ร้านขายยาหมื่นสรรพสิ่ง
จื่อซวินเอ๋อนั่งอยู่บนระเบียงห้องใต้หลังคา มองดูฝูงชนที่วุ่นวายด้านล่าง ดวงตาของนางตกตะลึง โดยไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
“คุณหนู” เสียงแหบแห้งดังขึ้น
ดวงตาทั้งคู่ของจื่อซวินเอ๋อสว่างขึ้น ก่อนจะเลิกคิ้วและเอ่ยขึ้นมา “มีข่าวมาแล้วหรือ?”
“ตอนนี้สามารถระบุตำแหน่งโดยประมาณของตำหนักเต๋าได้แล้ว น่าจะเป็บริเวณรัศมีรอบนอกของแดนสุสานอสูรห่างจากตอนเหนือของเมืองหลักเทียนอู่ไปสามร้อยลี้” ผู้าุโที่ยืนอยู่ข้างกายจื่อซวินเอ๋อค่อยๆ อธิบาย
“เวลาเดือนกว่า จะว่ายาวก็ยาว จะว่าสั้นก็สั้น จัดเตรียมแดนสุสานอสูรนั่นให้เรียบร้อย เมื่อตำหนักเต๋านั่นถือกำเนิดขึ้น ก็จำเป็ต้องยึดเพลิงของอสุนีบาตไว้ซะ” จื่อซวินเอ๋อหรี่ตาลงเล็กน้อย
“เมื่อเพลิงอสุนีบาตปรากฏขึ้นมา จะต้องเกิดนิมิตขึ้นบนโลก สำนักใหญ่ทางตะวันออกก็คงรับรู้ได้ หากคิดจะล้วงคอเสือ ด้วยคนที่พามาในครั้งนี้ นั่นเป็เื่ยาก เป็เื่ยากยิ่งนัก แม้ว่าสำนักอื่นๆ จะไม่รู้จักเพลิงอสุนีบาต แต่สำนักโบราณเทียนหลงจะต้องคาดเดาได้อย่างแน่นอน และในที่สุด หากพวกเขาได้ร่างของอสูรวานรตัวนั้นไป ก็จะสามารถค้นพบพลังปราณอสุนีบาตได้”
“ดังนั้น คนของเราคงจะใกล้ถึงแล้วสินะ ผู้าุโ ช่วยให้คนนำข่าวนี้ไปแจ้งสำนักกุยหยวนด้วย ว่าได้ค้นพบเบาะแสของปรมาจารย์เทียนหยวนแห่งสำนักกุยหยวนแล้ว สันนิษฐานว่า เมื่อสำนักกุยหยวนได้รับรู้ พวกเขาจะต้องแห่กรูกันออกมาอย่างแน่นอน” จื่อซวินเอ๋อกล่าวช้าๆ
ใบหน้าอันแก่ชราของผู้าุโในชุดดำดูตกตะลึงเล็กน้อย เขาเงยหน้ามองจื่อซวินเอ๋อ และพูดอย่างเป็กังวล “คุณหนู... เอ่อ... หากสำนักกุยหยวนเข้าร่วมด้วย เื่ทั้งหมดจะยิ่งยุ่งเหยิงและยากจะควบคุมมากขึ้น”
“ยิ่งวุ่นวายยิ่งมีความหวัง สำนักโบราณเทียนหลงนั้น เส้นสนกลในของสำนักโบราณนั้นลึกซึ้งยิ่งนัก หากพวกเขาตรวจสอบพบเพลิงอสุนีบาต พวกเขาก็คงยิ่งแห่แหนกันออกมาอย่างรวดเร็ว และด้วยปรมาจารย์ยังไม่ออกจากการเก็บตัวบำเพ็ญ เป็เื่ยากที่ตระกูลจื่อจะทำการต่อต้านพวกผู้เฒ่าประหลาดของสำนักโบราณเทียนหลงในอาณาเขตของพวกเขา! ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับการลงมือในครั้งเดียวนี้ เพลิงอสุนีบาตเป็สิ่งที่จะต้องเอามาให้ได้ และเราจะเสียเปรียบสำนักโบราณเทียนหลงไม่ได้” จื่อซวินเอ๋อกะพริบตาพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เ็า
ผู้าุโเหลือบมองจื่อซวินเอ๋ออย่างมีนัย
“อีกอย่าง... ถงอวิ๋นเฟยก็คงจะถึงแล้วสินะ” จื่อซวินเอ๋อแย้มมุมปากเล็กน้อย เผยรอยยิ้มออกมา ก่อนจะพูดอย่างเรียบเฉย
“จะให้ทำอะไรได้ล่ะ แดนสุสานอสูรใหญ่โตขนาดนี้ แล้วเมื่อไรจะหาพบล่ะ? หลี่เทียนจีเ้าช่วยพยากรณ์ให้ข้าหน่อยสิ”
ในส่วนลึกของแดนสุสานอสูร สยงท่าเทียนพูดอย่างหมดความอดทน และในขณะที่พูด เขาได้ต่อยต้นไม้สูงตระหง่านข้างๆ ตัวเขาและหักเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ใบหน้าเคร่งขรึมของหลี่เทียนจีแสดงความรู้สึกหงุดหงิดออกมา สยงท่าเทียนคนนี้ทำตัวเป็เหมือนเด็กๆ ชอบสร้างความรำคาญใจให้กับเขาเสมอ หากไม่ใช่เพราะสยงท่าเทียนยังมีสติปัญญาที่ไม่พัฒนาเช่นนี้ หลี่เทียนจีจึงคิดไม่ถือสา ในตอนนี้ หลี่เทียนจีที่รู้สึกไม่สบายใจได้หันไปมองฉินอวี่ ราวกับว่ามีอะไรที่้าพูดคุยกับเขา
และตอนนี้ฉินอวี่กำลังค่อยๆ ปล่อยกระบวนท่าไปทีละชุด สองเดือนมานี้ เขาพยายามที่จะคิดค้นเคล็ดการต่อสู้ตลอดเวลา จนเกิดเป็เคล็ดวิชาต่อสู้ที่มีชื่อว่าหมัดะเิฟ้า
ใน่เริ่มต้นที่สำนักเทียนฉีได้กลายเป็สำนักระดับต้นๆ ของแดนเซียนอู่ เคล็ดวิชาการต่อสู้และวิชาเต๋าทั้งหมดที่ได้รับมา โดยส่วนมากแล้วยังคง้าพลังิญญาที่มากพอมาคอยสนับสนุน ดังนั้น ด้วยระดับการฝึกฝนของเขาในตอนนี้ หลังจากลองค้นดูแล้วดูอีก ฉินอวี่ก็ค้นพบได้เพียงเคล็ดการต่อสู้ระดับต้นที่เหมาะสมกับเขา
หมัดะเิฟ้า!
การศึกษาหมัดะเิฟ้านั้นจะให้ความสำคัญกับจำนวนหมัดที่ปล่อยออกไปหลายต่อหลายครั้งอย่างต่อเนื่อง และที่นี่ยังให้ความสนใจกับเื่ความเร็วสูงสุด เพื่อช่วยระบายพลังงานทั้งหมดออกไป ยิ่งปล่อยหมัดในเวลาอันสั้นที่สุดออกไปได้มากเท่าไร พลังก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น
วิชานี้สามารถใช้กับวิธีการทับซ้อนได้ หากสามารถซ้อนทับพลังไว้ด้วยกันได้ และปล่อยการโจมตีออกไปได้จำนวนมากในระยะเวลาอันสั้น เช่นนี้แล้วก็สามารถจินตนาการได้ถึงความแข็งแกร่งของพลังนั้นจริงๆ
ใน่สองเดือนที่ผ่านมา ระดับการฝึกฝนของฉินอวี่ได้เข้าสู่ระดับที่แปดของขั้นยุทธ์แล้ว และเขายังได้ดื่มเืของอสูรร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ร่างอันอ่อนแอของเขามีความแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน ทุกด้านๆ ในร่างกายล้วนแต่เริ่มยกระดับขึ้นทั้งสิ้น
ในตอนนี้ฉินอวี่สามารถปล่อยหมัดออกไปได้ถึงห้าครั้งในระยะเวลาเพียงหนึ่งลมหายใจ!
“น่าเสียดาย มีเพียงการใช้วิชาปีศาจคลั่งเท่านั้นที่สามารถซ้อนทับพลังกันได้ ไม่เช่นนั้น หากเป็สถานการณ์ปกติก็นับว่าความเพียงพอที่จะใช้พลังของว่านจ้งและหมัดะเิฟ้าสังหารชุยซั่ว!” ฉินอวี่พึมพำกับตนเอง ราวกับกำลังสังเกตเห็นสายตาของหลี่เทียนจี จากนั้นฉินอวี่ก็เหลือบไปมองสยงท่าเทียน จิตใจของเขาจึงเริ่มรู้สึกขมขื่นอยู่ภายในใจ
ใน่ไม่กี่เดือนแห่งการอยู่ร่วมกัน นับว่าฉินอวี่ก็เป็ผู้คอยดูแลสยงท่าเทียน ซึ่งเป็เหมือนะเิเวลาที่โมโหขึ้นมาได้ทุกเมื่อ และก็ไม่รู้ว่านี่เป็ครั้งที่เท่าไรแล้วที่ใช้คำพูดเช่นนี้ บ่นอยู่เช่นนี้เกือบจะทุกสองวัน
หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ฉินอวี่ก็เหลือบมองหลี่เทียนจีและกล่าวว่า “หลี่เทียนจี เ้าจะลองพยากรณ์ดูหน่อยไหม ลองดูว่าจะสามารถรู้ตำแหน่งโดยเฉพาะของเืของวานรานั่นได้หรือไม่? ในป่าแดนสุสานอสูรแห่งนี้เป็แหล่งรวมอสูรร้ายเป็จำนวนมาก การตามหาต่อไปเช่นนี้มันไม่ใช่วิธีที่ดีเลย” ฉินอวี่้าอาศัยจังหวะนี้เพื่อพิจารณาว่าหลี่เทียนจีจะสามารถพยากรณ์ได้จริงหรือไม่ และ้าจะดูกระบวนการของการพยากรณ์นี้ด้วย
หลี่เทียนจีขมวดคิ้ว มองไปที่สยงท่าเทียนที่กำลังจ้องมองเขาอยู่ ใบหน้าเคร่งขรึมของเขาเริ่มลังเลและกล่าวว่า “ให้ข้าพยากรณ์ให้ย่อมได้ แต่ข้าอาจไม่สามารถพยากรณ์ตำแหน่งที่ถูกต้องได้”
“เ้าก็ลองพยากรณ์มาก่อนค่อยพูดอีกที!” สยงท่าเทียนกล่าวอย่างหมดความอดทน
หลี่เทียนจีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หยิบผ้าขาวผืนนั้นออกมา และหลังจากมองไปทางฉินอวี่ จากนั้นก็หลับตาลง พูดพึมพำอยู่ในปากของเขา
ไม่นาน เส้นหนาทึบก็ลอยอยู่บนผ้าขาว นั่นคือสิ่งที่ฉินอวี่เคยเห็นในตอนแรก ในที่สุดเมื่อเขาได้ยินหลี่เทียนจีพึมพำอะไรบางอย่าง ดูเหมือนว่าเขาจะจงใจลดเสียงของเขาลง เพื่อให้ฉินอวี่ได้ยินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และด้วยคำพูดไม่กี่คำนี้ทำให้ฉินอวี่ยิ่งสับสนมากขึ้น
“จงปรากฏ!” หลี่เทียนจีเปล่งเสียงต่ำขึ้นในทันใด ดวงตาของเขาเบิกกว้าง และม่านตาแปลกๆ ก็แผ่กระจายออกไปเป็แสงจางๆ ราวกับลำแสงสองสายที่ปกคลุมไปบนผืนผ้าไหมสีขาว
ฉินอวี่และสยงท่าเทียนนั่งดูผ้าขาวผืนนั้นด้วยความประหลาดใจ จากนั้นเมื่อหันมองหลี่เทียนจี ใบหน้าของพวกเขาก็สงสัยและประหลาดใจ ไม่มีอะไรปรากฏบนผ้าขาว?
ขณะที่ทั้งสองกำลังประหลาดใจ หลี่เทียนจีก็กระอักเืออกมาทันที ใบหน้าแดงก่ำของเขาซีดจางลงอย่างรวดเร็ว และตัวเขาดูอ่อนแอลงมาก แต่เขาก็ค่อยๆ เงยศีรษะขึ้นและมองไปทางด้านซ้ายตรงเบื้องหน้า ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยความใ
“หลี่เทียนจี สรุปว่าเ้าพยากรณ์อะไรออกมาได้บ้างหรือไม่?” สยงท่าเทียนถามอย่างเร่งรีบเมื่อเห็นท่าทางของหลี่เทียนจี
“ที่นี่... สิ่งวิเศษอันยิ่งใหญ่จะถือกำเนิดขึ้น!” หลี่เทียนจีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“สิ่งวิเศษอันยิ่งใหญ่?” สยงท่าเทียนและฉินอวี่หันสบตากัน มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ในดวงตาของสยงท่าเทียนดูมีแววประกายกะพริบอยู่ จนลืมเื่เืของวานราไปทันที และกล่าวอย่างประหลาดใจ “ของวิเศษอะไรกัน? หลี่เทียนจีเ้ารีบบอกมาสิ”
“ข้าไม่แน่ใจ แต่ข้าคาดว่าอาจมีตำหนักเต๋าถือกำเนิดขึ้น อีกอย่าง... ก็ไม่น่าเกินหนึ่งเดือนข้างหน้า!” หลี่เทียนจีกล่าวด้วยความใ
“สหายน้อย ไม่ทราบว่าทิศทางที่เฉพาะเจาะจงของตำหนักเต๋าอยู่ทางไหน?” ขณะที่สยงท่าเทียนและฉินอวี่กำลังตกตะลึง ก็มีเสียงที่แหบแห้งดังขึ้นทันที
ผู้มาถึงเป็ผู้าุโคนหนึ่งในชุดสีดำ เขามีใบหน้าแดงก่ำและคิ้วสีขาวของเขายาวลงไปถึงริมฝีปาก เขาดูท่าทางใจดีมาก ดวงตาที่หรี่ลงเล็กน้อยของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และเขาก็ดูเหมือนเฒ่าทารกที่ไม่ยอมแก่
ทั้งสามคนต่างตกตะลึง เมื่อเห็นผู้าุโชุดดำที่แปลกประหลาดมาปรากฏขึ้นข้างๆ เขา การแสดงออกของพวกเขาก็ต่างกัน สยงท่าเทียนกำลังโกรธ ฉินอวี่ประหลาดใจ และหลี่เทียนจีก็กำลังแปลกใจเช่นกัน
ฉินอวี่จ้องมองผู้าุโชุดดำและรู้สึกใเล็กน้อย เขาเคยเห็นผู้ชายที่แข็งแกร่งมาเป็จำนวนไม่น้อย แม้ว่าผู้แข็งแกร่งจำนวนมากที่มีระดับฝึกฝนถึงระดับหนึ่งจะสามารถระงับพลังปราณลงได้ แต่ฉินอวี่เคยฝึกฝนวิชาตาไฟตาทองมาก่อนในสำนักเทียนฉี เพื่อทำการวิเคราะห์ระดับการฝึกฝนของผู้คนผ่านพลังปราณและการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดิน
ดังนั้น เมื่อผู้าุโชุดดำคนนี้ปรากฏตัวขึ้น ฉินอวี่จึงรีบวางเงื่อนไขในการตั้งข้อสันนิษฐานทันที แต่ผลสรุปกลับทำให้ฉินอวี่ต้องะโขึ้นอย่างรุนแรง
นี่คือผู้แข็งแกร่งระดับเขตแดนเต๋า!
“เ้าเป็ใคร? เ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังทำให้พวกข้าใแทบสะดุ้ง?” สยงท่าเทียนไม่ได้คิดมาก เขากำลังเต็มไปด้วยความโกรธ จ้องมองไปที่ผู้าุโที่สวมชุดดำ และพับแขนเสื้อราวกับว่าเขากำลังจะลงมือทำบางสิ่งบางอย่าง