“แหะๆ” ทูตส่งสารมองไปยังซูฉางอันด้วยท่าทางประจบประแจง “ข้าน้อยมีนามว่าหงหวู่ เป็ลูกชายคนที่สามของบ้าน ท่านโหวเยน้อยเรียกข้าน้อยว่าหงซานก็ได้ขอรับ เมื่อไปที่เมืองฉางอันแล้ว หากมีเื่อันใดให้ข้าน้อยรับใช้ก็บอกมาได้เลยนะขอรับ”
“อ้อ” ซูฉางอันขานรับ ตอนนี้ เขายังคิดถึงแต่เื่ของพระราชโองการอยู่เลย คำที่หงหวู่พูดมาเมื่อครู่ไม่ได้แทรกเข้าไปในสมองเลยสักนิด
ทว่าในสายตาของคนรอบๆ นั้น ภาพเหตุการณ์เช่นนี้กลับทำให้พวกเขาคิดว่าซูฉางอันเป็พวกร้ายซ่อนใน เหมือนกับไข่มุกที่แอบอยู่ในที่มืด
“เช่นนั้นข้าน้อยต้องขอตัวก่อนนะขอรับ ยังมีอีกหลายที่ที่ยังรอประกาศจากข้าน้อย” เมื่อเห็นว่าซูฉางอันไม่ได้มีท่าทีราวอยากจะผูกมิตรด้วย ชายคนนั้นก็ไม่ได้รนหาความอัปยศให้กับตนเองอีกต่อไป เขาประสานมือในท่าทำความเคารพ ก่อนจะะโขึ้นไปนั่งบนหลังม้า แล้วควบม้าจากไปในที่สุด
ในตอนนั้นเอง ในที่สุดซูฉางอันก็ได้สติกลับมาอีกครั้ง เขามองไปรอบๆ อย่างไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่กลับพบว่าชาวบ้านในเมืองฉางเหมินที่เคยคุ้นเคยกันเป็อย่างดี บัดนี้กลับมองมายังเขาด้วยสายตาราวคนแปลกหน้า
ใบหน้าของพวกเขามีทั้งความหวาดระแวง สงสัย สนใจใคร่รู้ แต่ที่มีมากยิ่งกว่าก็คือความเกรงกลัว
แม้แต่ซูโม่ที่ในยามปกติไม่แม้แต่จะมองมาที่เขา บัดนี้ก็ยังมองสำรวจเขาด้วยท่าทางสนใจตาแป๋วเลย อย่างไรเสีย ซูฉางอันก็เป็เพียงเด็กหนุ่มที่มีอายุเพียงสิบหกปีเท่านั้น เมื่อเห็นดังนั้น เขาจึงอดรู้สึกได้ใจไม่ได้
“ยินดีด้วยท่านเชียนฮู่ พยัคฆ์ไม่มีทางออกลูกเป็สุนัขจริงๆ !” กู่เซียงถิงประสานมือเข้าด้วยกันในท่าทำความเคารพพลางกล่าวแสดงความยินดีต่อซูไท่ ตอนนี้ ซูไท่เป็ถึงเชียนฮู่ที่แสนสูงส่ง หากจะว่ากันด้วยเื่ของฐานะ ซูไท่ในตอนนี้ก็ไม่ด้อยไปกว่าเขาที่เป็ไท่โส่วแห่งเมืองฉางอันเลยแม้แต่น้อย ต่อไปนี้ เมืองฉางอันก็จะไม่ใช่เมืองที่เขาสามารถควบคุมได้ทุกอย่าง สามารถตัดสินทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้ว อย่างน้อยในอนาคตเขาและซูไท่ก็เป็เหมือนตัวแทนของขุนนางบุ๋นและบู๊แห่งเมืองฉางอันแล้ว
“มิกล้าๆ” ไม่ใช่ว่าซูไท่ถ่อมตน แต่ตอนนี้เขารู้สึกมึนงงไปหมดแล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ยิ่งไปกว่านั้น แม้เขาจะเป็ชายร่างกำยำที่ถนัดเื่การใช้กำลัง แต่เขาก็ไม่ได้โง่ เมืองฉางเหมินอยู่ในการปกครองของกู่เซียงถิงมานาน แต่เขาเพิ่งได้เป็เชียนฮู่ได้ไม่นาน ยังมีอีกหลายเื่ที่ยังต้องพึ่งกู่เซียงถิง เขาย่อมต้องสานสัมพันธ์กับกู่เซียงถิงเป็ธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้น แม้ในตอนที่ยังเป็เพียงไป่ฟูจ่าง กู่เซียงถิงก็ดีกับเขามาก มาวันนี้ เมื่อได้เลื่อนขั้น ไม่ว่าจะเพราะอะไร เขาก็สมควรจะสานสัมพันธ์กับกู่เซียงถิงทั้งนั้น
“บุตรชายท่านเก็บซ่อนความเก่งกาจเอาไว้ภายใน ก่อนหน้านี้ ข้ายังมัวแต่คิดว่าบุตรของตนเป็คนหนุ่มที่มีความสามารถเป็อันดับหนึ่งในเมืองฉางเหมินเสียอีก เมื่อลองมาคิดๆ ดูแล้ว ช่างน่าละอายเสียเหลือเกิน” กู่เซียงถิงกล่าวทอดถอนใจ ใบหน้าประกายสีแดงระเรื่อ ดูท่า เขาน่าจะรู้สึกละอายใจอย่างที่พูดมาจริงๆ แม้แต่กู่หนิงที่อยู่ข้างกันก็ยังก้มหน้าลงต่ำตามบิดาเลย ราวเขาเองก็รู้สึกละอายใจที่ตนมั่นใจตัวเองมากเกินไปเช่นกัน
“พฤติกรรมอันดีงามของคุณชายกู่ เป็ที่ประจักษ์ไปทั่วเมือง ลูกชายข้าเพียงดวงดี ไปพบโชคโดยบังเอิญเท่านั้น จะว่าไปแล้ว แม้แต่ข้าก็ยังไม่รู้เื่นี้เลย เ้าลูกชายคนนี้เก็บความลับได้ดีจริงๆ” พูดไปพลาง ซูไท่ก็ตบบ่าซูฉางอันด้วยท่าทางระคนได้ใจอย่างอดไม่ได้
ซูฉางอันเกาหัวตัวเอง พลางหัวเราะแห้งๆ ขึ้น เขาคิดขึ้นในใจ... อย่าว่าแต่ท่านเลยที่ไม่รู้ หากข้ารู้ั้แ่แรก ยังจะมานั่งกังวลแบบนี้อยู่อีกรึ?
“ท่านโหวเยน้อยน่าจะอยากทำให้ท่านแปลกใจน่ะขอรับ” กู่เซียงถิงกล่าวต่อไป “จริงสิ ท่านพี่ซู ฉางอันเส้นทางยาวไกล ไม่ทราบว่าท่านเตรียมพร้อมสำหรับการส่งท่านโหวเยน้อยไปที่เมืองฉางอันแล้วหรือไม่?”
“เอ๋?” ซูไท่ชะงักนิ่งไป เดิมเขาก็ไม่ใช่คนละเอียดอ่อนอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ก็เอาแต่คิดว่าจะส่งซูฉางอันไปเรียนที่ฉางอันเพียงอย่างเดียว ไม่ได้คิดเื่อื่นเอาไว้เลย เมื่อกู่เซียงถิงพูดทัก ถึงคิดขึ้นได้ว่าเมืองฉางอันอยู่ไกลเป็หมื่นลี้ หากให้บุตรชายเดินทางไปเพียงลำพัง เกรงว่าคงจะวางใจไม่ลง แต่กะทันหันเช่นนี้เขาก็คิดหาวิธีไม่ทัน แต่ก็ไม่อยากต้องเสียหน้าต่อหน้าชาวบ้าน จึงกล่าวระคนหัวเราะขึ้น “ไปยังไง? ก็ให้เ้านี่ไปเองน่ะสิ”
“ท่านพี่ซูพูดล้อข้าเล่นเป็แน่แล้ว เอาเช่นนี้ดีไหม ให้โหวเยน้อยไปพร้อมกับบุตรชายข้า ข้าว่าจ้างทีมองครักษ์ขององครักษ์หลิวให้ไปส่งบุตรชายที่เมืองฉางอันแล้ว ครานี้ซูโม่ จี้เต้า และลิ่นหยูเองก็ร่วมเดินทางไปด้วย เด็กๆ พวกนี้มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ทั้งยังอยู่ในเมืองเดียวกันอีก ไปด้วยกันจะได้ดูแลกันได้ เมื่อไปถึงที่เมืองฉางอันแล้ว จะได้คอยช่วยเหลือกัน ท่านพี่ซูคิดว่าอย่างไรบ้าง?” กู่เซียงถิงเองก็คาดเดาได้บ้างแล้วว่าซูไท่ยังไม่ได้เตรียมตัวอันใดเลย จึงเสนอสิ่งที่คิดเอาไว้ั้แ่แรกออกมา เขากล่าวอย่างอ้อมค้อม เช่นนี้ นอกจากจะแก้ปัญหาหนักอกของซูไท่ได้แล้ว ยังรักษาหน้าของเขาเอาไว้ได้ด้วย
“ดี ดีเลย!” ยังไม่ทันที่ซูไท่จะได้ตอบอะไร เมื่อได้ยินว่าจะได้เดินทางไปพร้อมกับซูโม่ ซูฉางอันที่อยู่ข้างๆ ก็รีบตอบตกลงโดยไม่คิดจะลังเลเลยแม้แต่น้อย
“ผู้ใหญ่เขาจะคุยกัน เด็กมาพูดแทรกได้ยังไง” ซูไท่มองปรามซูฉางอัน ก่อนจะหันกลับไปกล่าวกับกู่เซียงถิงด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง “เช่นนั้นก็รบกวนท่านพี่กู่ด้วย”
“ฮ่าๆ ท่านพี่ซูเกรงใจกันเกินไปแล้ว วันนี้เป็วันดี เอาเช่นนี้ดีไหม ท่านไปดื่มที่จวนของข้าสักจอกดีไหมขอรับ” กู่เซียงถิงเชื้อเชิญอย่างเป็มิตร
“ดื่มงั้นรึ?” หลายปีมานี้ เพื่อเก็บเงินให้ซูฉางอันไปเรียนต่อ ซูไท่กินอยู่อย่างประหยัดมาโดยตลอด แม้แต่เหล้าที่ดื่มก็เป็เหล้าที่มีราคาถูกมากที่สุดเท่านั้น แต่กู่เซียงถิงเป็ถึงไท่โส่วของเมืองฉางเหมิน ในบ้านย่อมมีสุราชั้นดีอยู่ไม่น้อย แค่นึกถึงข้อนี้ ซูไท่ก็ตาเป็ประกาย รู้สึกตื่นเต้นจนตัวสั่นไปหมดแล้ว “วันนี้เป็วันดี จะดื่มเพียงจอกเดียวได้เช่นไรกัน วันนี้ ข้าและท่านไม่เมาไม่เลิก”
ในตอนนั้นเองที่กู่เซียงถิงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าซูไท่โปรดปรานในสุรามากขนาดไหน ทันใดนั้น สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไปในทันที เขาได้แต่กล่าวทอดถอนใจกับตัวเอง... เกรงว่าเขาคงจะรักษาสุราโหวเอ๋อ สุราชั้นดีเอาไว้ไม่ได้แล้วล่ะ
ในงานเลี้ยงครั้งนี้นั้น ผู้ปกครองของศิษย์ที่ผ่านการคัดเลือกในครั้งนี้ต่างก็ถูกเชื้อเชิญด้วยกันทั้งสิ้น เมื่อมีเื่ดีเกิดขึ้น คนทั้งหลายจึงรินเหล้าเข้าปากอย่างไม่ยั้ง หลังผ่านไปสักพัก ใบหน้าของคนทั้งหลายก็เปี่ยมไปด้วยความครื้นเครงสนุกสนาน แลดูครึกครื้นเป็อย่างมาก
เมื่อกู่เซียงถิงกลับไปยังที่พักก็เป็เวลาเที่ยงคืนแล้ว ซูฉางอันเองก็พยุงบิดาที่เมาจนไม่เป็ท่าเดินโซซัดโซเซกลับไปจนถึงที่พักในที่สุด
“ในยามปกติยังพูดว่าแม้จะดื่มไปเป็พันจอกก็ไม่มีวันเมา แต่เพิ่งดื่มไปไม่เท่าไหร่ ก็ถูกท่านลุงกู่มอมจนเมาไม่เป็ท่าเสียแล้ว” ซูฉางอันบ่นอุบอิบ
ขณะกำลังกล่าว เขาก็วางซูไท่ลงบนเตียง แล้วเตรียมจะหมุนตัวออกไปต้มน้ำร้อนมาเสียหน่อย... ในยามเมาสุรา ซูไท่มักจะชอบดื่มน้ำอุ่นเสมอ เพียงแต่ในตอนนั้นเองที่เขาพบว่าบัดนี้ ใบหน้าของซูไท่ไม่ได้มีวี่แววของความมึนเมาเลยแม้แต่น้อย แต่บิดากำลังมองมายังตนตาไม่กะพริบอยู่ต่างหาก
ซูฉางอันที่ถูกมองรู้สึกขนลุกไปหมดแล้ว เขาคิดว่าบิดากำลังจะถามเื่ของพระราชโองการในวันนี้นั่นเอง เขาไม่เคยพูดเื่นี้กับบิดามาก่อน เพราะที่ผ่านมา ซูไท่ยุ่งอยู่กับการทำา จึงไม่ค่อยมีเวลากลับบ้าน อีกอย่างซูฉางอันคิดว่าเื่นี้น่าเหลือเชื่อมากเกินไป จึงไม่อยากนำไปบอกกับใคร เพียงแต่ ในเมื่อมีพระราชโองการมาเช่นนี้แล้ว คาดว่าคงจะปิดบังเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาก็นึกเรียบเรียงถ้อยคำในใจ ดูจากพระราชโองการขององค์มหาจักรพรรดิในวันนี้ ดูเหมือนพระองค์จะคิดว่าท่านอาจารย์สังหารอาจารย์หญิงไปแล้ว ดังนั้น เขาย่อมพูดความจริงกับบิดาไม่ได้ ซูไท่ชอบดื่มสุราจนเป็ชีวิตจิตใจ หากเขาเมาแล้วพูดหลุดปากออกไป ต้องนำอันตรายมาสู่ตัวแน่
หลังเรียบเรียงคำพูดได้ ซูฉางอันก็มองไปยังซูไท่ แล้วกล่าวขึ้น “ท่านดื่มจนเมาแล้วไม่ใช่รึ?”
“เมางั้นรึ? บิดาของเ้าน่ะหรือจะเมา? คนอย่างกู่เซียงถิงน่ะหรือจะดื่มเก่งกว่าข้า? คนอย่างข้าน่ะ ต่อให้จะดื่มถึงพันจอกก็ไม่มีทางเมาอยู่แล้ว” ซูไท่เกลียดการถูกตั้งข้อสงสัยเื่ความสามารถในการดื่มของเขาที่สุดแล้ว
ซูฉางอันเบะปากเล็กน้อย พลางคิดขึ้นในใจ... เมื่อครู่ท่านลุงกู่ดื่มกับแขกที่มางานเลี้ยงเป็รายตัว ซึ่งทุกจอกของเขาล้วนมีสุราอยู่ปริ่มแก้ว ถึงแม้จะดื่มกับแขกทุกคนในงานถึงห้ารอบแล้ว ทว่าสีหน้าของเขาก็ยังหาได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ยังคงพูดคุยได้ดังเดิมไม่ผิดเพี้ยน ไม่เหมือนบิดาของเขา ที่เพียงรินเหล้าเข้าปากแค่ไม่กี่แก้วใบหน้าก็เปลี่ยนไปเป็สีแดงเสียแล้ว แล้วเช่นนี้ยังต้องคิดอีกหรือว่าใครดื่มเก่งกว่ากัน?
“แล้วนี่ท่าน...?” แม้จะคิดเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่กล้าพูดหักหน้าบิดาออกมาตรงๆ
“ข้าทำเพื่อหลอกเ้ากู่เซียงถิงเท่านั้นแหละ อยากจะกลับมาไวๆ น่ะ ข้ามีเื่อยากถามเ้า” ใบหน้าของซูไท่แลดูจริงจังมาก ซึ่งน้อยครั้งเท่านั้นที่จะได้เห็น
เอาแล้วไง! ซูฉางอันพูดขึ้นในใจ ยังดีที่เขาเตรียมตัวมาก่อน ทว่าในตอนที่กำลังจะพูดในสิ่งที่ตนเรียบเรียงเอาไว้ ซูไท่ก็พูดขัดขึ้นเสียก่อน
“ข้าเห็นเมื่อครู่เ้าเอาแต่จ้องไปที่ซูโม่ตาไม่กะพริบ ทั้งยังลอบมองนางเป็ระยะๆ อีก ใช่ไหม?” ซูไท่พูดด้วยท่าทางจริงจัง
“หา!” ซูฉางอันคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าซูไท่จะถามคำถามนี้ ราวกับความลับในจิตใจถูกเปิดเผยอย่างกะทันหันเช่นนั้น ใบหน้าของเขาแดงก่ำขึ้นมาทันที เอาแต่พูดอึกอัก แต่แม้จะผ่านไปนาน ก็ยังพูดไม่ออกเลยแม้แต่คำเดียว
แม้ซูไท่จะไม่ใช่คนละเอียดอ่อน แต่อย่างไรเสีย เขาก็มีประสบการณ์เื่รักๆ ใคร่ๆ ของชายหญิงมาก่อน เห็นท่าทางของซูฉางอันดังนั้น มีหรือเขาจะไม่รู้ว่าเ้าเด็กนั่นกำลังคิดอะไรอยู่ ซูไท่ยันตัวขึ้นนั่ง แล้วถามขึ้น “เ้าเคยบอกเื่นี้กับซูโม่แล้วหรือยัง?”
ซูฉางอันส่ายหัว
“เ้าปอดแหกเอ้ย!” ซูไท่ใช้มือดันไปที่หน้าผากของซูฉางอันแรงๆ หลายที ด้วยใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยความเวทนาที่มีซูฉางอัน และความโกรธในความไม่เอาไหนของลูกชายตัวดี “หากข้าปอดแหกเหมือนกับเ้า ก็คงจะไม่มีเ้าในวันนี้แล้ว!”
ซูฉางอันหน้าแดงก่ำ ไม่กล้าพูดอะไรตอบไป
“บ้านซูโม่ดีไม่เบาเลย หากเ้าได้แต่งกับซูโม่ สำนักฉางเหมินก็เป็ของพวกเราแล้ว ระหว่างทางไปฉางอันในครั้งนี้ เ้าต้องเชื่อสัมพันธ์กับนางให้ดีล่ะ เร่งคว้าหัวใจนางมาครอง แล้วมีทายาทให้ตระกูลซูของพวกเราเสียที” ซูไท่แสดงท่าทางราวกำลังตั้งตารอ ดวงตาเป็ประกายแวววาว ราวกับเขาได้เห็นลูกชายได้ครองทั้งสาวงามและทรัพย์สมบัติในบ้านของซูโม่ไปเป็ที่เรียบร้อยแล้วเช่นนั้น
บิดาของซูโม่ ซูเหอเป็ผู้ดูแลสูงสุดของสำนักฉางเหมิน ผู้ดูแลสูงสุดของฉางเหมินย่อมไม่อาจเทียบชั้นกับผู้ดูแลของสำนักในเมืองฉางอันได้อยู่แล้ว แต่ในเมืองฉางเหมิน ซูเหอก็ถือเป็มหาอำนาจอันดับต้นๆ เช่นกัน และแม้จะแซ่ซูเหมือนกัน แต่บ้านของเขาและซูโม่แตกต่างกันมาก จึงไม่อาจเอื้อมได้ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ตอนนี้ซูฉางอันได้รับการแต่งตั้งให้เป็เจว๋แล้ว ซึ่งไม่ว่าจะเป็ตำแหน่งหรือฐานะ กู่เซียงถิงก็เทียบชั้นกับเขาไม่ได้สักอย่าง ซูไท่ย่อมรู้สึกได้ใจและมั่นใจในตัวเองอยู่แล้ว
แต่ซูฉางอันกลับรู้สึกโกรธขึ้นมา เขาคิดว่าความรักที่ตนมีต่อซูโม่ เป็ความรู้สึกที่บริสุทธิ์ จะปล่อยให้มาแปดเปื้อนเพราะความโลภของบิดาไม่ได้ จึงมองไปยังซูไท่ด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว “วีรบุรุษล้วนซื่อสัตย์จริงใจ แต่คนผู้น้อยมักจะโลภในทรัพย์สิน!”
ซูไท่หน้าเสียไปในทันที เขาชี้หน้าซูฉางอันพลางตวาดเสียงดังลั่น “เ้ากล้าสั่งสอนข้างั้นรึ!วีรบุรุษคนผู้น้อยบ้าบออะไรกัน! เ้าไปเรียนคำพวกนี้มาจากไหนกัน!”
“จากในหนังสือ!” เมื่อคิดไปถึงซูโม่ ซูฉางอันก็ยืนตระหง่านประชันหน้ากับบิดาอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน
“หนังสือบ้าบออะไรกัน! ข้าจะเอามันไปเผาเดี๋ยวนี้เลย” ซูไท่โมโหยิ่งกว่าเก่า เขาจ้องซูฉางอันด้วยดวงตาดุดัน
“นี่เป็คำพูดของนักดาบในหนังสือเื่นักสยบมาร” เมื่อเห็นท่าทางของบิดา ซูฉางอันก็มีท่าทีอ่อนลงมาก
“ปีศาจกับนักดาบบ้าบออะไรนั่นอีกแล้วใช่ไหม ข้าบอกเ้าไปตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้ว ว่าห้ามไม่ให้อ่านหนังสือบ้าๆ แบบนี้!” แม้ซูไท่จะได้เรียนเพียงไม่มาก แต่เขาก็รู้ว่านิยายปราบมารพวกนั้นเป็เพียงเื่ไร้สาระที่จะทำให้หมกมุ่นเท่านั้น จึงรู้สึกโกรธมาก ทำท่าว่าจะเดินเข้าไปอัดซูฉางอันทันที
“แต่ท่านอาจารย์บอกว่ามันเป็หนังสือที่ดีนะ” ซูฉางอันพูดเสียงเบาหวิว เขารู้สึกตื่นตระหนกมากกว่าเดิมหลายเท่า พลางแอบนึกเสียใจที่ไปยั่วโมโหและวางมาดต่อบิดาก่อนหน้านี้ ยิ่งไปกว่านั้น โม่โม่ก็ไม่ได้อยู่ตรงนี้เสียหน่อย แบบนั้นเธอก็ไม่เห็นที่ตนเถียงกับพ่อเพื่อเธอน่ะสิ เช่นนั้นก็แสดงว่าตนต้องถูกอัดโดยเปล่าประโยชน์สินะ
“อาจารย์ของเ้างั้นรึ?” ซูไท่ชะงักมือที่ง้างอยู่กลางอากาศ อาจารย์ของซูฉางอันเป็ใคร เขาจำชื่อไม่ได้แล้ว แต่อาจารย์ของอาจารย์ของเขาก็คืออาจารย์เหยากวง ซึ่งเป็บุคคลที่ยิ่งใหญ่และโด่งดังเป็อย่างมาก หากอาจารย์ของเขาชอบอ่านหนังสือเช่นนี้ ท่านอาจารย์เหยากวงก็น่าจะไม่ได้เกลียดหนังสือประเภทนี้เช่นกัน
เมื่อคิดถึงอาจารย์เหยากวงที่แม้จะจากไปนานนับสิบปี แต่ก็ยังมีชื่อเสียงโด่งดังไม่เปลี่ยนแปลง ซูไท่ก็หน้าเสียไป เขาชักมือกลับ แล้วหัวเราะขึ้นในที่สุด “อะแฮ่มๆ... ในเมื่ออาจารย์ของเ้าชอบมัน เช่นนั้นก็ช่างมันเถอะ ข้าไม่เผาแล้ว” เขาโบกมือพลางกล่าวขึ้น