ทันใดนั้น กลิ่นหอมสดชื่นเอ้อระเหยจางๆ ลอยเข้าจมูกนาง ไหลลงสู่หลอดอาหาร ในที่สุดก็ลอยเข้าสู่ท้องอันว่างเปล่า
กลิ่นหอมกระจายในอากาศ เหมือนว่ากลิ่นจะคงอยู่ไม่จางหายไป ทำให้ท้องของมู่จื่อหลิงที่ร้องโครกครากอยู่แล้ว ยิ่งส่งเสียงคำรามขึ้นไปอีก
นี่คือกลิ่นของไก่ฟ้า [1] ย่าง รสชาติยอดเยี่ยมหรือไม่ในยามนี้ไม่ใช่เื่สำคัญ ด้วยสำหรับมู่จื่อหลิงผู้หิวโหย สิ่งนี้ย่อมเป็อาหารอันโอชะที่สุดในใต้หล้า
มู่จื่อหลิงอดไม่ได้ที่จะหายใจเข้าลึกๆ แอบชมในใจว่า ‘หอมจัง!’
ช่างเย้ายวนเหลือเกิน...
ในยามนี้ข้างนอกเงียบมาก ดูเหมือนว่านอกจากเสียง ‘ฉี่ ฉ่า’ จากไก่ย่างแล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีก
ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ท้องร้องดังเกินไปจนถูกอีกฝ่ายมาพบเข้า มู่จื่อหลิงจึงวางฝาหม้อนึ่งลงอย่างระมัดระวัง พลิกกลับ นอนตัวตรง
จากนั้นนางก็ยื่นมือออกไปโดยไม่รู้ตัว กดหน้าท้องแบนราบแห้งเหี่ยวไว้แน่น สูดกลิ่นไก่ย่างที่ยังคงโชยอยู่ในจมูกเข้าไปในท้องว่างเปล่าของตน
์ทราบดี ในเวลานี้มู่จื่อหลิงแทบจะขาดใจตายแล้ว
ไม่ใช่ว่านางไม่เคยหิวมาก่อน แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะเป็ครั้งที่หิวที่สุดในชีวิตทั้งสองชาติรวมกัน
ยิ่งกว่านั้น แม้ว่านางจะเคยหิวโหย แต่นางไม่เคยรู้สึกไร้ความสามารถมากถึงเพียงนี้ นางหิวมาก แต่กลับไม่มีอะไรให้กินแม้เพียงนิด
ไม่ต้องพูดถึงไหวพริบและความกล้าหาญในการสู้รบกับศัตรูก่อนหน้านี้ อีกทั้งนางยังต้องทนรับการทรมานใน่เวลาแห่งชีวิตและความตาย ผ่านไปสามวันเต็ม การออกแรงกายระดับนี้ย่อมสามารถจินตนาการได้
มู่จื่อหลิงกัดฟันด้วยความโกรธท่ามกลางความมืดมิด
ไม่ว่าสถานการณ์ภายนอกจะเป็อย่างไร นางก็ยังต้องกินอะไรสักอย่างเพื่อเติมพลัง
แม้ในภายภาคหน้านางจะไม่มีความสามารถในการต่อสู้กับคู่ต่อสู้แบบตัวต่อตัว แต่นางยังสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งเพื่อหลบหนีได้
ไม่เช่นนั้น มะเขือม่วงที่โดนความเย็นจัดเช่นนางในยามนี้ มีเพียงแต่จะอ่อนปวกเปียกไร้ชีวิตชีวา หากยังเป็เช่นนี้ นางจะถูกนึ่งจริงๆ
นางหมดสติไปนานถึงสามวัน จึงไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับโลกภายนอก
มู่จื่อหลิงคิดว่าหลังจากที่นางหมดสติไปแล้ว ความเป็ไปได้ที่ใหญ่ที่สุดก็คือหวงอีพานางมายังสถานที่ที่น่ากลัวแห่งนี้
ส่วนเื่ในยามนี้หวงอีจะมีส่วนรู้เห็นหรือไม่นั้น แค่ดูก็รู้แล้ว
บอกว่าดูก็ดู!
มู่จื่อหลิงกลืนน้ำลายที่อยู่เต็มปากลงไปอย่างเงียบๆ ฝืนกล้ำกลืนความหิวในลำคอกลับเข้าไปในท้องเพื่อระงับความหิว
จากนั้นจึงนอนคว่ำหน้าอีกครั้ง นางแอบเปิดฝาหม้อนึ่ง เผยให้เห็นช่องว่างขนาดเท่ากำปั้น
ใบหน้าของมู่จื่อหลิงเกือบชิดกับขอบหม้อนึ่ง ปากเม้มแน่น ดวงตาหลุบลงเล็กน้อย มองลงไปด้านล่าง...
เห็นว่ามีหญิงชุดเหลืองกับหญิงชุดน้ำเงินกำลังยืนเผชิญหน้ากันหน้ากองไฟด้านล่าง
ในขณะนี้ ทั้งสองคนกำลังย่างไก่ฟ้าด้วยท่าทางสบายๆ
จริงเสียด้วย! ดวงตามู่จื่อหลิงหรี่ลงเล็กน้อย แสงเย็นวาบในดวงตาของนาง
เป็หวงอีหญิงบ้าผู้นั้นจริงๆ ส่วนหญิงชุดน้ำเงินที่อยู่ข้างกายนางคงเป็หลานหนิง หนึ่งในสหายที่เฉิงอวี้เล่าไว้ก่อนหน้านี้
แค่สองคนหรือ?
มู่จื่อหลิงขยับอย่างช้าๆ ภายในหม้อนึ่งขนาดใหญ่ มองไปทุกทิศทุกทางภายใต้หม้อนึ่งทรงสูง มีเพียงพวกนางสองคนจริงๆ
ไกลออกไปทุกทิศทุกทาง เว้นแตู่เาที่มีป่าไม้เขียวขจีและผาหินที่ไร้ใบหญ้า ก็ไม่เห็นใครอีก
สิ่งนี้ทำให้มู่จื่อหลิงรู้สึกแปลกมาก
สาเหตุคือเยวี่ยหลิงหลงส่งสาวใช้เหล่านี้มาฆ่านาง แต่ยามนี้พวกนางกลับไม่ได้สังหารนางโดยตรง ทั้งยังจับนางไว้ในหม้อนึ่งขนาดใหญ่ภายในโตรกผาลึกที่ไม่รู้ว่าคือที่แห่งใด
ไม่ชอบมาพากล? พวกนางกำลังทำอะไรอยู่?
อย่างไรก็ตาม ในยามที่มู่จื่อหลิงกำลังรู้สึกงงงวย...
บทสนทนาต่อไประหว่างทั้งสองคนข้างนอก ไม่เพียงดึงดูดความคิดของนางออกจากเื่อาหารได้เท่านั้น แต่ยังขจัดข้อสงสัยเกี่ยวกับการที่นางถูกจับมายังโตรกผาลึกนิรนามแห่งนี้อีกด้วย
หญิงที่ชื่อหลานหนิงซึ่งกำลังหมุนกิ่งไม้ที่เสียบไก่ฟ้าในมืออย่างตั้งใจเอ่ยถามเบาๆ “ในเมื่อเราจับมู่จื่อหลิงได้แล้ว เหตุใดถึงไม่ฆ่าหรือมอบนางให้นายหญิงรอง? เ้าคงทราบดีว่านายหญิงรองกำลังรอเรากลับไปรายงานผลภารกิจ”
ในยามนี้ใบหน้าของหวงอีซีดลงเล็กน้อย แต่จากดวงตาที่ยิ้มของนาง เห็นได้ว่านางกำลังอารมณ์ดี
นางหัวเราะเยาะ ก่อนจะพูดว่า “อย่ารีบร้อน รอจนข้าศึกษาร่างกายของหญิงหน้าเหม็นผู้นั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วนเสียก่อน สิ่งนี้จะเป็ผลงานที่ดียิ่งกว่าที่เราจะได้รับจากการมอบหญิงหน้าเหม็นผู้นั้นให้กับนายหญิงรองโดยตรง อีกทั้งข้าเชื่อว่าแม้กระทั่งท่านประมุขก็ยังสนใจความลับในร่างกายของหญิงหน้าเหม็นผู้นั้นเช่นกัน”
ศึกษาร่างกายของนาง? จะนึ่งเพื่อศึกษาหรือ?
ในขณะแอบฟังอยู่ในหม้อนึ่งปากของมู่จื่อหลิงก็เม้มแน่น ความรู้สึกของนางพลุ่งพล่านแทบะเิ คนบ้าผู้นี้ไม่เพียงแค่บ้าเท่านั้น...
คนบ้าคนนี้ไม่เพียงแต่บ้าเท่านั้น แต่ยังวิปริตด้วย!
นอกจากระบบซิงเฉิน นางจะยังมีความลับใดในตัวอีกเล่า เหตุใดนางถึงไม่รู้?
มู่จื่อหลิงรู้สึกสับสน
แต่สัญชาตญาณบอกนางว่า นี่น่าจะเป็สาเหตุที่ทำให้นางยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้จนถึงยามนี้
ในเวลาเดียวกัน มู่จื่อหลิงก็แอบดีใจที่หวงอีไม่ฉวยโอกาสใน่ที่นางยังหมดสติส่งตัวนางให้หญิงใจอำมหิตเยวี่ยหลิงหลง
ไม่เช่นนั้นร่างกายของนางจะต้องทรมานจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกเป็แน่
มู่จื่อหลิงยังคงฟังเงียบๆ
หลังจากฟังคำอธิบายของหวงอีแล้ว หลานหนิงก็ไม่ได้โต้แย้ง แต่ดวงตาของนางเหมือนจะเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ “แต่หวงอี เ้าเคยเฆี่ยนมู่จื่อหลิงมาก่อนจริงหรือ?”
หวงอีมองนางอย่างเ็า พูดอย่างหมดความอดทน “ข้าพูดไปกี่ครั้งแล้ว นี่เป็ความจริง นอกจากนี้เ้ายังเห็นแส้ของข้าแล้ว แส้ยังมีคราบเืของนางติดอยู่ อีกทั้งเ้าไม่เห็นอาการาเ็ของข้าหรือ จริงเสียยิ่งกว่าทองคำเงินแท้ [2]”
หลานหนิงยังคงดูสับสน ก่อนจะถามอย่างงงงวย “ยังไม่ต้องกล่าวถึงพิษเจ็ดแมลงเจ็ดดอกไม้บนแส้พิษของเ้า นอกจากเ้าแล้ว ในใต้หล้านี้มีน้อยมากที่จะมีผู้ใดสามารถรับมือได้ ไม่ต้องพูดถึงว่ามู่จื่อหลิงจะมีความสามารถในการรับมือ ด้วยถึงแม้จะรับมือได้ าแถูกแส้อย่างไรก็รักษาไม่หาย ความสามารถในการแก้ไข เป็ไปไม่ได้ที่แผลถูกแส้จะหายไป ทั้งยังหายสนิท นอกจากนี้ เพิ่งจะผ่านมาได้สามวันเท่านั้น มันเกิดอะไรขึ้น?”
“ข้าเฆี่ยนตีนาง แต่เมื่อข้าตื่นขึ้น ข้าพบว่านอกจากเสื้อผ้าที่หลังของนางฉีกขาดแล้ว หญิงตัวเหม็นนั่นไม่มีาแใดๆ ผิวของนางเหมือนเดิม ไม่มีร่องรอยของการาเ็ใดๆ เลย” หวงอีก็ไม่อาจเข้าใจเื่นี้ได้เช่นกัน
หลังจากฟังการสนทนาระหว่างทั้งสอง มู่จื่อหลิงนึกขึ้นมาได้ว่านางถูกหวงอีเฆี่ยนตีจริงๆ ในยามที่นางฟื้นขึ้นมา นางไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเื่นี้
แต่ยามนี้...มู่จื่อหลิงแตะหลังของนางโดยไม่รู้ตัว
ทันทีที่ัั มู่จื่อหลิงก็ใเล็กน้อย
เป็อย่างที่หวงอีพูด เว้นแต่รอยฉีกขาดขนาดใหญ่ที่ด้านหลังของเสื้อผ้า ก็ไม่มีร่องรอยของการาเ็เลย
ไม่ว่าความสามารถในการรักษาาแของนางจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็เป็ไปไม่ได้ที่นางจะไม่มีร่องรอยใดๆ เลย?
เป็ไปได้อย่างไร? เกิดอะไรขึ้นหลังจากที่นางสลบไป?
มู่จื่อหลิงสับสนเป็อย่างมาก คิดหนักจนสมองแทบพันกันเป็ปม
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทั้งสองพูดต่อไปยิ่งทำให้มู่จื่อหลิงงงงวยยิ่งขึ้น
“าแภายในของเ้าเกิดจากการเฆี่ยนตีนางแล้วโดนสะท้อนกลับหรือ? นางไม่มีวรยุทธ์ไม่ใช่หรือ? นางจะทำร้ายเ้าได้อย่างไร” หลานหนิงยังคงถามต่อไป
สะท้อนกลับ? ถูกกระแทกหรือ?
เมื่อได้ยินคำเหล่านี้ มู่จื่อหลิงยิ่งตกตะลึง มันเกิดอะไรขึ้น?
นี่หมายความว่าหวงอีเฆี่ยนตีนาง หลังจากที่นางถูกสะท้อนกลับ นางจึงได้รับาเ็ภายในหรือ? พวกนางหมายถึงสิ่งนี้ใช่หรือไม่?
เื่ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับสิ่งใด?
นี่เป็ครั้งแรกที่มู่จื่อหลิงรู้สึกว่าความสามารถในการเข้าใจภาษาของนางนั้นแย่มาก
ยามนี้ไม่ต่างจากไก่คุยกับเป็ด นางไม่เข้าใจแม้แต่น้อย
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน นางหญิงหน้าเหม็นนั่นไร้วรยุทธ์จริงๆ แต่ยามที่ข้ากำลังจะหมดสติไป ข้าเห็นรางๆ ว่า...” คำพูดสุดท้าย หวงอีกระซิบข้างหูหลานหนิง
เห็นอะไร?
ให้ตายเถอะ พูดให้ดังหน่อยสิ!
มู่จื่อหลิงเห็นหวงอีที่ทำท่าราวกับเกรงว่าผนังจะมีหู [3] ทำให้นางร้อนใจจนแทบทนไม่ไหว อยากจะเปิดหม้อนึ่ง แล้วะโออกไปสบถสาปแช่ง
ภายในรัศมีหนึ่งร้อยลี้ ไม่มีบุคคลที่สาม แม้จะพูดเสียงดังก็ไม่มีใครได้ยิน
ความลับอะไรที่เ้า้าซ่อนจนต้องกระซิบเช่นนี้? บ้าที่สุด!
ไม่พูดไม่ได้ว่า ฉีหวางเฟย ท่านลืมตนเองไปแล้วใช่หรือไม่?
เมื่อได้ยินคำกระซิบของหวงอี ดวงตาหลานหนิงก็เปล่งประกายฉายแววสยดสยอง “มีเื่เช่นนี้ด้วยหรือ? น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก!”
หวงอียกริมฝีปากเล็กน้อย ยิ้มอย่างเ็ายากจะคาดเดา
ในยามนั้น นางถูกพลังบางอย่างที่ทรงพลังในร่างกายของมู่จื่อหลิงทำให้สลบไป หลังจากนั้นไม่นานนางก็ตื่นขึ้นมา
หลังจากตื่นขึ้น นางพบ ‘ศพ’ ของมู่จื่อหลิงอยู่ข้างนาง
เดิมทีนางคิดว่ามู่จื่อหลิงตายแล้ว เพราะในเวลานั้นนางไม่รู้สึกถึงลมหายใจแห่งชีวิตของมู่จื่อหลิงเลย
คาดไม่ถึงว่า ยามที่นางดึงตัวเ้าคางคกน้อยออกมาจากร่างของมู่จื่อหลิง นางก็ต้องใเมื่อพบว่าาแจากการถูกแส้บนหลังของมู่จื่อหลิงหายไปแล้ว
ไม่เพียงแค่นั้น เดิมทีนาง้าทราบว่าพลังอันทรงพลังในร่างกายของมู่จื่อหลิงยังคงมีอยู่หรือไม่ แต่นางกลับตรวจพบชีพจรที่เต้นเป็ปกติของมู่จื่อหลิง นางยังไม่ตาย!
ยิ่งไปกว่านั้น แรงที่ทำให้นางลอยกระเด็นไปในอากาศก่อนหน้ายังคงไหลเวียนอยู่ในร่างกายของมู่จื่อหลิงอย่างบ้าคลั่ง
ในเวลานั้นพลังนั้นแกร่งมากจนดูเหมือนมู่จื่อหลิงกำลังเกิดใหม่อย่างสมบูรณ์
ในขณะนั้น ไม่เพียงแต่หวงอีรู้สึกใเท่านั้น แต่ยังประหลาดใจอีกด้วย
เพราะนางรู้สึกได้ว่าพลังในร่างกายของมู่จื่อหลิงแข็งแกร่งมาก
ในเวลานั้น นางเดาว่าหากนางสามารถควบคุมพลังนั้นได้ ทักษะของนางจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันเป็แน่!
นี่เป็หนึ่งในพลังที่ผู้ฝึกวรยุทธ์ทั่วไปไม่สามารถควบคุมได้ แม้แต่นางเองก็ไม่สามารถควบคุมได้ แต่มู่จื่อหลิงไม่เพียงสิ่งนี้เท่านั้น แต่ยังรับมือได้อย่างง่ายดาย ราวกับว่าสิ่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อนาง
การค้นพบดังกล่าวทำให้หวงอีบ้าคลั่ง แต่ที่มากยิ่งกว่าคือความอิจฉาอย่างสุดขีด
การนำพลังที่ทรงพลังเช่นนี้มาทิ้งไว้กับเ้าขยะไร้วรยุทธ์ เป็การใช้ทรัพยากรอย่างเสียเปล่า [4]
พลังลึกลับอันแข็งแกร่ง ความสามารถในการรักษาาแเองได้ มีชีพจรแต่กลับไม่หายใจ เหมือนจะอยู่ในสถานะแกล้งตาย เ้าคางคกน้อยหายไปได้ในทันที...เมื่อสิ่งต่างๆ เหล่านี้ถูกเปิดเผยออกมา ทำให้นางคาดเดาได้
ดังนั้นจิตใจโลภมากของหวงอีจึงเกิดขึ้น นางตัดสินใจในเวลานั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นางจะศึกษาร่างกายมู่จื่อหลิงอย่างละเอียด
หวงอียืนขึ้น เงยหน้าขึ้นมองหม้อนึ่งอีกครั้ง
ในเวลานี้มู่จื่อหลิงได้ปิดฝาหม้อนึ่งลงแล้ว
ยามมองไปที่หม้อนึ่งขนาดใหญ่ หวงอีก็ยกยิ้มอย่างมีเลศนัย
ใน่สามวันที่ผ่านมา มู่จื่อหลิงไม่ต่างจากคนตาย
แม้ว่านางจะไม่พบคางคกน้อย แต่นางแน่ใจว่ามันจะต้องอยู่ในร่างของมู่จื่อหลิง
เนื่องจากยามนั้นเมื่อนางลืมตาตื่น นางเห็นด้วยตาของนางเองว่าคางคกน้อยหายวับไปในร่างของมู่จื่อหลิงต่อหน้าต่อตา
ในเมื่อมันคือคางคก เช่นนั้นมันจะยังสามารถหลบซ่อนที่ไหนได้อีก?
ดังนั้นใน่สามวันที่ผ่านมา หวงอีจึงพยายามค้นหาทุกวิถีทาง ทั้งยังรู้สึกกลัวว่านางจะถูกทำร้ายจากแรงนั้นอีกครั้ง ในที่สุดนางคิดวิธีนี้ได้
โตรกผาลึกนี้กว้างใหญ่ไพศาล หากพลังนั้นปะทุขึ้น ก็ยังสามารถหลบ อีกทั้งภูมิประเทศที่นี่ยังซ่อนเร้นยากที่ผู้คนจะค้นพบ
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือนาง้าบังคับให้เ้าคางคกน้อยออกมา
......
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ไก่ฟ้า (山鸡) เป็สัตว์จำพวกนกชนิดหนึ่ง มีรูปร่างไล่เลี่ยกับไก่บ้าน มีจะงอยปากและขาแข็งแรงมาก มีลักษณะเด่นคือตัวผู้มีหางยาว และสีสันสวยงามกว่าตัวเมีย บินเก่ง แต่บินได้เพียงระยะทางสั้นๆ ทํารังบนพื้นดิน
[2] ทองคำเงินแท้ (真金白银) เป็วลี มีความหมายว่า ไม่ใช่ของปลอม ไม่ใช่เื่โกหก หรือสิ่งของที่มีค่ามากจริงๆ
[3] เกรงว่าผนังจะมีหู (小心隔墙有耳) เป็วลี มีความหมายว่า ระวังคำพูด การพูดสิ่งใดโดยไม่ระมัดระวังอาจมีผู้อื่นที่ไม่พึงปรารถนาบังเอิญมาได้ยินเข้า
[4] การใช้ทรัพยากรอย่างเสียเปล่า (暴殄天物) เป็สำนวน มีความหมายว่า สิ้นเปลือง ฟุ่มเฟือยหรือทำลายสิ่งของให้เสียหายตามอำเภอใจ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้