซีดยังคงงดงามไร้ริ้วรอยแห่งกาลเวลา
ใบหน้าของมู่หรงอวี้ฉายความร้ายกาจ “ให้ข้าช่วยเ้า”
นางรีบหลบออกมาตั้งนานแล้ว คลานออกไปทางนั้น เขาก็คลานตามนางไป แขนข้างหนึ่งโอบนางเข้ามาในอ้อมกอด มือหนึ่งถอดกวานทองออก เส้นผมก็สยายตัวลงมา
เส้นผมเปียกชื้นที่แผ่สยายขับใบหน้าเล็กให้เด่นชัดขึ้น
ดวงหน้าใสไร้เครื่องประทินผิว ผิวขาวดั่งหิมะ ดวงหน้างดงามหลอมรวมความงามของเครื่องหน้าเข้าไว้ด้วยกัน ดวงตาดำเปล่งประกายราวไข่มุกในบ่อน้ำหน้าหนาวทอประกายวิบวับ
เขาลูบแก้มนางเบาๆ ถึงแม้ว่าสีหน้าของนางจะย่ำแย่ กลับยิ่งทำให้นางดูอ่อนแองดงามจนใจกระตุก
นี่เป็ครั้งแรกที่เขาเห็นยามนางปล่อยผม ทำเอาใจเต้นแรง อดไม่ได้ที่จะก้มหน้าลงไปจุมพิตริมฝีปากอันแห้งผากของนาง
มู่หรงฉือหลุบตาลงด้วยความเขินอาย เบือนหน้าหนีไม่ให้เขาจุมพิต
เขาเชยคางนางขึ้นมา จ้องมองนางเงียบๆ
เวลานี้ม่านราตรีได้โรยตัวลงมาแล้ว ดวงดาวค่อยๆ ส่องแสง กองไฟที่จุดเอาไว้ส่งเสียงดังเผียะผะ แสงสีแดงเรืองรองส่องกระทบไปยังดวงหน้าขาวของนาง อาจเป็เพราะใบหน้าที่แดงอย่างผิดปกตินั้นเกิดจากความรู้สึกภายใน สีแดงระเรื่อยังลามไปตามใบหูและลำคอ ดูมีเสน่ห์เย้ายวนอย่างยิ่งยวด
นางรู้สึกร้อนรุ่มไปทั้งร่าง พวงแก้มร้อนจัด ราวถูกไฟแผดเผาจนโลกแทบพลิกคว่ำ
“พรวด...”
ทันใดนั้น มู่หรงอวี้ก็กระอักเืสีดำออกมา
นางแตกตื่น “ทำไมถึงเป็เช่นนี้?”
มู่หรงอวี้เช็ดเืที่มุมปาก พูดเสียงแหบพร่า “ไม่มีอะไร”
มู่หรงฉือพูดอย่างหงุดหงิด “กระอักเืออกมาเช่นนี้แล้วยังจะบอกว่าไม่เป็อะไรอีก”
เขาโอบนางเข้ามาในอ้อมแขน หัวเราะเบาๆ อย่างมีเสน่ห์ “เป็ห่วงข้าถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้