เยว่เยียนเยียนที่สู้เหยียนเฟยไม่ได้ จึงได้แต่ถอยก้าวหนึ่ง เอ่ยตอบรับคำขอร้องอันป่าเถื่อนของเหยียนเฟยอย่างไม่เต็มใจ “ก็ได้ๆ เช่นนั้นวันนี้กินซี่โครงตามที่เ้าว่าแล้วกัน แต่พรุ่งนี้ต้องตามข้านะ ได้ยินหรือไม่?”
เหตุใดแค่จะกินซี่โครงมันต้องวุ่นวายขนาดนี้ด้วย? เหยียนเฟยปวดท้องทรมานดั่งเพลิงสุม สุดท้ายก็เพียงรีบตอบรับอย่างทนไม่ไหว “ได้ๆ ๆ ขอแค่วันนี้เ้าให้ข้ากินซี่โครงก็พอ พรุ่งนี้จะกินอะไรก็แล้วแต่เ้า แต่ว่า...” เหยียนเฟยพลันได้สติ แล้วรีบเร่งเอ่ยเสริมขึ้น “แต่ว่าห้ามกินน้ำแกงใสผักกาดขาว!”
......
ดูเหมือนว่าเหยียนเฟยจะกินน้ำแกงใสผักกาดขาวจนกลัวไปเสียแล้ว ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ต่อต้านถึงขนาดนี้ เยว่เยียนเยียนอดกลั้นเอาไว้ไม่ให้หัวเราะลั่นออกมา น้ำเสียงที่เอ่ยจึงฟังอึดอัดไปบ้าง “ได้ ก็ได้... พรุ่งนี้กินเส้นหมี่น้ำแกงใส ไม่ให้เ้ากินน้ำแกงใสผักกาดขาวหรอก เ้าน่ะ วางใจของเ้าลงท้องไปได้เลย ฮ่าๆ”
เหยียนเฟยมองเยว่เยียนเยียนที่หัวเราะลั่นด้วยสีหน้าหมดคำจะพูด ในใจเริ่มแอบจิกกัดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ หรือว่าเื่ที่ตนไม่อยากกินน้ำแกงใสผักกาดขาวนี้จะแปลกประหลาดมากนักหรืออย่างไร? หรือว่าเยว่เยียนเยียนเองไม่รู้สึกเลยหรือว่าน้ำแกงใสผักกาดขาวที่ตนทำมันน่าเบื่อไร้รสชาติขนาดไหน...?!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เหยียนเฟยก็ยกสองมือเท้าเอวแล้วส่งเสียงเฮอะอย่างดุดัน ก่อนจะชี้ไปยังกระทะอย่างเดือดดาลแล้วพูดตะเบ็งเสียง “เลิกหัวเราะสักที! รีบทำกับข้าวได้แล้วเ้าน่ะ!”
“ได้ๆ ๆ ทำกับข้าวๆ”
ในที่สุดเยว่เยียนเยียนจึงเก็บรอยยิ้มลง แล้วเริ่มขั้นตอนทำอาหารอันพิสดารของตน…
ตอนที่เยว่เยียนเยียนเริ่มมือไม้เป็พัลวันอยู่ข้างเตา ในใจของเหยียนเฟยก็เข้าใจบางอย่าง อาหารจานนี้ของตน คงจะทำให้คุณหนูใหญ่ผู้นี้ลำบากเข้าแล้ว ซี่โครงเปรี้ยวหวานจานนี้… น่ากลัวว่าคงจะไม่ได้กินเสียแล้ว
ทว่าคนหน้าอย่างใจอย่างเช่นเหยียนเฟยย่อมไม่เอ่ยออกมาอยู่แล้ว เขากำลังให้โอกาสเยว่เยียนเยียนอยู่ อยากจะดูว่าเยว่เยียนเยียนจะเตรียมการแสดงเช่นไรเอาไว้กันแน่... หรือพูดอีกที เยว่เยียนเยียนคิดจะยื้อเวทีนี้ต่อไปอย่างไรกันแน่ แต่หากเหยียนเฟยพูดความคิดที่แท้จริงของตนออกไปตอนนี้ ความสนุกก็คงลดน้อยลงไปมากเลยไม่ใช่หรือ?
“โอ๊ะ!”
เยว่เยียนเยียนที่โยนซี่โครงเข้าไปในกระทะนั้น ทำเอาเหยียนเฟยใจหายใจคว่ำเลยจริงๆ ในพริบตาก็พลันหดคอย่นโผล่คางสองชั้นออกมา เหยียนเฟยคิดหนีตายไปพลางก้าวถอยหลังไปสองก้าวอย่างมีสติ แล้วยังแสร้งทำทีเหมือนกำลังจะไปคว้าเมล็ดแตงมากิน “นี่ข้าว่า... เ้า เ้า เ้าทำได้แน่หรือ?”
“ทำไมจะทำไม่ได้! นี่ก็ลงกระทะไปหมดแล้วไม่ใช่หรืออย่างไร!”
เยว่เยียนเยียนที่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ยังคงปากแข็ง ตอบโต้การซักถามของเหยียนเฟย แต่ก็เห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงนั้นสั่นไปหมดแล้ว ราวกับใกับเสียงครึกโครมนั้นอย่างหนักเลยทีเดียว!
เหยียนเฟยขมวดคิ้วมุ่น แล้วส่งเมล็ดแตงเข้าปากไปทันที เขาตื่นตระหนกจนแม้แต่เปลือกก็ยังลืมแกะ…
เหยียนเฟยที่ได้สติกลับมารีบถุยๆ คายเมล็ดแตงออกทันที พลางเข้าไปใกล้เยว่เยียนเยียน ตบที่ไหล่ของนางเล็กน้อย เอ่ยปากพูดขึ้นอย่างลองเชิง “เช่นนั้น เหตุใดเ้าไม่ใส่น้ำมันเล่า...?”
“หา? ต้องใส่น้ำมันด้วยหรือ?!”
เมื่อนั้นเหยียนเฟยก็พอจะเข้าใจแล้วทำไมเยว่เยียนเยียนที่ทำอาหารครึ่งเดือนแล้ว แต่สิ่งที่ออกมานั้นถึงมีแต่น้ำแกงใสผักกาดขาว เป็เพราะน้ำแกงใสผักกาดขาวมันทำง่าย ไม่ต้องใส่น้ำมัน ไม่ต้องใส่เกลือ กระทั่งแม้แต่ปริมาณที่ต้องใช้ก็ไม่ต้องใส่ใจควบคุม…
เหยียนเฟยกลอกตาเล็กน้อย มองคุณหนูใหญ่เยว่ที่ยุ่งจนมือไม้เป็พัลวันแล้ว ก็นึกอยากจะช่วยนางสักครั้งอย่างใจดีเป็พิเศษ พลันยื่นแขนยาวไปหยิบกาน้ำมันทำอาหารขึ้นมา แล้วเทลงไปในกระทะ…
น้ำมันค่อยๆ เทลงไป ไม่นานกระทะเหล็กเกิดเปลวไฟลุกขึ้นมา ทำเอาเยว่เยียนเยียนที่กำลังผัดอย่างขะมักเขม้นอยู่ใจนโยนตะหลิวในมือทิ้งไปทันที แล้ววิ่งไปที่ประตูห้องครัวราวกับเหาะเหิน “ทำอะไรของเ้า! คิดจะเผาข้าให้ตายหรืออย่างไร!”
เยว่เยียนเยียนวิ่งหนีไปแล้ว เหยียนเฟยจึงรีบหันกลับไปมองตามแผ่นหลังของนาง แต่ลืมไปว่ากาน้ำมันมือตนยังเอียงอยู่ น้ำมันจึงราดลงบนซี่โครงในกระทะไม่หยุด ไฟที่ลุกโชนก็ยิ่งลุกลามใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่เหยียนเฟยกลับไม่ได้สังเกตเห็นเลยแม้แต่น้อย เขายังคงบ่นเยว่เยียนเยียนไม่หยุด “เ้า เ้าจะไปเข้าใจอะไร... นี่ข้ากำลังช่วยเ้าอยู่นะ... โอ๊ย!”
เปลวไฟที่ลุกโชติ่นั้นร้อนลวกโดนนิ้วมือของเหยียนเฟย เจ็บจนเขาถอยออกไปข้างหลัง กาน้ำมันในมือก็จับเอาไว้ไม่ไหว ร่วงโครมลงไปในกระทะ…
เอาล่ะ ตอนนี้ทุกคนก็ได้เข้าใจแล้วว่าราดน้ำมันเข้ากองไฟนั้นเป็เช่นไร
“ให้ตายเถอะ นี่มันเกิดอะไรขึ้น!” เหยียนเฟยที่วิ่งออกมาจากห้องครัวปัดป่ายมือไปข้างหน้าอย่างมั่วซั่ว พยายามโบกไล่ควันโขมงให้มันไปอีกด้านหนึ่ง แต่ค่อนข้างที่จะเปล่าประโยชน์ “แค่กๆ แค่กๆ ...” ทั้งสองคนไอขึ้นมาไม่หยุดท่ามกลางกลุ่มควัน เยว่เยียนเยียนฟาดลงด้านหลังหัวของเหยียนเฟยทีหนึ่ง
เยว่เยียนเยียนที่กำลังโกรธเกรี้ยวเบิกตากว้าง พลางปิดปากก่นด่า “เ้าโง่ ต้องโทษเ้านั่นแหละ หากเ้าไม่ให้ข้าใส่น้ำมัน แล้วข้าจะถูกไฟเผาอย่างน่าสงสารเช่นนี้หรือ?!”
“ทำไมถึงกลายเป็ปัญหาของข้าไปได้? ผัดกับข้าวไม่ใส่น้ำมัน อาหารที่เ้าผัดมันจะกินได้ไหมเล่า?!” เหยียนเฟยเองก็โมโหแทบไม่ไหว ทั้งสองคนต่างคนต่างมีความคิดของตน พยายามต่อสู้กันด้วยเหตุผล โดยไม่มีใครสนใจควันไฟที่โหมกระพือในตอนนี้เลยแม้แต่น้อย ยิ่งกว่านั้นควันไฟก็ยังคงลอยออกไปข้างนอกไม่หยุด…
สุดท้ายก็เป็เหยียนเฟยที่ได้สติกลับมาก่อน เขาปิดปากะโเรียกเยว่เยียนเยียน “นี่! หยุดเถียงกันได้แล้ว คิดกันก่อนเถอะว่าจะทำอย่างไรดี หากยังไม่รีบ ห้องครัวของตาแก่เฉินไฮว่ชิงคงได้ถูกพวกเราเผาจนเกลี้ยงแน่ ์!”
“ข้า ข้าเองก็ไม่รู้... ข้าก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเหมือนกัน!” อย่างไรเยว่เยียนเยียนก็เป็คุณหนูใหญ่ที่ไม่เคยเจอ ‘สถานการณ์อันยิ่งใหญ่’ อะไรมาก่อน สภาพการณ์ในยามนี้ จึงทำให้นางตกตะลึงพรึงเพริดอย่างแท้จริง เอาแต่กระทืบเท้าอยู่อย่างนั้น มีเวลาคิดเื่ที่จะดับไฟที่ไหนกัน?
เหยียนเฟยกลอกตา รู้ว่าเยว่เยียนเยียนผู้นี้พึ่งไม่ได้เลยสักนิด เขาโมโหจนก่นด่าซ้ำไปซ้ำมา “ข้าเข้าใจแล้วล่ะว่าเ้าพึ่งพาอะไรไม่ได้!” ด่าจบก็หมุนตัววิ่งเตรียมจะไปหาน้ำ ของสิ่งหนึ่งย่อมมีอีกสั่งที่พิชิตได้ เขาไม่เชื่อหรอกว่าจะมีไฟที่น้ำดับไม่ได้อยู่ด้วย!
แต่เยว่เยียนเยียนน่ะหรือ? นางยังนึกว่าเหยียนเฟยไม่อยากจะสนใจตน จึงเตรียมจะแจ้นหนีไป เพื่อจะได้ไม่อยู่ให้ตัวเองถูกเผาตายอย่างน่าอนาถที่นี่ เยว่เยียนเยียนเองก็วิ่งหนีตามไปด้วย พอวิ่งมานางจึงพบว่าที่แท้เหยียนเฟยเพียงคิดจะมาเอาน้ำไปดับไฟ…
ยามเมื่อเหยียนเฟยวางน้ำกะละมังใหญ่ลงบนมือของเยว่เยียนเยียน เยว่เยียนเยียนถึงได้ตระหนักว่าการนึกเสียใจนั้นเป็เช่นไร นี่คงจะเป็ค่าตอบแทนของการวิ่งหนี ขณะประคองกะละมังน้ำอันหนักหน่วงเอาไว้ เยว่เยียนเยียนเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือกับเหยียนเฟยอย่างยากลำบาก “ข้า... ข้าถือไม่ไหว...”
“อย่าพูดไร้สาระ! ไม่อยากตายก็ถือเอาไว้!” เหยียนเฟยหัวคิ้วขมวดแน่น พลันสาวเท้าวิ่งไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบร้อนกลับไปยังสถานที่เกิดเพลิงไหม้ แล้วสาดน้ำเข้าไปในจุดที่ไฟไหม้อย่างไม่หยุดหย่อน กระทั่งตอนวกกลับมา ก็ไม่เห็นกะละมังน้ำของเยว่เยียนเยียนอยู่ประจำที่แล้ว…
ทั้งสองคนลงแรงพยายามอย่างหนัก ถึงสามารถดับไฟในห้องครัวลงไปได้ในที่สุด เหยียนเฟยเหน็ดเหนื่อยจนหัวหมุนขาอ่อน ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยรอยเปื้อนไม่สะอาดสะอ้าน เขาหย่อนตัวนั่งลงข้างประตูห้องครัว ผ่อนลมหายใจหนัก “ข้าว่านะเ้าตัวป่วน เ้าช่างร้ายกาจนัก ร้ายกาจจริงๆ !” เหยียนเฟยเหลือบตาขึ้นมองเยว่เยียนเยียนที่กำลังหน้าดำหน้าแดง อดกลั้นความขบขันและความโมโหเอาไว้ แล้วพูดขึ้นเช่นนั้น
