ตามพระบัญชาของฮ่องเต้ หนีเจียเอ๋อร์และโจวชิงหวาต้องเดินทางไปยังตำหนักองค์หญิงใหญ่ กู่อวี่เสวียน เพื่อซ้อมดนตรี
พอมาถึง นางกำนัลก็พาไปที่ศาลาแห่งหนึ่ง และบอกให้พวกเขารอ ก่อนผละจากไป
หนีเจียเอ๋อร์เม้มริมฝีปาก แล้วพูดอย่างหงุดหงิด “วันก่อนทำเื่เสียมารยาทไป คิดว่านางจะมาหรือ?”
โจวชิงหวาไม่สนใจ เพียงเดินตรงไปที่ศาลา “แล้วไม่ดีหรือ? หากนางไม่มา เ้าก็จะได้ไม่ต้องเสียอารมณ์ ดีเสียอีก เราจะได้อยู่กันตามลำพัง”
หญิงสาวหน้าแดง “อย่าไร้สาระ!”
เมื่อเห็นกู่ฉินกับขลุ่ยคุณภาพเยี่ยมบนโต๊ะหิน ชายหนุ่มก็กวักมือเรียก “ในเมื่อองค์หญิงยังไม่มา เช่นนั้นก็ฝึกกันเองก่อนก็แล้วกัน”
การรอนานๆ ย่อมน่าเบื่อมิใช่น้อย หนีเจียเอ๋อร์จึงนั่งลง “แล้วเ้าจะเล่นเครื่องดนตรีชนิดไหน?”
“อะไรก็ได้ แล้วแต่เ้า ข้าเล่นได้ทั้งนั้น” ชายหนุ่มเดินไปข้างหลังอีกฝ่าย โน้มตัวลงสูดกลิ่นดอกกุหลาบบนผิวนวล พลางมองปอยผมดำสลวยที่ระอยู่บริเวณหลังคอ... ช่างดึงดูดใจนัก!
หญิงสาวหันไปมอง พลันสบเข้ากับสายตาคลุมเครือดั่งมีม่านหมอกปกคลุม “จะทำอะไรน่ะ? นี่ตำหนักองค์หญิงนะ!”
“คิดมากไปแล้ว ข้าแค่จะหยิบขลุ่ยเท่านั้น”
โจวชิงหวาทำเป็เฉไฉ แขนที่เอื้อมผ่านไหล่บอบบางไปหยิบขลุ่ย เฉียดเรือนผมอีกฝ่ายเพียงเล็กน้อย แต่ััอันแ่เบานั้น กลับทำให้หญิงสาวใจสั่นหวั่นไหว ประหนึ่งก้อนหินเล็กๆ ตกลงกลางทะเลสาบ จนเกิดระลอกคลื่น
หนีเจียเอ๋อร์พยายามสงบสติอารมณ์ ขณะที่กำลังจะเอ่ยปาก เขาก็พูดขึ้นมาเสียก่อน
“เ้ามองข้าแบบนี้ คงมิใช่ผิดหวังที่ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกระมัง?”
ชายหนุ่มหันไปมองด้วยสายตาหวานฉ่ำ โดยไม่ใส่ใจว่าจะเป็การกระพือโทสะของอีกฝ่าย
หญิงสาวสูดหายใจเฮือก พยายามข่มอารมณ์เอาไว้ ก่อนผลักร่างหนาออก จากนั้นจึงยื่นมือเรียวบางไปดีดสายกู่ฉิน... ท่วงทำนองดั่งเหล่าวิหคน้อยกำลังขับขานประสานเสียงท่ามกลางหุบเขา พลันดังขึ้น
โจวชิงหวาเดินไปนั่งฝั่งตรงข้าม ผมดำยาวสลวยของเขาพลิ้วไหวไปตามสายลม เสื้อคลุมลายพระจันทร์เสี้ยวทอประกายยามต้องแสงตะวัน ขับให้ชายหนุ่มดูน่าหลงใหลราวกับเทพจุติจากสรวง์
หนีเจียเอ๋อร์ตกตะลึง จนเกือบลืมท่วงทำนองดนตรี
โจวชิงหวาขยิบตาให้ พลางจรดขลุ่ยที่ริมฝีปาก
และแล้วท่วงทำนองอันไพเราะ ซึ่งสอดประสานกับเสียงกู่ฉินได้อย่างลงตัว ก็แว่วดังกล่อมโสตประสาท จนเหล่านางกำนัลต่างชะงักค้าง พากันนิ่งฟังอย่างเงียบงัน
หน้าต่างบานที่อยู่ตรงข้ามศาลา เผยให้เห็นภาพหนุ่มสาวคู่หนึ่ง กำลังนั่งบรรเลงเพลงด้วยกัน
องค์หญิงใหญ่ กู่อวี่เสวียน มองพวกเขาด้วยความขุ่นเคือง
“พวกเ้าไปจัดการเสีย ข้าจะไม่ยอมให้สตรีผู้นั้น ไปเล่นกู่ฉินต่อหน้าองค์ชายสามในงานเลี้ยงเด็ดขาด”
“เพคะ องค์หญิง” นางกำนัลย่อตัวรับคำ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ขณะบรรเลงมาถึง่ท้ายของบทเพลง กู่อวี่เสวียนก็เดินเข้ามาในศาลา พร้อมขบวนผู้ติดตามแปดคน และอนุญาตให้โจวชิงหวาอยู่ต่อได้เพียงคนเดียวเท่านั้น
หนีเจียเอ๋อร์จึงเดินทางออกจากตำหนักองค์หญิงตามลำพัง
เมื่อรถม้าของนางแล่นเข้ามาในป่า ก็มีเหล่าชายฉกรรจ์สวมหน้ากากมิดชิดทะยานมาขวาง แต่ละคนถือกระบี่คมกริบ สะท้อนแสงแวววับไว้ในมือ
พอเห็นภาพนั้นผ่านช่องว่างหน้าต่าง หญิงสาวก็คว้ากริชที่ซ่อนอยู่ในช่องลับบนที่นั่งออกมากระชับไว้แน่น
คนขับหยุดรถม้า แล้วทิ้งตัวลงคุกเข่าอ้อนวอน “ทุกท่าน ไม่ว่า้าสิ่งใดล้วนนำไปได้หมด แต่โปรดอย่าทำร้ายคุณหนู”
แต่หัวหน้าโจรกลับตวัดดาบลงมาดั่งผ่าลำไผ่ เพียงเท่านั้น อีกฝ่ายก็พลันถูกฟันขาดเป็สองท่อน...
และแล้ว โจรทั้งสามก็ปรี่ตรงมายังรถม้า
“ตายเสียเถอะ!” เสียงะโอันเยือกเย็นดังขึ้น
จากนั้น เหล่าบุรุษสวมหน้ากากก็พากันกระโจนเข้าใส่เป้าหมาย
ทว่า กลับสังเกตเห็นร่างของคนผู้หนึ่งเหินเข้ามาจากด้านหลัง ทั้งยังแผ่แรงกดดันอย่างหนักหน่วง จิตสังหารอันทรงพลังเช่นนั้น ทำให้พวกเขาถึงกับสั่นสะท้าน โจรทั้งสามจึงรีบตั้งท่ารับมือทันที
เสียงกระบี่ปะทะกันดังลั่น ประกายแสงวาบเข้ามาในรถม้าที่หนีเจียเอ๋อร์นั่งอยู่ หญิงสาวหรี่ตาลงพลางซ่อนกริชเอาไว้ แล้วเปิดม่านมองไปยังผู้ที่กำลังต่อสู้กับกลุ่มชายชุดดำ
สายตาของคนผู้นั้น ช่างอบอุ่นยิ่งนัก...
หลังประมือไปไม่กี่กระบวนท่า บรรดาชายชุดดำก็รู้แล้วว่าพวกตนสู้มิได้ จึงรีบแยกย้ายกันหลบหนี
ชายหนุ่มผู้สวมชุดผ้าไหมหันหน้ากลับมา แล้วคลี่ยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ อันเป็เอกลักษณ์เฉพาะตัว พลางพูดเสียงทุ้มต่ำชวนลุ่มหลง “พอข้าไม่อยู่ เ้าก็เจอแต่เื่อันตราย หากไม่มีข้า เ้าจะทำอย่างไร!”
นางจะทำอย่างไร หากไม่มีโจวชิงหวา?
หนีเจียเอ๋อร์ไม่เคยคิดถึงประเด็นนี้มาก่อน พอได้ยินเข้า ก็รู้สึกวูบโหวงไปชั่วขณะ เพราะในสมองเอาแต่ครุ่นคิดว่า ‘ต้องทำอย่างไร ถึงจะไม่สูญเสียคนสำคัญไปอีก?’
ชายหนุ่มก้าวขึ้นรถม้า แล้วโอบเอวบางเข้ามา แต่หญิงสาวพยายามขืนตัวออกห่าง ก่อนเปลี่ยนมานั่งข้างๆ แทน “ตอนนี้ มิใช่ว่าเ้าควรจะอยู่ในตำหนักองค์หญิงหรอกหรือ?”
โจวชิงหวาจึงตอบทันที “นางเข้าใจดี พอข้ารู้ว่าเ้าตกอยู่ในอันตรายก็รีบมาช่วย เป็อย่างไรบ้าง าเ็หรือไม่?”
เขาขยิบตา พลางตวัดนิ้วเกี่ยวปลายผมนางอย่างล้อเลียน
“เป็...” แต่ยังไม่ทันเอ่ยจบ หญิงสาวก็กลืนคำพูดลงไป
ชายหนุ่มจึงทำทีเป็กลอกตาอย่างตะบึงตะบอน
แม้หนีเจียเอ๋อร์จะเชื่อว่าชายชุดดำทั้งสามนั้น เป็คนขององค์หญิงกู่อวี่เสวียน แต่ก็ไร้หลักฐาน
และด้วยราชโองการของฮ่องเต้ยากจะฝ่าฝืน เช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งสองจึงเข้าวังไปอีกครั้ง
คราวนี้ องค์หญิงใหญ่ไม่ปล่อยให้ต้องรอนานเช่นเมื่อวาน แต่สีหน้าขุ่นเคืองเช่นนั้น คงเป็การดีกว่าหากพวกเขาจะไม่เข้าไปยุ่ง
กู่อวี่เสวียนชำเลืองมองหนีเจียเอ๋อร์กับโจวชิงหวาอย่างเหยียดหยาม “ตอนนี้ข้าอารมณ์ไม่ดี ยังไม่อยากซ้อมดนตรี ไปเดินเล่นในอุทยานกันเถอะ”
หนีเจียเอ๋อร์มองแผ่นหลังอันเย่อหยิ่ง แล้วนึกอยากจะซัดอีกฝ่ายจริงๆ... ติดแค่ว่าตนเองนั้น ดันมีฐานะต่ำกว่านี่สิ!
พอถึงริมทะเลสาบ จู่ๆ กู่อวี่เสวียนก็ทำท่าคล้ายเดินสะดุด ก่อนร่างของนางจะถลาเข้าหาหนีเจียเอ๋อร์
นางกำนัลที่ติดตามมา จึงรีบคุกเข่าถามอย่างร้อนรน “องค์หญิง เป็อะไรไปเพคะ?”
กู่อวี่เสวียนชี้หน้าหนีเจียเอ๋อร์ “นางชนข้าจนจี้หยกตกลงไปในน้ำ นั่นเป็เครื่องบรรณาการจากแคว้นหนานเ้าเมื่อปีที่แล้ว ข้าไม่สน ชดใช้มาเดี๋ยวนี้”
หนีเจียเอ๋อร์เลิกคิ้ว พลางพูดเสียงขุ่น “ท่านจงใจโยนลงไปเอง เหตุใดข้าต้องเป็ฝ่ายชดใช้ด้วย?”
“หืม… เพราะอะไรน่ะหรือ? ก็เพราะข้าคือองค์หญิง ขนิษฐาร่วมพระมารดาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ซึ่งเป็เ้าแห่งแผ่นดินนี้ จึงมีอำนาจที่จะชี้เป็ชี้ตายอนาคตของบิดาและพี่ชายเ้าอย่างไรเล่า จะพินาศย่อยยับหรือรุ่งโรจน์ ก็ล้วนอยู่ในกำมือของข้าผู้นี้”
กู่อวี่เสวียนขยับเข้ามาใกล้ ด้วยสีหน้าสาแก่ใจ “เช่นนี้แล้ว เ้าจะชดใช้ให้ข้าได้หรือยัง?”
หนีเจียเอ๋อร์กัดริมฝีปากอย่างโกรธเคือง ดวงตาเหมือนมีเปลวไฟปะทุ ตัวสั่นระริกด้วยความโมโหสุดขีด แต่แล้วก็มีมือข้างหนึ่งประทับลงมาบนไหล่
หนีเจียเอ๋อร์หันกลับ และมองเข้าไปในดวงตาที่เป็ดั่งห้วงลึกบนท้องฟ้า จากนั้นโทสะที่พลุ่งพล่านในอก พลันหายวับไปอย่างน่าอัศจรรย์
โจวชิงหวาปลอบโยนเบาๆ “ไม่ต้องกลัว”
เขาถอดจี้หยกออกจากเข็มขัด แล้วโยนใส่มือกู่อวี่เสวียน ก่อนพูด “องค์หญิง ท่านควรหัดปล่อยวางเสียบ้าง หากรู้ไปถึงหูฮ่องเต้ เกรงว่าเื่จะไม่ง่ายดายแล้ว”
กู่อวี่เสวียนมองดูหยกสีเืในมือ นี่เป็หยกหายากซึ่งมีเพียงสามชิ้นในโลก แม้แต่ฮ่องเต้ผู้เป็พระเชษฐา ก็ยังไม่มีไว้ใน
หญิงสาวจึงหันไปมองโจวชิงหวาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เ้าจะชดใช้แทนนาง ด้วยหยกโลหิตอันล้ำค่าชิ้นนี้หรือ?”
พอหนีเจียเอ๋อร์รู้ว่านั่นเป็ของมีค่าหายาก จึงคิดจะไปนำกลับมา แต่ก็ถูกชายหนุ่มรั้งตัวไว้ พลางยิ้มอย่างเฉยชา “ก็แค่สิ่งของนอกกาย ตอนตายก็เอาไปด้วยมิได้”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้