“ขอลองดู... ได้ไหมคะ?” เธอถามเสียงแ่เบาเย้ายวน แต่สายตามองไปที่กึ่งกลางกายเขา อย่างเร่าร้อน
ปพนต์พยักหน้า ไม่มีคำตอบอื่นนอกจากแววตาที่เชื่อมั่น มารตีเหมือนจะเข้าใจความหมายเธอลุกขึ้นปล่อยให้ส่วนนั้นของเขาเป็อิสระ
มือของจิรภาลูบไหล่ของเขาอย่างเบามือ ลากผ่านแผงอกจนถึงหน้าท้อง ก่อนััสิ่งที่แข็งขืนกลางลำตัวของปพนต์ที่เปียกลื่นเป็มันวาว ส่วนแขนอีกข้างของเธอสวมกอดเขาช้าๆ ก่อนจะเคลื่อนกายเข้าไปแทนที่มารตี จนแนบสนิทอย่างแเี ขยับให้สองร่างสอดใส่เชื่อมประสานกันอย่างสมบูรณ์ ทุกจังหวะคือการถาม และทุกลมหายใจของปพนต์คือการตอบรับ
มารตีเหลียวกลับไปมอง ทั้งสงสัย ทั้งสะกิดบางอย่างในหัวใจ แต่ไม่ใช่ความหึง ไม่ใช่ความเสียใจกลับเป็... ความอิ่มเอมที่เธอเองไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นได้ ก่อนหันไปสบตา “วรเมธ” ที่นั่งอยู่ไม่ไกลด้วยจิตใจร้อนรุ่มที่ยังไม่ได้รับการผ่อนคลาย แววตาเขานิ่ง ลึก และพร้อมรับฟังมากกว่าที่ผู้ชายคนไหนเคยเป็
วรเมธโน้มตัวเข้ามา กอดเธออย่างนุ่มนวล ไม่เร่ง ไม่รีบ แล้วจูบบนหน้าผากของเธออย่างละเมียดละไม
“ถ้าเธออยากจะลอง...” เขาเอ่ยถามมารตีเบาๆ
สาวสวยไม่ได้ตอบเป็คำ เธอเพียงแค่พยักหน้า แต่ในใจกับบอกอย่างเร่าเร้าว่าเธอพร้อมจนจะลายแล้ว ั้แ่นั่งบดอยู่บนตักของปพนต์ หญิงสาวขยับมือไปวางลงบนบ่าเขา “ฉัน...เอ่อ...อยากค่ะ อยากลอง...” เสียงมารตีสั่น ขาดเป็ห้วงๆ
ทั้งคู่โน้มตัวเข้าหากันช้าๆ ก่อนที่มารตีจะจับส่วนที่แข็งขืนเติมเต็มเข้าสู่ร่างเธออย่างเร่งร้อน พลางเคลื่อนไหวร่างกายประสานกันในจังหวะที่สอดคล้องที่สุดของค่ำคืน
ไม่มีเสียงร้อง ไม่มีการครางเสียงดัง มีเพียงเสียงครางต่ำๆ และเสียงลมหายใจแ่ๆ สลับกันไป ราวกับว่าพวกเขากำลังวาดภาพจากร่างเปลือยเปล่า ของกันและกัน ทุกการเคลื่อนไหวค่อยๆ ขยับ เนิบช้า แต่หนักแน่น
ทุกจังหวะที่ปพนต์และจิรภาร่วมกัน คือการให้อิสระอย่างที่สุด ทุกจังหวะที่วรเมธและมารตีหลอมร่างรวมกัน คือการเติมเต็มที่ไม่ต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้ว
ทั้งสองคู่ขยับมาใกล้กัน จริภาเอียงหน้าไปใกล้จนริมปากแนบชิดกับริมฝีปากที่เผยอน้อยๆ ของมารตี ทั้งสองจ้องตากันราวกับส่งสัญญาณบางอย่าง
ก่อนที่จริภาจะถอนกายจากตักของปพนต์ ปล่อยให้มารตีเข้ามานั่งแทนและเธอกลับไปที่วรเมธ สองสาวหัวเราะกันอย่างสนุกสนานขณะที่ขยับสะโพกขึ้นสูงสุด แล้วปล่อยลงมา เป็จังหวะต่อเนื่องไป ราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
แล้วก็สลับกลับไปอีก...
เมื่อจังหวะสุดท้ายผ่านไป เมื่อร่างกายสงบนิ่ง เมื่อความรู้สึกอบอุ่นคลี่คลุมทั้งสี่คนเหมือนผ้าห่มกลางฤดูหนาว จิรภาเอนหัวลงบนอกปพนต์ ขณะที่มารตีนอนกอดวรเมธ เงียบๆ ไม่มีใครอยากพูดอะไร... เพราะความสมบูรณ์นั้นไม่ต้องมีคำอธิบาย
เมื่อมารตีมองไปรอบตัว ก็พบว่า...จากคนแปลกหน้ากลายมาเป็พลังชีวิต จากสามี กลายเป็ผู้ที่ร่วมฝัน และเธอเอง... ก็เพิ่งรู้ว่า การ “ยอมให้รัก”นั้น ไม่จำเป็ต้องเลือกเพียงทางเดียว
คืนนี้ พวกเขาไม่ได้นอนเพียงเพื่อพักผ่อน แต่เพื่อตื่นขึ้น... ในเช้าวันใหม่ พร้อมใจกันในร่างกายใหม่ และหัวใจใหม่
แสงแดดลอดผ่านผ้าม่านลายเรขาคณิต สะท้อนกับผิวเปลือยเปล่าของร่างทั้งสี่ที่ยังนอนปะปนกันอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ มารตีค่อยๆ ลืมตาขึ้น พร้อมกับความรู้สึกอุ่นซ่านที่ยังหลงเหลือจากค่ำคืนก่อน และความเหนียวเหนอะหนะที่ยังค้างคาอยู่บนหน้าขา... แต่สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจ ไม่ใช่เพียงความวาบหวามทางกาย แต่เป็ความรู้สึก “คิดถึง” ใครบางคนที่ไม่ใช่สามีของเธอ
จิรภา
หญิงสาวที่นอนอยู่ข้างๆ ตอนนี้ แผ่นหลังเปลือยนุ่มนิ่มแนบกับอกของเธอ ร่างกายหอมกลิ่นไม้หอมและควันเทียน จิรภาไม่ได้ตื่นเต็มตา แต่ส่งเสียงครางเบาๆ ในลำคออย่างพอใจเมื่อมารตีกอดเธอแน่นขึ้น
"เธอกอดแน่นจัง" จิรภาพึมพำพลางหันหน้าเข้ามาใกล้ จมูกเฉียดแก้มมารตี
"ขอโทษ...ฉันแค่..." มารตีไม่พูดจนจบ เธอแค่หลบสายตา แต่จิรภาไม่ถามต่อ เพียงส่งรอยยิ้มมาจางๆ แล้ววางมือที่หน้าท้องของมารตี ลูบวนช้าๆ ััได้ถึงคราบของเหลวที่ยังเหนียวเหนอะอยู่
เสียงเตียงไหวเบาอีกฝั่ง ปพนต์เพิ่งตื่น เขายันกายลุกนั่ง ผิวเปลือยแต้มด้วยรอยจูบทั่วแผ่นหลัง วรเมธที่อยู่ข้างๆ ยังนอนนิ่ง ดวงตาปิดแต่ลมหายใจสม่ำเสมอ
“เมื่อคืน...” ปพนต์พูดเบาๆ “เหมือนพวกเราทั้งสี่คน... ละลายเข้าหากันโดยไม่ต้องพูดเลยเนอะ”
มารตีเพียงแค่ยิ้ม แต่ไม่ได้ตอบ เธอแค่เอื้อมมือแตะปลายนิ้วสามี ก่อนจะขยับกายช้าๆ ไปกึ่งกลางเตียง สายตาเชื้อเชิญให้จิรภาตามมา และทั้งคู่... ก็เคลื่อนไหวพร้อมกัน ราวกับบทเต้นรำที่ถูกซักซ้อมมานับครั้งไม่ถ้วน
ร่างเปลือยของปพนต์เคลื่อนเข้าหาร่างเปลือยของจิรภา ขณะที่เธอขยับขึ้นนั่งคร่อมกึ่งกลางกายของเขาอย่างมั่นใจ ส่วนมารตีเอง...ก็ถูกรวบกอดจากด้านหลังโดยวรเมธที่ตื่นขึ้นมาแล้วพร้อมรอยยิ้มละไม ก่อนจะดันเธอให้โย้ตัวเหมือนคลานไปด้านหน้าขณะที่เขาขยับไปแนบกับร่างตรงหน้าก่อนจะดันตัวเองเข้าไปในกายเธออย่างช้าๆ
เสียงหัวเราะเบาๆ ปนเสียงหอบหายใจดังประสานกันบนผ้าปูเตียงที่ยับยู่ย่นไปทั่ว เกมส์ของ “สามีภรรยา” ถูกเล่นซ้ำอีกครั้ง แต่ไม่ใช่ในความหมายเดิม
ครั้งนี้ มันคือการแบ่งปัน คือการค้นหา่เวลาที่ไม่มีคำว่าของใครคนเดียว
จิรภาจับมือมารตี ดึงมาประกบกับมือปพนต์ วรเมธอยู่ด้านหลังจิรภา มือเขากอดเอวเธอไว้แน่น ขณะกึ่งกลางกายเชื่อมต่อกันอยู่ ราวกับกำลังหลอมรวมเป็คนเดียวกัน แล้วจู่ๆ มารตีก็หันไปหา “จิรภา” และจูบเธอ จูบที่นุ่มลึก หอมหวานและเต็มไปด้วยคำถามในใจที่ไม่มีคำตอบ
“จิรภา...”
“อืม?”
“เมื่อกี้... ฉันแค่รู้สึกว่า...”
“ไม่ต้องอธิบาย” จิรภาตัดบทเบาๆ แล้วจูบกลับ “แค่รู้สึกก็พอแล้ว”
และจากนั้น...
ทั้งสี่ก็แลกจังหวะ สลับตำแหน่ง ถ่ายเทความร้อนแรงของเช้าที่อุ่นชื้น ให้กลายเป็บทกวีเร่าร้อนที่แต่งด้วยกายและใจ ไม่มีใครรู้ว่าเส้นแบ่งของความสัมพันธ์นั้นอยู่ตรงไหนอีกต่อไป
เมื่อเสียงหอบหายใจสุดท้ายจางลง เมื่อความนิ่งเงียบห่มคลุมพวกเขาอีกครั้ง มารตีนอนแผ่หลา ตาเหม่อมองเพดาน โดยมีอวัยวะสำคัญของวรเมธวางพาดอยู่บนโคนขาข้างหนึ่งของเธอ และทิ้งคราบเหนียวข้นไว้ตรงนั้น
จิรภาซบไหล่ข้างหนึ่ง ปพนต์แนบกายอีกข้าง ไม่มีใครพูดคำว่า "รัก" แต่ทุกคนต่าง “รู้สึก” ถึงมัน และมารตีก็เพิ่งเข้าใจ...
บางครั้ง... การเปลือยกายที่สุด ก็คือการเปลือยใจที่สุดเช่นกัน เสียงลมหายใจแ่เบาของใครบางคนยังดังอยู่ใกล้ใบหูของเธอ ผิวเปลือยเปล่าแนบกันใต้ผืนผ้าห่มสีขาวบางเฉียบที่ไม่อาจปิดกั้นไออุ่นที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างทั้งสี่ได้
วรเมธขยับขึ้นนั่งพิงหัวเตียง นิ้วอวบหนาไล้เส้นผมมารตีเบาๆ ขณะที่เธอนอนตะแคงซบต้นขาเขา ปล่อยให้ปลายจมูก คลอเคลียอวัยวะสำคัญที่เหมือนปลิงตัวใหญ่ของเขา พลางสูดดมราวกับจะจดจำกลิ่นนี้ไว้ในใจ “หอมแปลกๆ นะ...แต่ก็ชื่นใจจังเลย...” เธอเผลอหลุดปากออกมาอย่างไม่รู้ตัว ขณะสูดดมซ้ำแล้ว ซ้ำเล่าใบหน้าแดงระเรื่อไม่ใช่เพราะความอายอีกต่อไป...
แต่มันคือความพอใจปนประหลาดใจ ที่รู้สึกเหมือนโลกกำลังเปิดออกอีกใบ
"รู้ไหมคะ... พวกเราดูดีกันทุกคนเลย" เสียงของจิรภาดังขึ้นเบาๆ ข้างปพนต์ เธอเอนศีรษะลงบนไหล่เขา ลมหายใจรินรดต้นคอ ปพนต์ก้มลงจูบหน้าผากหญิงสาวที่เพิ่งมอบทั้งร่างกายและหัวใจให้กับทุกคนที่อยู่ตรงนี้
"มันไม่ใช่เื่ของร่างกายแล้วล่ะ..." ปพนต์พูดอย่างเงียบงัน “มันคืออะไรบางอย่างที่ลึกกว่า”
มารตียังไม่พูดอะไร เธอเพียงแค่ขยับตัวเบาๆ พลิกกายขึ้น และ... จ้องมอง “จิรภา” อย่างไม่ปิดบัง จิรภารู้สึกได้ถึงสายตานั้น เธอแค่ยิ้ม
“ถ้าอยากลองวาดอะไรสักอย่างบนตัวฉัน...” จิรภาพูดขึ้น “ฉันยินดีเป็ผืนผ้าใบของเธอเลยนะ”