จ้งจื๋อเข้ารับตำแหน่งแล้ว
ท่าทางดูไม่ต่างจากอู๋เจียงในปีนั้นที่เข้ามาดูแลชายแดนที่ห่างไกลแห่งนี้
เขารู้สึกราวกับว่าจะได้เห็นเมืองหลวงเป็ครั้งสุดท้าย
เขาทำใจไม่ได้ ยังอยากจะพำนักอยู่ที่นี่ต่ออีกสักหน่อย
เพราะพื้นที่ห่างไกลนั้นเพิ่งเกิดาใหญ่
เหล่าทหารชายแดนล้วนแล้วแต่ไม่รอดชีวิตกลับมา
ดังนั้นโอกาสที่จ้งจื๋อจะสิ้นชีพที่นั่นก็มีไม่น้อย ทุกคนไม่เพียงแต่มาร่วมส่งเขาไปรับตำแหน่ง แต่กำลังส่งเขาไปตาย
กระทั่งเหล่าผู้ตรวจการก็ยังคิดว่าจ้งจื๋อนั้นมีตำแหน่งสูงนัก ทั้งยังคิดว่าเขานั้นไปที่นั่นเพื่อเป็ข้าหลวงจริงๆ เช่นนั้นจึงได้เริ่มคำนวณผลประโยชน์จากการที่เขาไปรับตำแหน่ง
จ้งจื๋อยามจะจากไป ก็ยังลากครอบครัวไปด้วย
พาครอบครัวย้ายกันไปกับตนทั้งหมด
นี่เป็เื่ที่ครอบครัวต้องยอมรับไปโดยปริยาย
ท่านนายอำเภอคนก่อนอย่างใต้เท้าเฉิน ทั้งภรรยาและอนุล้วนถูกฆ่าตาย
ว่ากันว่ายามที่กองทัพจิงบุกนั้นเป้าหมายแรกก็คืออำเภอิเหอ
คนทั้งอำเภอจึงถูกฆ่าตาย
กระทั่งราชครูน้อย วันนี้ก็ให้คนกลุ่มหนึ่งออกมาร่วมส่งเขาเช่นกัน
ราชครูน้อยนั้นไม่รู้สึกผูกพันกับตระกูลจ้งเท่าใดนัก กระทั่งสามารถกล่าวได้ว่าในใจลึกๆ ของเขาไม่ชอบคนเหล่านี้ด้วยซ้ำ
เพราะวัยเด็กของเขายามยังอยู่ในตระกูลจ้งไม่สวยงามเท่าใดนัก
คนตระกูลจ้งให้ความสำคัญกับการอบรมเด็กวัยก่อนสิบขวบเป็พิเศษ ดังนั้นสิ่งที่ตามมาคือการแข่งขันระหว่างเด็กๆ ที่ค่อนข้างจะโหดร้ายและทารุณ
ทว่าบัดนี้ยามเขามองคนตระกูลจ้งที่มากันมากมาย เหล่าคนชราและเด็กน้อยต่างค่อยๆ พากันขึ้นรถม้าแล้วมุ่งหน้าออกจากเมือง ในใจเขาก็พลันรู้สึกอ้างว้างขึ้นมา
ราวกับว่าเขาถูกทอดทิ้งไว้ข้างหลัง ต้องยืนอย่างโดดเดี่ยว
ไม่รู้ว่าองค์หญิงอีมายืนอยู่ข้างกายเขาั้แ่เมื่อใด
“พี่เยียน ท่านไม่สบายใจหรือ”
จ้งเยียนส่ายหน้า เขาไม่ได้รู้สึกไม่สบายใจ ทว่าก็ไม่รู้สึกเบาใจได้นัก ไม่รู้ว่าจะกล่าวเช่นไรดี
“คนเ่าั้เคยรังแกท่าน ในที่สุดก็ไปจากเมืองหลวงสักที พวกเขาย่อมไม่อาจกลับมาอีกแล้ว ท่านวางใจเถิด” น้ำเสียงแบบเด็กๆ กล่าวขึ้นอย่างเย้ยหยัน
ราชครูน้อยเมื่อได้ยินคำที่องค์หญิงตรัสก็พลันใ เมื่อเขาหันมองใบหน้าเล็กนั้นก็เห็นแววมั่นใจเจือด้วยความเบิกบาน
ทันใดนั้นเขาได้คิดถึงเื่ในวันวานขึ้นมา ทว่าก็ไม่กล้าคิดต่อไปมากกว่านั้น
เขาได้แต่ก้มหน้าไม่กล้าจากขบวนนั้นมา
เพียงแต่ในสายธารของความทรงจำ มองตัวอักษรคำว่าจ้งโบกสะบัดสั่นไหวไปมา บดบังสายตาทั้งสองของเขาไว้จนมิด
องค์หญิงพลันรู้สึกรำคาญใจ คนโบราณนี่ช่างหัวโบราณจริงๆ ให้ความสำคัญกับญาติมิตรเหลือเกิน
แต่ก็เอาเถิด คนรักครอบครัวถึงอย่างไรก็น่ารัก หากว่าไม่รักครอบครัว นางก็คงจะรู้สึกกลัวเหมือนกัน
เมื่อต้องมาส่งผู้คน เมืองหลวงจึงพลันหยุดชะงัก
ผู้ดูแลบัณฑิตเฉินไม่ได้มาร่วมส่ง ทว่าทุกคนก็มองว่าสถานะของใต้เท้าเฉินนั้นสูงกว่าอีกขั้นหนึ่ง ทั้งยังมีบทบาทต่อคนอื่นนัก ได้ยินมาว่าจ้งจื๋อนั้นหลังจากไปเยี่ยมเยียนใต้เท้าเฉิน จึงจะเพิ่งยินยอมเดินทางไปพื้นที่ห่างไกลแห่งนั้นจริงๆ ทั้งยังพาคนในครอบครัวไปด้วย
ฮ่องเต้เห็นว่าเื่ที่ตระกูลจ้งพากันย้ายไปยังพื้นที่ห่างไกลเป็เื่เล็กจึงไม่ได้สนใจอะไรนัก ในใจตอนนี้มีเพียงเื่ของสนมเอกเล่อของตนเท่านั้น
พระสนมเล่อเดิมทีก็เป็สตรีรูปร่างอวบอิ่มอยู่แล้ว หลังจากมีครรภ์ก็ยิ่งอวบอิ่มยิ่งกว่าเดิม…
ฮ่องเต้ไม่สนใจ แต่ตระกูลจ้งกลับสนใจยิ่งนัก
จ้งจื๋อหลังจากไปเยี่ยมเยียนผู้ดูแลบัณฑิตเฉินแล้ว กลับมาก็เร่งหารือกับคนในตระกูลอีกนานสองนาน จากนั้นก็พากันปิดจวน แล้วยื่นขอถอนบรรดาศักดิ์ด้วยตนเอง ฮ่องเต้แม้จะยังไม่พระราชทานอนุญาต ทว่าก็ออกคำสั่งให้ตกรางวัลแก่ตระกูลจ้งทันที
ตระกูลจ้งก็จากเมืองหลวงไปเช่นนี้ กระทั่งเหล่าผู้เฒ่าก็จากไปเช่นกัน
เส้นทางออกจากเมืองหลวงช่างแสนยาวไกล
ขบวนของตระกูลจ้งมีเสียงสะอื้นแว่วดังมาจากด้านในรถม้าหลายคัน
พวกเขารู้สึกว่าตนไม่ได้ต่างจากครอบครัวขุนนางทรราชต้องโทษที่โดนเนรเทศเลยสักนิด ด้วยเพราะครอบครัวขุนนางเ่าั้ก็ถูกเนรเทศไปยังทุ่งหญ้ารกร้างเช่นกัน
ความแตกต่างเดียวที่มี คือเหล่าขุนนางต้องโทษจะต้องมีผู้คุมคอยควบคุมตัว ทว่าขบวนของพวกเขานั้นมีผู้คุมมาคอยดูแลความปลอดภัย
คุมตัวกับคุ้มกันก็อ่านต่างกันแค่นิดเดียวไม่ใช่หรือ ทว่าหน้าที่หลักนั้นก็แทบไม่ต่างกัน
ไม่ต้องพูดถึงคนตระกูลจ้งคนอื่นๆ จ้งจื๋อเองก็แทบจะทนไม่ได้เช่นกัน
จ้งจื๋อและนายท่านผู้เฒ่านั่งอยู่ในรถม้าคันเดียวกัน
ด้วยเพราะนายท่านผู้เฒ่าตระกูลจ้งคือบิดาของเขา
บิดาแท้ๆ
“จื๋อเอ๋อร์ เส้นทางนี้แม้จะมีอันตรายมากมายนัก แต่โอกาสก็มีมากเช่นกัน เ้าต้อง่ชิงมันไว้ให้ดี” นายท่านผู้เฒ่า จ้งฮวากล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึม
เมื่อเขาได้ยินคำว่าจื๋อเอ๋อร์ที่บิดาแท้ๆ ของตนไม่ได้เรียกเช่นนี้มาเนิ่นนาน ก็พลันรู้สึกถึงเส้นเืที่ตุบเต้นขึ้นมา ท่านพ่อตั้งชื่อเขาว่าจื๋อ ทุกครั้งยามที่ท่านพ่อเอ่ยชื่อเขาก็ไม่คล้ายกับกำลังเรียกบุตรชายของตนเลยสักครา ราวกับกำลังเรียกหลานชายอยู่ก็ไม่ปาน
“ท่านพ่อ ท่านไม่ได้กล่าวว่าปีนั้นท่านเคยเรียนการคำนวณฟ้าดินมา จึงได้มาเป็ผู้นำตระกูลหรอกหรือ ท่านคำนวณได้อย่างไร แล้วผลออกมาตรงหรือไม่” จ้งจื๋อถามขึ้นอย่างกังวลใจ
เมื่อก่อนเขาไม่เคยกล้าถามเช่นนี้ ทว่ายามนี้จิตใจของเขาว้าวุ่นนัก
ร่างอ่อนปวกเปียกของนายท่านผู้เฒ่าเอนพิงเบาะรถม้า ว่ากันแล้วอายุของเขานั้นนับได้ว่าเป็คนตระกูลจ้งที่อายุยืนคนหนึ่ง ทว่าคนในตระกูลจ้งนั้น คนที่อายุยืนมักจะมีความสามารถปานกลาง เป็เื่ที่ช่างย้อนแย้งนัก
“ฮ้าว…” เขาอ้าปากหาวหวอด เมื่ออายุเยอะแล้วจึงตื่นเช้าไม่ค่อยไหว
“ต่อให้การคำนวณของข้าไม่ดีนัก แต่ก็ยังดีกว่าเ้าก็แล้วกัน พวกเ้ามันสารเลวนัก หากพวกเ้าตั้งใจมากกว่านี้แล้วเราจะตกอยู่ในสภาพนี้ได้หรือ”
“ท่านพ่อ ตอนนี้ข้าจริงจังอยู่นะ” จ้งจื๋อได้แต่จนใจ มีบิดาผู้ไร้เหตุผลเป็ผู้นำตระกูลนี่มันช่างฝืนทนนัก
“ข้าโง่นักหรือ วันก่อนที่เ้าถามข้า ในกระเป๋าข้ามีเงินร่วงลงมาพอดี ้าของมันหงายขึ้น ข้าจึงได้แต่คิดว่าน่าจะพอไหว” นายท่านผู้เฒ่ากล่าวด้วยท่าทีขึงขัง
จ้งจื๋อพลันรู้สึกอยากจะร่ำไห้
วันก่อนที่เขาไปขอคำชี้แนะจากใต้เท้าเฉินนั้น ใต้เท้าเฉินกลับไม่ได้กล่าวอันใด ที่แห่งนั้นยังเป็แผลลึกในใจ เขาจึงมิอาจถามถึงได้มาก ทว่าใต้เท้าเฉินกลับไหว้วานให้เขาช่วยนำรายชื่อของผู้ที่มีสิทธิ์เข้าสำนักเชินสี่รายชื่อไปส่งที่ทุ่งหญ้าห่างไกล หากว่าหมู่บ้านไป๋กู่ยังคงอยู่ ก็ให้มอบรายชื่อเหล่านี้ให้กับพี่ชายและน้องสาวตระกูลลู่
ความจริงแล้วต่อให้เขาอยากจะให้คนอื่นทำแทน แต่ก็คงเป็ไม่ได้
รายชื่อทั้งสี่นั้นถูกเขียนไว้เรียบร้อย รายชื่อในนั้นมีลู่เกอ ลู่อู่ ลู่สวิน และลู่เฉินโย่ว
จ้งจื๋อเห็นว่าท่าทางของใต้เท้าเฉินช่างเอาจริงเอาจัง หากว่าสี่คนนี้ไม่ได้มีชีวิตอยู่แล้ว รายชื่อเหล่านี้ย่อมต้องกลายเป็โมฆะ
เขาจึงกลับมาปรึกษาท่านพ่อว่าจะทำอย่างไรดี
ผลลัพธ์คือท่านพ่อกล่าวว่าเดินทางไปทุ่งหญ้ารกร้างนั้นไม่มีปัญหา เขาจึงตัดสินใจพาทั้งตระกูลย้ายถิ่นฐาน ละทิ้งบรรดาศักดิ์ที่มีเสีย มิใช่อย่างที่คนนอกคิดกันว่าที่เขาทำเช่นนี้เพราะได้ฟังคำของใต้เท้าเฉิน
ทว่าบัดนี้ท่านพ่อกลับบอกว่าการตัดสินใจเช่นนั้นเป็เพราะอาศัยจากการดูเงินที่หล่นลงพื้นเท่านั้น
“เ้าอย่ามามองข้าเช่นนี้ วิธีการของข้านั้นมีประโยชน์นัก หลายปีมานี้ข้าก็ล้วนแต่พึ่งพาวิธีนี้จึงได้หลบหลีกหายนะมาได้นับไม่ถ้วน อย่างน้อยมันก็ต้องถูกสักครึ่งหนึ่ง”
จ้งจื๋อนั้นแทบจะร้องไห้ ไม่แปลกใจที่ท่านพ่อบอกว่าวิชาการคำนวณของตนไม่ดี
เม็ดเงินนั้นมีสองด้านไม่ว่าจะเป็ด้านไหน ก็ย่อมต้องถูกครึ่งหนึ่ง
เมื่อได้ยินเสียงคนในขบวนร่ำไห้เป็ระยะ เขาก็อยากจะร้องตามเช่นกัน
“ท่านพ่อ ท่านต้องไม่ใช่บิดาแท้ๆ ของข้าเป็แน่ ข้าจะเป็ลูกท่านได้อย่างไร ข้าต้องเป็หลานของท่านแน่ๆ…”
ขบวนเคลื่อนไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งรู้สึกเย็นะเื บรรยากาศสองข้างทางค่อยๆ เปลี่ยนเป็รกร้าง
จากต้นไม้สูงชะลูดกลายมาเป็ต้นหญ้าสูงเพียงหนึ่งกำปั้น
จากทุ่งหญ้าสู่ทะเลทรายเวิ้งว้าง
ตลอดเส้นทาง ร่ำไห้กันจนแทบคลั่งไปแล้วถึงสามครั้ง
หนึ่งในนั้นเป็สะใภ้คนใหม่ของตระกูลจ้ง สะใภ้ใหม่นั้นทนไม่ไหว จะเป็จะตายก็ขอจากไป ทิ้งไว้เพียงจดหมายฉบับหนึ่ง แล้วจึงพาสาวใช้และม้าบึ่งกลับเมืองหลวงไป
ยามมองเห็นผืนทราย ผู้คนก็มักอยากจะร่ำไห้อยู่เสมอ
เขานั่งอยู่นอกรถม้า คอยบังคับม้า
ลมพัดโหม ดวงตะวันแผดเผา ริมฝีปากไม่นานก็ค่อยๆ แห้งแตก
มองจากตรงนี้ เห็นว่าไกลๆ เหมือนจะมีเมืองอยู่
เมืองนี้ใหญ่นัก แทบไม่ต่างกับเมืองหลวง หน้าประตูเมืองยังแขวนป้ายชื่อป้ายใหญ่โตมโหฬารไว้ เขียนว่าิเหอ
“ท่านพ่อ หรือข้าจะใกล้ตายแล้ว ตรงหน้าข้าคือภาพลวงตาหรือไม่”
นายท่านผู้เฒ่าตื่นขึ้นเพราะเสียงเอ็ดตะโรในรถม้า ค่อยๆ แหวกม่านออก มองไปด้านนอก ทันใดนั้นก็ต้องขยี้ตาแล้วกล่าวขึ้นอย่างไม่แน่ใจ “รอประเดี๋ยว ข้าขอคำนวณดูเสียหน่อย เอ้า ก้อนเงินของข้าเล่า”
