กำไลข้อมือหยกไขมันแพะข้างนี้เป็ของขวัญตอนถึงวัยปักปิ่นอายุสิบห้าปีที่ฮูหยินมอบให้คุณหนู
ราคาไม่ใช่น้อยเลย อีกทั้งยังมีความหมายและความสำคัญอีกด้วย
ทำไมคุณหนูถึงเอาไปให้เด็กสาวตัวน้อยคนหนึ่งได้ล่ะ
เจินจูมองความล้ำค่าของมันออกเช่นกัน ผนวกกับสีหน้าของทั้งสองคนที่อยู่ด้านหลังโหยวอวี่เวยด้วย “พี่สาวสกุลโหยว นางเป็แค่เด็กน้อยที่ยังดื่มนมอยู่เลย สิ่งของมีค่าเพียงนี้ไม่เหมาะกับนาง ท่านเก็บไว้ดีกว่า”
แต่โหยวอวี่เวยกลับยืนกราน “เก็บไว้ให้นางตอนโตแล้วค่อยสวมก็ได้นี่”
เจินจูยิ้มแล้วส่ายหน้าปฏิเสธไปอย่างไม่ลังเล แต่โหยวอวี่เวยกลับรั้นขึ้นมา ยึดมั่นความคิดที่อยากจะมอบให้ซิ่วจู
สองคนต่างฝ่ายต่างยืนหยัดความคิดของตัวเอง สุดท้ายเจินจูใช้ไม้เด็ดออกมาว่าหากยืนกรานจะมอบกำไลที่มีค่าสูงนั้นมาให้อีก เช่นนั้นลูกสุนัขก็จะไม่ให้นางแล้ว
โหยวอวี่เวยหยุดชะงักไปตามคาดทันที ผ่านไปครู่หนึ่งจึงมองนางด้วยสายตาคับแค้นใจอยู่ข้างใน สวมกำไลกลับไปบนข้อมืออย่างเงียบกริบ
การออกเดินทางมาครั้งนี้ของนาง จิตใจข้างในสับสนวุ่นวายจึงลืมนำของขวัญมาให้ครอบครัวสกุลหู เมื่อวานมาถึงเมืองไท่ผิงอย่างไม่มีสติก็ได้หลิวผิงเข้ามาต้อนรับ และพาไปยังที่พักในเมืองของจวนสกุลกู้
เดินทางอย่างเร่งรีบมาสิบวัน นางเหนื่อยจนแทบจะทนไม่ไหว หลับไปหนึ่งตื่น พอเช้ามาก็วิ่งมาถึงหมู่บ้านวั้งหลินแล้ว
ตอนนี้จิตใจสงบลงได้ จึงคิดขึ้นได้ว่าตนเองเสียมารยาทมากแค่ไหน เดินทางไกลมาจากเมืองหลวง แต่ของขวัญสักชิ้นกลับไม่ได้นำมาด้วย
แล้วยังหน้าหนาดันทุรังอยากได้ลูกสุนัขของคนเขาอีก
ใบหน้าของโหยวอวี่เวยแดงขึ้นอย่างไม่เป็ธรรมชาติ
เมื่อเจินจูเห็นว่านางไม่ดึงดันต่อไป จึงผ่อนลมหายใจออกได้
“มันยังไม่ได้ตั้งชื่อ พี่สาวสกุลโหยว ท่านตั้งชื่อให้มันเองได้เลยนะ”
นางชี้ไปที่ลูกสุนัขน่ารักไร้เดียงสาตัวนั้น เพื่อเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
โหยวอวี่เวยเกิดความสนใจขึ้นทันที
“…เ้าสุนัข …เ้าสุนัข” ซิ่วจูชี้ลูกสุนัข เสียงเล็กๆ ของเด็กที่น่ารักกล่าวอ้อแอ้น่าเอ็นดู
“ฮ่าๆ ทุกตัวล้วนเป็เ้าสุนัข... นี่คือเสี่ยวหวง นี่เป็เ้าเหมาฉิวของพี่อาชิง ตัวนั้นคือฝูเป่าของพี่หูจื่อ ตัวนี้... อืม เป็เ้าสุนัข” อาจเป็เพราะเหมือนกันกับเสี่ยวหวงจนเกินไป คนในบ้านจึงไม่ได้สนใจลูกสุนัขที่แสนซื่อและเชื่อฟังตัวนี้สักเท่าไร
โหยวอวี่เวยฟังความแตกต่างออกได้ นางนั่งยองลงไปแล้วลูบขนลูกสุนัขด้วยความสงสาร ทุกคนล้วนไม่ได้สนใจเ้าสักเท่าไร นางเกิดความรู้สึกเห็นใจอย่างอธิบายออกมาไม่ถูก ช่างเหมือนกับความรู้สึกของนางที่อยู่ข้างใน
“ข้าเรียกมันว่าเล่อเล่อ [1] ดีหรือไม่ ทุกวันเบิกบานมีความสุขไร้ความกังวลและสบายใจ” โหยวอวี่เวยเม้มปากยิ้มบางๆ
“อื้ม ดีเลย เช่นนั้นก็เป็เล่อเล่อแล้วกัน จำไว้เลยนะตอนเรียกเ้าว่าเล่อเล่อ ต้องกระดิกหางด้วยล่ะ” เจินจูเกาหัวเล็กของเล่อเล่อ
“เล่อเล่อ เล่อเล่อ…” เด็กสาวตัวน้อยก็เรียกขึ้นตามเช่นกัน
โหยวอวี่เวยยิ้มจนดวงตาเป็รอยโค้งเสี้ยวพระจันทร์ เมอเมอหวังกับจื่อยู่มองแล้วก็ผุดรอยยิ้มกว้างตามขึ้นมา นับั้แ่คุณหนูออกมาจากเมืองหลวง บนใบหน้าก็ไม่ได้ยิ้มเลย เอาแต่มองออกไปที่ไกลๆ อย่างสงบเงียบ ในดวงตามักแสดงความสงสัยและเศร้าโศกออกมาอยู่ตลอด
เมอเมอหวังกับจื่อยู่ล้วนทุกข์ใจอย่างมาก คุณหนูของพวกนางได้รับความเ็ปอะไร ถึงได้เปลี่ยนไปซึมเศร้าหมดอาลัยตายอยากเช่นนี้
ยังดีที่ลูกสุนัขของบ้านสกุลหูตัวนี้ สร้างความแช่มชื่นให้แก่คุณหนูอย่างมาก ทำให้นางกลับไปร่าเริงมีชีวิตชีวาอย่างเมื่อก่อนได้
เจินจูรั้งโหยวอวี่เวยให้อยู่ทานอาหารกลางวันที่บ้านสกุลหูด้วยกัน โหยวอวี่เวยลังเลอยู่ชั่วขณะจึงพยักหน้าตอบรับ
หลี่ซื่อเดินเข้ามา ทั้งสองฝ่ายต่างทักทายกันอย่างสุภาพเล็กน้อย
ทันทีหลังจากนั้นหลี่ซื่อก็พาซิ่วจูกลับเข้าไปเตรียมอาหารหลังบ้าน
ส่วนเจินจูอยู่เป็เพื่อนโหยวอวี่เวยหยอกล้อลูกสุนัขและพูดคุยกัน
“น้องสาวเจินจู บ้านใหม่ของครอบครัวเ้าไม่มีสระดอกบัวหรือ?”
“อื้ม บ้านเก่าก็อยู่ทางนั้นเอง ถ้าอยากดูดอกบัวก็เปิดประตูด้านข้างเดินไปสองก้าวก็ถึงแล้ว ไม่ต้องขุดสระน้ำขึ้นมาอีกให้ยุ่งยาก หากขุดมากไปจะมีไอชื้นมากขึ้นเปล่าๆ”
“น้องสาวเจินจู เสี่ยวเฮยตัวนั้นไม่คลอดลูกแมวน้อยบ้างหรือ?”
“…เสี่ยวเฮยเป็แมวตัวผู้น่ะ”
“อ๋อ... น่าเสียดายจัง ไม่อย่างนั้นข้าคงได้อุ้มแมวน้อยมาเลี้ยงอีกตัวหนึ่งแล้ว”
“เสี่ยวเฮยเป็แมวป่า นิสัยสัตว์ป่าเลี้ยงไม่ง่ายเลย”
“น้องสาวเจินจู ท่านแม่เ้าดูแล้วยังสาวอยู่เลยมีเคล็ดลับบำรุงรักษาอะไรไหม?”
“เอ่อ... ทานให้อิ่ม ดื่มน้ำเพียงพอ นอนอย่างเหมาะสม สภาพจิตใจดี และกังวลใจให้น้อย ย่อมดูเยาว์วัยได้อย่างแน่นอน”
“น้องสาวเจินจู…”
...แขกที่มาบ้านเป็เด็กสาว เดิมทีควรแบ่งโต๊ะอาหารที่นั่งทานเป็สองโต๊ะ
หูฉางกุ้ยยังยุ่งอยู่กับงานในสถานที่ทำอาหารหมัก เมื่อรู้ว่ามีแขกผู้เป็สตรีมาบ้านจึงให้ผิงอันนำข้าวไปส่งให้ เขาทานอาหารกลางวันอย่างลวกๆ แล้วทำงานต่อ
ผิงอันอายุสิบเอ็ดปียังไม่ถึงเวลาที่ต้องกั้นระยะห่างระหว่างชายหญิง
ด้วยเหตุนี้อาหารกลางวันที่ทานด้วยกันจึงมีหลี่ซื่อ เจินจู ผิงอันและซิ่วจู
เดิมทีจื่อยู่อยากทำตามระเบียบคอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้างอย่างเคย แต่ถูกโหยวอวี่เวยไล่ไปทานข้าวอีกห้องหนึ่งที่อยู่ข้างห้องโถง ที่นั่นได้ตั้งโต๊ะเดี่ยวขึ้นอีกหนึ่งโต๊ะ
ส่วนจ้าวหงยู่ทานอาหารอยู่ที่ห้องครัวด้วยการกล่าวขึ้นมาเอง ยามปกติที่ไม่มีแขกนางจะทานข้าวด้วยกันกับคนสกุลหู เมื่อมีแขกอยู่ด้วยจึงเลี่ยงไปอย่างตระหนักได้
ส่วนพานเสวี่ยหลันกลับบ้านไปทำอาหารกลางวันให้หลิงเสี่ยนและหลิงซี หลังทานอาหารกลางวันเสร็จก็จะพักครึ่งชั่วยามแล้วกลับมาทำงานที่บ้านสกุลหูต่อ
บนโต๊ะทานข้าวทรงสี่เหลี่ยมไม้ซวนจือ [2] อาหารประเภทเนื้อและผักสดพื้นที่ไปอย่างละครึ่ง
เนื้อกวางพะโล้กับเนื้อแพะพะโล้หั่นอย่างละหนึ่งถาด หัวสิงโตปรุงน้ำแดง [3] รสชาติเข้มข้นกลิ่นหอมนุ่มและซี่โครงหมูต้มเผือกนุ่มๆ ล้วนเป็อาหารที่จ้าวหงยู่ถนัด ยังมีน้ำแกงลูกชิ้นเห็ดใส่ผัก ผัดผักกวางตุ้งสีเขียวเป็มันขลับ และยำแตงกวาดองกรุบกรอบ
ครั้งแรกที่โหยวอวี่เวยทานอาหารที่บ้านสกุลหู ความรู้สึกภายในใจค่อนข้างแปลกใหม่อยู่มาก กับข้าวของสกุลหูดูแล้วธรรมดา ไม่ได้มีการจัดวางใส่จานให้น่ามอง ทั้งยังไม่มีสีสันประณีตด้วย ล้วนใช้ถาดและภาชนะใหญ่ๆ ใส่ปริมาณเต็มเปี่ยม นางตัดสินอยู่ในใจ และต่อให้อาหารของสกุลหูไม่อร่อย นางก็ต้องทำท่าทางออกมาว่าอร่อย
หลังเริ่มทานอย่างเป็ทางการ ตะเกียบของนางคีบแตงกวาดองขึ้นมาหนึ่งชิ้นเป็อันดับแรก นางจำได้ว่าแตงกวาสดของสกุลหูทานได้กรอบสดและหวานนัก ทำการดองขึ้นมารสชาติน่าจะไม่แย่เกินไป
เมื่อเข้าปากไปแล้วมีกลิ่นหอมกรอบถูกปากดังคาด มีรสเผ็ดเปรี้ยวหวานอย่างละนิด ทำให้เจริญอาหารอย่างมาก
ดวงตาของนางเป็ประกาย จึงคีบขึ้นมาใส่ปากอีกหนึ่งชิ้น
จนกระทั่งนางจะคีบแตงกวาดองชิ้นที่สาม ในที่สุดหลี่ซื่อก็อดเอ่ยออกมาไม่ได้ “คุณหนูโหยว แตงกวาดองเป็อาหารเรียกน้ำย่อย ท่านทานอย่างอื่นก่อนสักหน่อยเถอะ”
ซิ่วจูที่อยู่ข้างกายนางยื่นมือป้อมๆ ออกมาชี้ไปที่หัวสิงโตปรุงน้ำแดงที่เปี่ยมไปด้วยสีแดงมันเลื่อมพร้อมกับหัวเราะเบาๆ “เนื้อๆ พี่สาวทานเนื้อๆ”
เจินจูยิ้มแล้วคีบเนื้อหนึ่งก้อนจากหัวสิงโตปรุงน้ำแดงใส่ลงในถ้วยเล็กให้นาง
“พี่สาวสกุลโหยว ท่านลองชิมดู นี่เป็ประเภทอาหารที่ท่านอาหงยู่ถนัดเลยนะ”
โหยวอวี่เวยรีบพยักหน้า ลองคีบขึ้นมาชิมหนึ่งก้อน รูปร่างของเนื้อที่ปั้นเป็ก้อนกลมค่อนข้างใหญ่ ทำให้นางลังเลอยู่เล็กน้อย แต่นางเห็นน้องชายของเจินจูกัดเนื้อไปหนึ่งคำครึ่งชิ้น ท่าทางพึงพอใจอย่างมาก นางจึงไม่ลังเลใจในทันทีและกัดลงไป
หนึ่งคำ สองคำ สามคำ…
ตะเกียบของโหยวอวี่เวยเริ่มหยุดไม่ลง
นางรูปร่างผอมเพรียว ปริมาณการรับประทานเมื่อเทียบกับสตรีทั่วไปแล้วทานมากกว่าไม่น้อยเลย
จนกระทั่งนางดึงสติกลับมาได้จึงวางตะเกียบในมือลง กระเพาะของนางก็กางออกเต็มที่แล้ว
“เอิ้ก!” โหยวอวี่เวยเรอออกมา
นางรีบปิดริมฝีปากไว้ สีหน้าเริ่มแดงขึ้นทันที
นางมาเป็แขกบ้านผู้อื่นแต่กลับทานอิ่มจนเกินไป ไอ๊หยา น่าขายหน้าเกินไปแล้ว
พวกเจินจูกลับไม่ได้สนใจเลยสักนิด ฝีมือครัวของจ้าวหงยู่ไม่กี่ปีมานี้ดีขึ้นเรื่อยๆ อาหารการกินของที่บ้านแม้แต่พวกนางเองยังทานกันจนพุงกางเป็บางครั้ง ไม่ต้องกล่าวถึงคนที่มาเป็แขกของบ้านสกุลหูเลย
เมื่อทานอาหารกลางวันกันอิ่มแล้ว เจินจูบอกให้ผิงอันช่วยไปให้อาหารเสี่ยวจิน หลังจากนั้นไปเดินเล่นย่อยอาหารเป็เพื่อนโหยวอวี่เวย ่เวลาตอนกลางวันบริเวณโดยรอบบ้านสกุลหูจะสงบเงียบอย่างมาก นักเรียนและคนรับจ้างล้วนกลับบ้านไปทานข้าวและพักผ่อนกันทั้งสิ้น ตอนนี้จึงเป็เวลาที่ดีในการเดินเล่น
เมอเมอหวังและจื่อยู่เดินตามอยู่ข้างหลังห่างออกไปสิบก้าว
เสี่ยวหวงวิ่งคึกคักไปมาอยู่ด้านหน้า ลูกสุนัขสามตัววิ่งตามอยู่ด้านหลังของมัน ขนปุกปุยน่ารักมากนัก
โหยวอวี่เวยมองฉากนี้ด้วยความอิจฉา “น้องสาวเจินจู บริเวณบ้านเ้าก่อสร้างใหม่ได้ไม่เลวนัก ครั้งก่อนตอนที่มาถึงบ้านเ้า ตรงนี้ยังเป็ที่ว่างเปล่าผืนใหญ่อยู่เลย”
“อื้ม ที่ว่างตรงนี้สร้างมาครึ่งค่อนปีแล้ว ยังนับว่าพอดูได้” พื้นที่ว่างน้อยเกินไป บริเวณสวนพื้นที่เพียงหนึ่งส่วนเล็กๆ เท่านั้น ที่ริมฝั่งแม่น้ำก็ไม่เหมาะให้พัฒนาหรือก่อสร้างอะไรอีก หลิงเสี่ยนเพียงสร้างถนนทางเดินเล็กๆ ไว้เดินพักผ่อนหย่อนใจที่ทำด้วยก้อนกรวดขนาดเท่าไข่ห่านเลียบริมฝั่งแม่น้ำไม่กี่เส้น ด้านข้างเติมดินปลูกพืชไม้ดอกที่เจริญเติบโตได้ง่ายลงไปให้สวยงาม
“…น้องสาวเจินจู เ้า… กำหนดหมั้นหมายหรือยัง?” ในที่สุดโหยวอวี่เวยก็อดถามออกมาไม่ได้
เจินจูเลิกคิ้วงามขึ้น นางเพิ่งอายุสิบสี่เองไหมเล่า เื่การกำหนดหมั้นหมายและแต่งงานเริ่มกลายมาเป็หัวข้อที่ต้องคุยเล่นกันแล้วหรือ?
“ยังเลย ผ่านปีนี้ไปข้าเพิ่งอายุสิบห้าปีเอง”
นางเอ่ยเตือน แม่นางน้อยอย่างข้ายังเป็เด็กน้อย อย่าได้พูดคุยหัวข้อของผู้ใหญ่เล่นกับข้าเลย
“…เ้าคิดหรือยังว่าต่อไปจะแต่งให้กับคนอย่างไร?” โหยวอวี่เวยสีหน้าเป็กังวลขึ้นเล็กน้อย
เจินจูลอบถอนใจอยู่ข้างใน นางไม่ชอบการพูดคุยเื่นี้เลยจริงๆ
“ไม่เคยคิดเลย แต่ต้องไม่ใช่คนครอบครัวร่ำรวยใหญ่โตที่มีลานบ้านกว้างอย่างแน่นอน ข้าไม่ชอบชีวิตที่เวลาจะออกจากบ้านยังต้องรายงานคน ข้าชื่นชอบอิสระเสรีไร้การบีบบังคับ อยากออกจากบ้านก็ออก อยากนอนี้เีก็นอนี้เี อยากทานเนื้อก็จะไม่ทานผัก อยากขี่ม้าก็จะไม่นั่งรถม้าอย่างเด็ดขาด ใช้ชีวิตตามใจของตนเอง ไม่ใช่ต้องดูสีหน้าของผู้อื่นหรือต้องใช้ชีวิตตามกฎระเบียบต่างๆ”
กล่าวได้ชัดเจนพอแล้วกระมัง ตนไม่มีทางแย่งกู้ฉีของนางมาอย่างแน่นอน เพราะกู้ฉีไม่ใช่แบบที่นางชอบ
โหยวอวี่เวยฟังจนตกตะลึงจนกล่าวไม่ออกอยู่บ้าง นางคิดว่านิสัยเอาแต่ใจไม่ชอบผูกมัดเหมือนเช่นนางนี้ก็เพียงพอให้มารดาของนางปวดศีรษะแล้ว คิดไม่ถึงเลย ว่าลักษณะนิสัยของเจินจูจะเอาแต่ใจตัวเองมากกว่านางอีก
พี่ห้าคงจะรู้นิสัยของนางที่เป็เช่นนี้อยู่แล้วใช่หรือไม่ ถึงได้ไม่กล้าทำอะไรมาโดยตลอด เพียงอยู่เงียบๆ คิดถึงอยู่ในที่แสนไกล
จู่ๆ นางก็เห็นอกเห็นใจกู้ฉีขึ้นมาเล็กน้อย
“แต่น้องสาวเจินจู ต่อให้แต่งงานกับครอบครัวธรรมดาก็มีกฎเกณฑ์ให้ต้องทำตามไม่ใช่หรือ” พ่อแม่สามีตั้งกฎเกณฑ์ขึ้น ไม่ว่าครอบครัวธรรมดาหรือครอบครัวใหญ่โต ล้วนเป็เหมือนกันหมดกระมัง
“ผู้ไม่เหมาะสมกันก็อย่าแต่งเลย ข้าไม่ใช่คนโง่เสียหน่อยที่แต่งงานหาความลำบากให้ตนเอง พอมีเงินมีเวลาว่างจะทำอะไรนิดหน่อยก็ไม่ได้” เจินจูเคยคิดไว้แล้วจริงๆ จะหายอดเขาที่ห่างไกลความเจริญ สร้างบ้านเล็กๆ สองห้องพาเสี่ยวเฮยไปใช้ชีวิตอย่างอิสระ ภายภาคหน้าเมื่ออายุมากแล้วก็นำเด็กไม่กี่คนมาเลี้ยง และจะใช้ชีวิตเช่นนี้ไปชั่วชีวิต
โหยวอวี่เวยตื่นใจนคางแทบตกลงถึงพื้น ไม่แต่งงานก็ได้หรือ? ขึ้นเขาไปเป็แม่ชีหรือ?
ดวงตาที่นางมองเจินจูเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“ฮ่าๆ อย่าเพิ่งพูดเื่นี้กันเลย ยังเร็วเกินไปนัก... ไปกัน ข้าจะพาท่านขึ้นไปดูบนไหล่เขาสักหน่อย ท่านปีนเขาได้หรือไม่?” ตอนนี้พวกนางเดินอยู่ใต้เชิงเขาและมาถึงทางถนนขึ้นูเาแล้ว
“ดีเลยๆ ข้าปีนเขาได้” โหยวอวี่เวยแหงนหน้ามองขึ้นไป ดูป่าต้นหงเฟิงใกล้ๆ เช่นนี้ช่างเป็ทิวทัศน์ที่แตกต่างออกไปนัก
แสงเจิดจ้าของดวงอาทิตย์ทะลุผ่านระหว่างใบหงเฟิงที่เชื่อมประสานกัน ส่องลงมาบนกายของพวกนางเป็ร่มเงาสลับกับแสงระยิบระยับ ช่างเงียบสงบและสวยงามยิ่งนัก
สายลมฤดูใบไม้ร่วงโชยผ่าน พัดพาเอาคลื่นสีแดงปลิวไสวอยู่พักหนึ่ง ใบหงเฟิงมากมายที่เชื่อมต่อกันพลิ้วลู่ตามสายลม
โหยวอวี่เวยมองด้วยสายตาหลงใหลอยู่ชั่วขณะ
เชิงอรรถ
[1] เล่อเล่อ หมายถึง ความสุข ความน่ายินดี
[2] ไม้ซวนจือ หรือ 酸枝木 คือ Rosewood ส่วนใหญ่ประกอบด้วยไม้พะยูงสีแดงและไม้พะยูงสีดำ
[3] หัวสิงโตปรุงน้ำแดง คือ อาหารที่ขึ้นชื่อในเมืองเจียงซู โดยใช้เนื้อหมูซึ่งมีทั้งเนื้อแดงและมันมาสับ แล้วปั้นเป็ก้อนกลมขนาดอุ้งมือนำลงทอดในน้ำมัน หลังจากนั้นนำมาเคี่ยวกับเครื่องปรุงน้ำแดงจนน้ำแห้ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้