การที่ลูกหลานของัสองชนิดรวมกันแล้วให้กำเนิดัที่ทรงพลังกว่า ทั้งหมดนี้เป็เพราะพลังของเผ่าัได้รับการส่งต่อมาทางสายเื ดังนั้นจึงมีคำกล่าวว่า เืัมีิญญา
ิญญานี้ หมายถึง จิติญญา
ขวดเืัในมือของหลัวเลี่ยมาจากัระดับทลายยุทธ์ ซึ่งอยู่ต่ำกว่าระดับกายทองคำเพียงหนึ่งก้าว หมายความว่า เืันี้แข็งแรงมาก
ดังนั้น หลัวเลี่ยผู้ฝึกฝนเคล็ดวิชาั์จึงระมัดระวังอย่างมาก และนำออกมาเพียงหยดเดียว
เขาหยดเืัลงบนหน้าอกตรงตำแหน่งหัวใจ
เมื่อเืัหยดลงไปแล้ว ในตอนแรกไม่เกิดปฏิกิริยาใดๆ แต่เมื่อหลัวเลี่ยกระตุ้นพลังในร่างกายของเขาให้ไหลผ่านเส้นลมปราณรอบๆ หัวใจ เืัก็แสดงพลังของัออกมา เกิดเป็เงาร่างัแทรกซึมผ่านิัภายนอกเข้ามาถึงภายในหัวใจ
การเข้าสู่หัวใจที่แข็งแกร่งนี้เป็วิธีชำระล้างร่างกาย
เมื่อหยดเืเข้าสู่หัวใจ ทำให้หัวใจเต้นอย่างรุนแรง
หลัวเลี่ยรู้สึกหายใจไม่ทั่วปอด และอึดอัดไปทั้งตัว แต่ไม่ได้เป็ความรู้สึกที่ร้ายแรงมากนัก
เพียงเจ็ดถึงแปดลมหายใจเข้าออก ความรู้สึกอึดอัดนี้ก็หายไป เมื่อเขาสำรวจภายในร่างกาย ก็พบว่ามีที่กั้นบางๆ สีเืปรากฏขึ้นที่หัวใจ ซึ่งแทบเป็ไปไม่ได้ที่จะมี แต่มันก็มีจริงๆ
ที่กั้นบางๆ นี้ดูเหมือนจะช่วยปกป้องหัวใจ
“ที่แท้”
“เนื้อหาที่ราชันัเพิ่มลงไปในหนังสือเล่มนี้ก็เป็ความจริง”
“ถ้าพลังวรยุทธ์อยู่ในระดับที่สูงมากแล้ว การชำระล้างร่างกายด้วยเืัจะไม่เพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกายอีกต่อไป เพราะแข็งแกร่งเพียงพอแล้ว แต่จะแสดงคำพูดที่ว่า เืัมีิญญา ด้วยการสร้างเกราะป้องกันภายในโดยอัตโนมัติ”
“สิ่งที่เรียกว่าการป้องกันภายใน คือการสร้างชั้นขึ้นกั้นป้องกันอวัยวะภายใน แม้ดูเหมือนว่าไม่มีประโยชน์ แต่ในความเป็จริงมันมีผลที่ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ส่งผลให้ทำได้แม้กระทั่งการปกป้องชีวิต”
หลัวเลี่ยมองไปที่ขวดเืัในมือ
เขามีความตื่นเต้นจริงแล้ว
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เมื่อเขาระงับอารมณ์ตื่นเต้นได้แล้ว เขาก็เริ่มนำเืัออกมา และค่อยๆ นำไปใช้กับส่วนต่างๆ ในร่างกายของเขาทีละน้อย
เนื่องจากระดับของเขาต่ำเกินไป แม้ว่าร่างกายของเขาจะถูกฝึกฝนด้วยเคล็ดวิชาั์ที่ดีเพียงใด แต่ความอดทนของเขาก็มีจำกัด
ดังนั้น ทุกครั้งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นทีละน้อยนั้น ความรู้สึกที่เกิดขึ้นแม้ไม่สามารถพูดได้ว่าเ็ป แต่ก็สามารถพูดได้ว่ารู้สึกอึดอัด แต่เมื่อเทียบกับความเ็ปจากการเปลี่ยนแปลงพลังในอดีตแล้ว การเปลี่ยนแปลงในตอนนี้ก็นับว่าผ่อนคลายกว่ามาก
ในท้ายที่สุด เขาก็ดูดซับเืัจากสี่ในห้าส่วนเพื่อชำระล้างร่างกายได้สำเร็จ
ด้วยวิธีนี้ รูปร่างภายนอกของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก ไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่เมื่อใช้เืัแล้วจะปรากฏไอัอ่อนๆ ออกจากร่างกาย ซึ่งสามารถทำให้ตรวจจับได้ง่าย แต่บนร่างกายของเขากลับไม่มีเลยแม้แต่น้อย
และหากมองเข้าไปถึงภายใน ก็จะพบว่าอวัยวะภายในของหลัวเลี่ยนั้นมีที่กั้นบางๆ ที่ดูเปราะบางคลุมปกป้องอวัยวะภายใน เส้นเอ็น กล้ามเนื้อ เส้นเื และอื่นๆ อยู่
หน้าที่ของการป้องกันชั้นนี้คือ เมื่อหลัวเลี่ยเผชิญหน้ากับคนอื่น แม้ว่าร่างกาย กระดูก และิัของเขาจะแข็งแกร่งในการต่อต้านการกระแทก แต่ก็เป็ไปไม่ได้ที่จะป้องกันการกระทบกระเทือนอวัยวะภายในได้ทั้งหมด เช่นตอนที่เขากระอักเืขณะต่อสู้กับหลงนู่ ซึ่งแสดงว่าอวัยวะภายในได้รับการกระทบกระเทือน แม้ไม่ถือว่าร้ายแรงนัก เนื่องจากพลังของหลงนู่ยังไม่แข็งแกร่งพอ แต่หากมีที่กั้นบางๆ คอยปกคลุมปกป้องเขาในตอนนั้น เขาก็จะไม่กระอักเือย่างแน่นอน เพราะพลังที่ทะลุผ่านิัและกระดูกเข้าไปทำร้ายอวัยวะภายในนั้นถูกที่กั้นสกัดไว้
และเมื่อที่กั้นสามารถป้องกันได้ ก็หมายความว่า หากอวัยวะภายในของหลัวเลี่ยได้รับการกระทบกระเทือน หากมีการป้องกันนี้ คาดว่าอย่างมากเขาแค่ได้รับาเ็ภายในอย่างรุนแรงเท่านั้น แต่จะไม่ถึงขั้นเสียชีวิต
นอกจากนี้ พลังของหลัวเลี่ยก็พัฒนาขึ้นอย่างมากเช่นกัน
เมื่อเขาเดินออกจากห้องฝึกฝน ก็พบว่าเสวี่ยปิงหนิงยังคงปกป้องเขาอยู่ด้านนอก เขาไม่รู้ว่าเสวี่ยปิงหนิงมาั้แ่เมื่อไร แต่เมื่อเห็นไอพลังัจางๆ บนร่างกายของนาง เขาก็เดาได้ว่า นางได้ใช้เืัระดับวังชะตาขวดนั้นชำระล้างร่างกายของนางแล้ว
นอกจากนี้ ผิวของเสวี่ยปิงหนิงที่ขาวเหมือนหิมะ ตอนนี้ดูขาวยิ่งขึ้น อ่อนโยนและบอบบาง
“เ้าออกมาแล้ว” เสวี่ยปิงหนิงเม้มปาก แล้วยิ้ม “หือ? เ้าไม่ได้ใช้เืัเพื่อชำระล้างร่างกายหรอกหรือ?”
หลัวเลี่ยกางมือออกอย่างมีมาด “ข้าใช้แล้ว แต่ข้าดันมีพลังมากเกินไป ทำให้ลักษณะพิเศษเช่นนั้นไม่ปรากฏบนร่างกายของข้า”
เสวี่ยปิงหนิงมีความสุขมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ดีที่สุด เช่นนี้จะสามารถปกปิดตัวตนของ ‘มีัอยู่ในเป้า’ ได้ดีกว่า”
“พี่ปิงหนิงมาที่นี่ั้แ่เมื่อไหร่? ท่านวางแผนที่จะมาวิจัยข้าเกี่ยวกับคำว่ามีัอยู่ในเป้าหรือ” หลัวเลี่ยเย้าแหย่
“เ้านี่นะ กล้าพูดเื่ไร้สาระต่อหน้าข้ามากขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ” เสวี่ยปิงหนิงกล่าวด้วยความโกรธ
หลัวเลี่ยหัวเราะอย่างเมินเฉยกับคำดุนั้น
เสวี่ยปิงหนิงเองก็รู้ว่าไร้ประโยชน์ที่จะว่ากล่าว ดังนั้นนางจึงพูดต่อ “ข้ามาที่นี่เพราะมีธุระ ระหว่างที่เ้าพักผ่อน ซูชิวเชิงมาหาเ้า แต่ข้ากลัวว่าเ้าจะถูกรบกวน ดังนั้นข้าจึงรีบมาที่นี่เพื่อปกป้องเ้า”
“เขามาหาข้าทำไม?” หลัวเลี่ยประหลาดใจเล็กน้อย
เสวี่ยปิงหนิงส่งคนไปแจ้งข่าวแก่ซูชิวเชิง
หลังจากนั้นไม่นานซูชิวเชิงก็มาถึงตำหนักราชันผู้พิชิต
เนื่องจากซูชิวเชิงกล่าวว่า นี่เป็เื่ส่วนตัวของจวนอ๋องหนานหลี่ และไม่อาจเปิดเผยต่อเสวี่ยปิงหนิงได้ ดังนั้นเสวี่ยปิงหนิงจึงเดินจากไป
ในห้องโถงด้านข้างมีเพียงหลัวเลี่ยและซูชิวเชิง
หลังจากเห็นเขา ซูชิวเชิงก็พูดว่า “ท่านอ๋องน้อย อูไท่ไหลมาร้องขอความตาย”
“ปล่อยให้เขามีชีวิตต่อไป” หลัวเลี่ยเกลียดคนทรยศที่สุด เพราะเขาเคยถูกใส่ร้ายตอนอยู่โรงเรียนมาก่อน ดังนั้นในตอนนี้หากจับได้ เหตุใดเขาจะปล่อยไปง่ายๆ เล่า
หลังจากการทดสอบราชันผู้พิชิตสิ้นสุดลง ก็ผ่านมาได้สองเดือนแล้ว
สำหรับอูไท่ไหลนั้น อย่าดูที่ตำแหน่งหัวหน้าพ่อบ้านของจวนหนานหลี่เลย เพราะในเมืองหลวงนี้ ผู้ที่มีอำนาจมากกว่าย่อมได้ทุกอย่างที่้า ดังนั้นการที่เขาถูกนำตัวไปคุมขังในทันที และร้ายแรงที่สุดคือเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ฝึกฝนวรยุทธ์ ไม่ได้รับอนุญาตให้อ่านหนังสือ ไม่ได้รับอนุญาตให้พูด ทำได้แค่อยู่ในห้องคนเดียวอย่างโง่เขลา อย่าพูดถึงสองเดือนเลย แค่สองวันก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา
สำหรับคนทรยศนี้ คนในจวนอ๋องหนานหลี่ล้วนเกลียดมาก ดังนั้นซูชิวเชิงจึงใช้โอกาสนี้จัดระเบียบจวนใหม่ และจัดการกับผู้คนที่ภักดีกับอูไท่ไหลทั้งหมด แม้ว่าจะไม่มีหลักฐาน แต่หากมีใครที่น่าสงสัย เขาล้วนไม่ปล่อยไว้อย่างแน่นอน
ยิ่งกว่านั้น ซูชิวเชิงปฏิบัติตามคำสั่งของหลัวเลี่ยอย่างเคร่งครัด ทำให้อูไท่ไหลแม้อยากตายก็ตายไม่ได้ เพราะมันเป็ความจริงที่เขาได้รับอาหารและเครื่องดื่มอย่างดี แม้ว่าจะนำสิ่งที่อูไท่ไหลชอบไปจากเขา ในทุกวันอูไท่ไหลต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ค่อยๆ ตรอมใจ สิ่งนี้เรียกได้ว่าค่อยๆ ทรมานเขาอย่างแท้จริง
ซูชิวเชิงกล่าวว่า “เขา้าให้ของบางสิ่ง เพื่อขอให้ท่านอ๋องน้อยแทงเขาจนตาย”
“สิ่งของอะไร” หลัวเลี่ยถาม
“เป็ตราอันหนึ่ง” ซูชิวเชิงหยิบมันออกมาแล้วยื่นให้
หลังจากได้รับตราแล้วหลัวเลี่ยก็มองไปที่มัน
ตราอันนี้ไม่มีอะไรพิเศษ มันเป็สีเงิน ล้อมรอบด้วยลวดลายั ด้านหนึ่งมีคำว่าเซียวเหยา และอีกด้านเป็ดอกไม้แปลกตา
หลัวเลี่ยสงสัย “สิ่งนี้คือตราของหอเซียวเหยาหรือไม่?”
“ถูกต้อง” ซูชิวเชิงพูด “แต่คนในหอเซียวเหยาในเมืองหลวงไม่มีตราที่คล้ายกันเลย ข้าถามอูไท่ไหลแล้ว แต่เขาไม่ได้พูดอะไรเลย เขาบอกแค่ว่าตรานี้ในแคว้นเป่ยสุ่ยมีทั้งหมดไม่เกินห้าชิ้นเท่านั้น หากท่านอ๋องน้อยอยากรู้ก็ไปถามองค์ราชินีได้”
เมื่อคิดถึงความปรารถนาที่จะตายของอูไท่ไหล ก็คิดว่าเขาคงไม่กล้าโกหกอีก ดังนั้นหลัวเลี่ยจึงหยิบตราแล้วเดินออกจากตำหนัก
ภายในตำหนักถัดไป เสวี่ยปิงหนิงกำลังจิบชาและอ่านหนังสืออย่างสบายใจ แต่เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า นางก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่หลัวเลี่ย นางยิ้มและกำลังจะพูด แต่เมื่อเหลือบไปเห็นตราในมือของหลัวเลี่ย ถ้วยชาในมือก็ร่วงหล่นลงสู่พื้นและแตกเป็เสี่ยงๆ แต่นางหาได้สนใจมัน สายตาจับจ้องไปที่ตรา “นั่นมันตราัเงินเซียวเหยา!”