บทที่ 97 เก่งกาจจริงๆ แต่เธอโมโหยิ่งกว่าเดิมอีก
แสงไฟสว่างวาบราวกับทำให้ห้องเงียบสงัดยิ่งกว่าเดิม
แสงแยงตาดึงสติของลู่จิ่งซานให้กลับคืนมา เขามองสบดวงตาผลซิ่งใสแจ๋วของสวี่จือจือพอดี
“เอ่อ...ฉันช่วยพยุงคุณไปนอนบนเตียงดีไหม?” เธอเอ่ยถาม
“ผมทำเองได้” ลู่จิ่งซานตอบกลับอย่างห่างเหิน
“คือว่า...”
สวี่จือจือพลันนึกขึ้นมาได้ว่า ห้องส้วมในชนบทเป็แบบเปิดโล่ง ไม่มีห้องน้ำในตัว แล้วปกติเธอแทบจะไม่ลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำกลางดึกเลย ห้องของเธอจึงไม่มีกระโถน แต่บ้านอื่นๆ ในหมู่บ้านมักจะวางกระโถนหรือถังปัสสาวะไว้ในห้องตอนกลางคืนแล้วค่อยนำไปเททิ้งในตอนเช้าตรู่
“เดี๋ยวฉันไปเอากระโถนมาให้” สวี่จือจือว่า
“สวี่จือจือ” ลู่จิ่งซานหัวเราะเยาะตัวเอง “ดูผมสิ แม้แต่จะเข้าห้องน้ำยังต้องให้คนช่วย คุณอยากได้อะไรจากผมกัน?”
“นั่นสิ ฉันอยากได้อะไรจากคุณกัน?” สวี่จือจือเหลือบมองเขา “ก็แค่หน้าตาดีเท่านั้นแหละ”
ใบหน้าของลู่จิ่งซานยิ่งดำคล้ำลงไปอีก
“แล้วคุณจะเข้าห้องน้ำไหม?” ดวงตาผลซิ่งของเธอจ้องมองชายหนุ่มอย่างท้าทาย “ไม่ต้องห่วง ฉันไม่แอบดูหรอก”
ลู่จิ่งซานพูดไม่ออก
นานๆ ทีสวี่จือจือจะได้เห็นเขาลำบากใจเช่นนี้ ในใจอยากจะหัวเราะออกมา แต่ยังคงทำหน้าเคร่งขรึม เธอพึมพำเบาๆ “เหมือนเห็ดเข็มทอง มีอะไรน่าดู”
แต่ก็แค่คำพูดประชดประชันเท่านั้น
วันนั้นเธอไปหาผลไม้ป่าบนูเา แล้วได้ยินเด็กชายหลายคนกำลังแข่งกันฉี่ว่าใครฉี่ได้ไกลกว่ากัน ตอนนั้นสวี่จือจือแทบจะกลั้นขำไว้ไม่อยู่ ปรากฏว่าเด็กผู้ชายไม่ว่าจะยุคไหนสมัยไหนก็ชอบเล่นแข่งฉี่เหมือนกัน
ตอนแรกเธอคิดว่าไม่เกี่ยวกับตัวเอง กำลังจะหาที่อื่นเพื่อลองเสี่ยงโชคดูก็ได้ยินเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่แพ้บ่นว่า
“นายชนะฉันแล้วมันยังไง มีปัญญาไปแข่งกับอาจิ่งซานสิ” เด็กชายพูดอย่างไม่ยอมแพ้ “พ่อฉันบอกว่าในหมู่บ้านเราไม่มีใครใหญ่เท่าของลู่จิ่งซานแล้ว เขาฉี่ได้ไกลที่สุดแล้ว”
“ใช่ อาโก่วต้านของฉันก็พูดแบบนั้น” เด็กชายอีกคนว่า
เด็กคนอื่นๆ พยักหน้าอย่างจริงจัง พวกเขารู้กันหมด แล้วเด็กอ้วนที่ชนะก็ร้องไห้จ้าออกมา
“ฉันสู้ไม่ได้” เขาปิดตาตัวเอง
ตอนนั้นสวี่จือจือแทบจะขำจนท้องแข็ง แต่ก็เริ่มอยากรู้เื่ของลู่จิ่งซานขึ้นมา
มันจะร้ายกาจขนาดนั้นจริงๆ เหรอ? ส่วนที่บอกว่าเป็เห็ดเข็มทองก็เพื่อจะแกล้งให้ลู่จิ่งซานโมโหเท่านั้น
ได้ผล ใบหน้าของลู่จิ่งซานดำคล้ำยิ่งกว่าเดิม เขาเม้มปาก อยากจะระบายโทสะแต่ก็ฝืนทนไว้
“ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งไม่จำเป็ต้องมาเสียเวลากับผม” ลู่จิ่งซานพูดออกมาในที่สุด
คราวนี้ถึงตาสวี่จือจือพูดไม่ออก
“ใช่แล้วๆ” เธอพูดอย่างโกรธเคือง “คิดว่าฉันอยากนักหรือไง?
“สามปี” เธอยกนิ้วขึ้นมา “ไม่สิสองปี สองปีฉันจะไปจากที่นี่ทันที แต่ถึงตอนนั้นอย่ามาเสียใจภายหลังนะ ฉันไม่ใช่คนที่จะง้อกันง่ายๆ”
เธอก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกัน ถูกลู่จิ่งซานปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้ จะไม่งอนได้ยังไง?
“ถ้าฉันไปตอนนี้” สวี่จือจือว่า “ฉันจะถูกชาวบ้านนินทาไปตลอดชีวิต”
ลู่จิ่งซานคิดดูแล้ว “ก็ได้” เขาพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “คืนนี้ผมจะย้ายไปอยู่ห้องของจิ่งเหนียน”
“ลู่จิ่งซาน” สวี่จือจือหัวเราะเยาะ “คุณคิดว่าฉันสวี่จือจือกระหายผู้ชายขนาดนั้นเลยเหรอ หรือว่ากลัวจะต้านทานเสน่ห์ของฉันไม่ได้แล้วเสียใจภายหลัง?”
“ผมไม่ได้คิดแบบนั้น” ลู่จิ่งซานพูดอย่างจนปัญญา
“ไม่ได้คิด?” สวี่จือจือขึ้นเสียงดังอย่างอดไม่ได้ “แล้วคุณจะย้ายไปอยู่กับจิ่งเหนียน คุณกลัวคนอื่นจะไม่รู้หรือไงว่าพวกเราแต่งงานกันปลอมๆ?”
“แต่แบบนั้นมันจะทำให้คุณเสื่อมเสียชื่อเสียง...”
“ลู่จิ่งซาน ฉันไม่คิดเลยว่าคุณจะเป็คนหัวโบราณขนาดนี้” สวี่จือจือพูดอย่างผิดหวัง “แถมยังชอบหลอกตัวเองอีกด้วย อ้อ คุณคิดว่าถ้าคุณย้ายไปอยู่ห้องของจิ่งเหนียน พออีกสองปีพวกเราหย่ากัน ฉันก็ยังเป็สาวบริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนเดิมงั้นเหรอ?”
“หรือว่า” เธอหัวเราะเยาะมองเขา “คุณอยากจะนอนบนพื้น?”
ลู่จิ่งซานประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อกี้เขาคิดแบบนั้นจริงๆ
“ปิดหูขโมยกระดิ่ง[1]” สวี่จือจือพ่นคำสี่คำออกมาจากริมฝีปากสีแดงราวเชอร์รี เป็การเยาะเย้ยอย่างโจ่งแจ้ง
ความรู้สึกดีๆ ที่ลู่จิ่งซานสะสมไว้ก่อนหน้านี้พังทลายลงไปเกือบหมดสิ้น เธอพบว่าเธอใจดีกับลู่จิ่งซานมากเกินไปแล้ว หมอนี่ทำให้เธอโกรธจนแทบตายแล้ว
“ตอนนี้คุณเป็คนป่วย” เธอขึ้นไปบนเตียงพลางปูที่นอนไปด้วย “ถ้านอนบนพื้นแล้วเกิดอะไรขึ้นมา ฉันรับผิดชอบไม่ไหวหรอก แล้วก็ตอนนี้ฉันไม่ได้สนใจคุณเลยสักนิด”
เธอใช้ไม้กวาดกวาดเตียงอย่างแรง ลู่จิ่งซานมีเหตุผลที่จะเชื่อว่าถ้าไม่ใช่เพราะเขาาเ็ วันนี้ไม้กวาดคงจะฟาดลงบนตัวเขาไปแล้ว
ไม่สนใจแล้วเหรอ?
ไม่รู้ทำไม ทั้งที่อยากจะไล่เธอไปแท้ๆ แต่พอได้ยินเธอพูดแบบนี้ หัวใจก็ยังเ็ปอยู่ดี
“คุณว่ายังไงก็ว่าตามนั้นเถอะ” เขายอมแพ้ที่จะต่อสู้แล้ว ยังไงซะหลังจากนี้ก็คงมีเื่แบบนี้อีกเยอะ
พอจัดเตียงเรียบร้อยลู่จิ่งซานก็ไม่รอให้สวี่จือจือพูดอะไร เอามือยันขอบเตียงไว้แล้วหมุนตัวกลางอากาศหนึ่งรอบครึ่งอย่างสวยงาม ขึ้นไปนอนบนเตียงได้อย่างมั่นคง
ท่าทางนั้นได้มาตรฐานยิ่งกว่านักกีฬาในสนามโอลิมปิกซะอีก
สวี่จือจือ “...” เก่งกาจจริงๆ แต่เธอโมโหยิ่งกว่าเดิมอีก!
ในเพิงข้างๆ ก็มีความไม่ลงรอยกันเช่นกัน
โจวเป่าเฉิงยืนอยู่บนพื้นครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เดินเอ้อระเหยไปที่ขอบเตียง กำลังจะขึ้นไปนอนบนเตียง อันฉินบนเตียงก็ลุกขึ้นนั่ง
ปั้ก!
มีอะไรบางอย่างกระแทกเข้าที่หน้าผากของโจวเป่าเฉิงแล้วตกลงบนพื้น
“เธอเป็บ้าไปแล้วเหรอ” โจวเป่าเฉิงกุมหน้าผากมองอันฉินอย่างโกรธเคือง
“ฉันเป็บ้า?” อันฉินพูดทั้งน้ำตา “ฉันต่างหากที่ต้องถามว่านายเป็บ้าไปแล้วเหรอ? ปล่อยให้พวกผู้ชายหยาบคายมาแกล้งภรรยาตัวเอง นายเห็นฉันเป็ภรรยาหรือเปล่า?”
เธอตาถั่วขนาดไหนกันถึงได้แต่งงานกับคนสารเลวแบบนี้!
“มันไม่ใช่...” โจวเป่าเฉิงเสียงอ่อนลงแล้วหยิบไม้กวาดที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา “พวกเราที่นี่มีประเพณีแบบนี้ไม่ใช่เหรอ? ยิ่งแกล้งภรรยาในวันแต่งงานสนุกสนานเท่าไหร่ ชีวิตก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น ฉันก็ทำเพื่อครอบครัวของเราทั้งนั้นแหละ”
“จริงเหรอ?” อันฉินมองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ
“แน่นอนสิ” โจวเป่าเฉิงรีบพูด “ไม่งั้นฉันจะยอมให้คนอื่นมาแกล้งภรรยาได้ยังไง? เธอเป็ภรรยาของฉันนี่นา”
“ฉันไม่ใช่คนโง่นะ”
“ถ้าเธอไม่เชื่อ พรุ่งนี้ก็ไปถามคนในหมู่บ้านดูได้ ถามดูว่ามีเื่แบบนี้หรือเปล่า” โจวเป่าเฉิงพูดอย่างหนักแน่น
อันฉินเห็นว่าเขาพูดเหมือนไม่ได้โกหกก็พยักหน้าอย่างเสียไม่ได้
“เธอไม่ได้อยากได้น้ำร้อนเหรอ?” พอเห็นเธอพยักหน้าโจวเป่าเฉิงก็รีบเอาใจ “เดี๋ยวฉันไปต้มให้เดี๋ยวนี้เลย รอแป๊บนึงนะ”
“ไม่ต้อง...” อันฉินกำลังจะบอกว่ามันดึกมากแล้ว รีบเข้านอนดีกว่า
โจวเป่าเฉิงกลับวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว อันฉินยิ้มอย่างพอใจ
ผู้ชายคนนี้ถึงแม้บางครั้งจะไม่น่าไว้ใจแต่ก็ฝึกได้ไม่เลวเลย อย่างเช่นตอนนี้เชื่อฟังขนาดรีบไปต้มน้ำให้แล้ว? ถ้าเื่ในวันนี้เกิดขึ้นกับลู่จิ่งซาน คนหยิ่งทะนงอย่างเขาจะไปต้มน้ำร้อนให้สวี่จือจือเหรอ?
อ้อ ใช่สิ
อันฉินนึกถึงตรงนี้ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นขึ้นมา ตอนนี้ลู่จิ่งซานเป็คนพิการนั่งอยู่บนรถเข็นไปแล้ว จะให้ต้มน้ำคงเป็ไปไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการอาบน้ำให้ ไม่ต้องพูดถึงเื่ส่งตัวเข้าหอเลย
ฮ่าๆ รอให้เธอได้เข้าหอคืนนี้ พรุ่งนี้เธอจะไปคุยโอ้อวดกับสวี่จือจือให้เต็มที่
ลู่จิ่งซานเก่งกาจแล้วยังไง ใครจะอยากแต่งงานกับคนพิการกัน?
แต่อันฉินที่นอนอยู่บนเตียงรอแล้วรอเล่า ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน รอจนเธอหลับไปแล้วก็ยังไม่เห็นน้ำร้อนของโจวเป่าเฉิง ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ฟ้าสว่างแล้ว
เธอรีบลุกขึ้นนั่งก็เห็นโจวเป่าเฉิงนอนอยู่ข้างๆ เหมือนคนตาย
“เป่าเฉิง” อันฉินเขย่าตัวเขา “รีบตื่นเร็ว”
“ขอนอนหน่อยนะ” โจวเป่าเฉิงพลิกตัวอย่างไม่พอใจ ห่มผ้าแล้วหลับต่อ
อันฉิน “...” แล้วคืนส่งตัวเข้าหอที่เธอรอคอยมาทั้งคืนล่ะ?
การเข้าหอที่เธอรอคอยมานานแสนนานล่ะ? เป็แค่ความว่างเปล่าอย่างนั้นเหรอ? แล้วเธอจะเอาอะไรไปอวดสวี่จือจือได้ล่ะ?
.............................
[1] ปิดหูขโมยกระดิ่ง เป็สำนวน หมายถึง หลอกตัวเองคิดว่าคนอื่นไม่รู้ แต่ความจริงกลับปกปิดอะไรไม่ได้