“หมาป่าเืสีขาวอยู่ตรงนั้น!”
พึ่งแตะพื้น ก็มีคนะโอย่างตื่นเต้น
คนทั้งหมดรีบหันไปทางที่เขาชี้ ก็เห็นหมาป่าเืสีขาวอาบเือยู่ตรงนั้นจริงด้วย แต่ว่า คนที่ยืนอยู่ข้างมันกลับเป็คนที่ไม่อาจละสายตาได้เลย
คนที่มีปฏิกิริยารุนแรงที่สุดเห็นจะเป็ทังอวิ๋นฉี
เมื่อนางเห็นหลิงเซียว ท่าทางก็เปล่งประกายสดใส เมินเฉยโหยวเสี่ยวโม่ที่อยู่ข้างหลิงเซียวไปถนัด รีบวิ่งรี่เข้าไปหา พลางเอ่ยเรียก “ศิษย์พี่ ท่านมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
ั้แ่ยังไม่เข้าแดน์วิมาน ทังอวิ๋นฉีก็อยากอยู่กลุ่มเดียวกับหลิงเซียว แต่ไม่รู้ทำไม พ่อนางกลับให้มาอยู่กับเหลยจวี้และผู้าุโอีกสองท่าน แล้วยังไม่ให้นางรอศิษย์พี่อีก เดิมนึกว่าคงไม่ได้เห็นศิษย์พี่สักพัก คิดไม่ถึงว่าเพียงไม่กี่วัน ์ก็ให้เขาได้เจอกับหลิงเซียวอีกครั้ง
แต่ว่า พอนางวิ่งไปถึงก็พึ่งจะพบว่าข้างกายศิษย์พี่ยังมีโหยวเสี่ยวโม่ที่น่าชิงชังยืนอยู่ด้วย
หากเป็แต่ก่อน ทังอวิ๋นฉีคงชักสีหน้าออกมาทันที แต่ตอนนี้นางเรียนรู้แล้วว่าการทำท่าทีเกลียดชังโหยวเสี่ยวโม่ มีแต่จะทำให้ศิษย์พี่ยิ่งตีตัวออกห่าง
“ศิษย์น้องโหยว ข้ารู้อยู่แล้วว่าเ้าต้องอยู่กับศิษย์พี่ เห็นพวกเ้าแล้วข้าดีใจอย่างมาก”
เมื่อทังอวิ๋นฉีมองไปยังโหยวเสี่ยวโม่ ก็เผยรอยยิ้มดีใจ
โหยวเสี่ยวโม่กะพริบตาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง สาวงามคนนี้ที่กำลังบอกว่าดีใจที่เจอพวกเขา คือคนที่ชักสีหน้าโเี้ใส่เขาทุกครั้งที่เจอหรอกหรือ? อีกอย่าง ที่เ้าดีใจที่ได้เจอไม่ใช่ข้าสักหน่อย แต่เป็ศิษย์พี่ใหญ่ของเ้าต่างหากไม่ใช่หรือ?
แม้ทังอวิ๋นฉีในตอนนี้จะไม่ได้เกลียดเขาเข้ากระดูกดำเท่าแต่ก่อน แต่ท่าทีที่เปลี่ยนไปกะทันหันก็เล่นเอาเขาตกอกใ นี่มันต้องมีอะไรผิดปกติแน่
อีกฟาก เหลยจวี้ที่เห็นหลิงเซียวปรากฏตัวก็ออกจะไม่ดีใจเท่าตอนแรก
ใบหน้ามืดมนราวกับถูกทาด้วยขี้เถ้า สายตาคมกริบมองไปยังหลิงเซียวอยู่เนืองๆ สีหน้าอึมครึม ผ่านไปครู่หนึ่ง เขายิ้มหน้าตายแล้วเอ่ยขึ้น “หลิงเซียว ทำไมเ้ามาอยู่ที่นี่เสียล่ะ เ้าควรจะต้องไป...”
“ไปไหนงั้นรึ?” หลิงเซียวถามกลับ
เหลยจวี้เหมือนชะงักไปชั่วครู่ คำพูดที่เหลือถึงกับพูดไม่ออก
เขานึกได้ทันท่วงที เื่ที่หลินเซียวถูกสั่งให้ไปทางทิศเหนือมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ เขาเข้ามาแดน์วิมานก่อนหลินเซียว จากนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีก ระหว่างทางก็ไม่ได้เจอศิษย์คนอื่นแม้แต่คนเดียว หากพูดออกมา หลินเซียวต้องสงสัยแน่
คิดเช่นนี้แล้ว เขาชะงักแล้วเอ่ยขึ้น “ทำไมมีแค่เ้าสองคนล่ะ? ศิษย์คนอื่นไปไหนกันหมด?”
หลิงเซียวมองเขาแล้วทำทีเป็ยิ้ม เอ่ยอย่างไม่ค่อยใส่ใจ “ก็บังเอิญหลงทางกันน่ะสิ ระหว่างทางพวกข้าเจอสัตว์ปีศาจที่ดุร้ายมากตัวหนึ่ง สู้ไม่ไหวก็ต้องหนี คิดไม่ถึงว่าทุกคนแยกย้ายจนหลงกันไปหมด ข้ากับศิษย์น้องโหยวไม่มีแผนที่แดน์วิมาน รู้ตัวอีกทีก็วิ่งมาถึงนี่แล้ว”
ทิศตะวันออกอยู่ใกล้กับทิศเหนือ ดังนั้นจึงไม่กลัวว่าพวกเขาจะสงสัย แม้จะสงสัยจริง ก็ไม่เห็นจะเป็ไร
“แบบนี้นี่เอง!” เหลยจวี้ริมฝีปากกระตุกขึ้น เขาล่ะอยากให้สัตว์ปีศาจตัวนั้นฆ่าหลินเซียวเสียให้ได้จริงๆ
“ใช่สิ พวกเ้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ข้าจำได้ว่าพวกเ้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้นี่นา ทำไมถึงมาอยู่ทิศตะวันออกได้? คงไม่ได้หลงทางเหมือนพวกข้าหรอกนะ?” หลิงเซียวถามกลับพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม ดวงตาคู่นั้นจดจ้องเหลยจวี้
เหลยจวี้ถูกจ้องจนจิตใจหวั่นไหว ไม่อาจตอบคำถามเขาได้ทันที
ตอนนี้เอง ผู้าุโหวังที่ยืนนิ่งเงียบมาตลอดก็รีบอธิบาย “ศิษย์หลานหลิน พวกข้านั้นตามสัตว์ปีศาจตัวหนึ่งมา เสียดายที่สัตว์ปีศาจตัวนั้นเ้าเล่ห์นัก พาพวกเราวิ่งวนไปมา คิดไม่ถึงว่าจะตามมาถึงนี่ได้ ว่าแต่…...”
ขณะที่พูด จู่ๆ ผู้าุโหวังก็เปลี่ยนหัวข้อ สายตาแหลมคมจ้องมาที่เ้าบอลใหญ่ที่อยู่หน้าโหยวเสี่ยวโม่ “หากไม่ใช่เพราะเ้าสัตว์ปีศาจตัวนี้มาขัดขวาง พวกเราคงจับสัตว์ปีศาจตัวนั้นได้แล้ว”
คำพูดเขาดึงความสนใจของทุกคนทันที
ทุกคนถึงเริ่มสังเกต หมาป่าเืสีขาวที่พวกเขากำลังไล่ตามอยู่กลับคลานหมอบอยู่หน้าโหยวเสี่ยวโม่อย่างนิ่งสงบ อีกทั้งตอนที่โหยวเสี่ยวโม่กำลังทำาแให้มันก็ไม่ขัดขืนแต่อย่างใด
ทังอวิ๋นฉีมองโหยวเสี่ยวโม่ แล้วมองหลิงเซียว จู่ๆ ก็หัวเราะเสียงแหลมเล็ก “ศิษย์พี่ หมาป่าเืสีขาวตัวนี้งดงามจังเลย มันยอมรับท่านเป็เ้าของแล้วเหรอ? ยกให้ฉีเอ๋อร์ได้หรือไม่ ฉีเอ๋อร์ชอบมันมาก”
คนทั้งหมดรีบหันไปทางหลิงเซียว
พวกเขานึกว่าหมาป่าเืสีขาวก่อนหน้านี้ยังไม่มีเ้าของ และอาจพึ่งถูกหลิงเซียวปราบก่อนที่พวกเขาจะมาถึง แม้เวลาสั้นนิดเดียว แต่พวกเขานึกว่าคงเป็เพราะตัวเองลดทอนกำลังของหมาป่าเืสีขาวไปเยอะ หลิงเซียวถึงจับมันได้สำเร็จ ดังนั้นหากอิงตามเหตุผลแล้ว หมาป่าเืสีขาวตัวนี้ก็ต้องเป็ของพวกเขา ถ้าจะยกให้ศิษย์น้องทังก็เห็นสมควรอยู่
“นั่นไม่ได้หรอก” หลิงเซียวยิ้มยกมุมปาก ปฏิเสธอย่างไม่ลังเลแม้แต่นิด
ทังอวิ๋นฉีชะงัก เมื่อได้สติกลับมาก็ข่มน้ำเสียงให้นิ่งที่สุดแล้วเอ่ย “ทำไมไม่ได้ล่ะ ศิษย์พี่ หรือว่าท่านทำสัญญากับหมาป่าเืสีขาวตัวนี้แล้ว?”
หลิงเซียวส่ายหัว ยิ้มมุมปากโค้งขึ้น “เ้าเดาถูกแล้ว แต่คนที่ทำสัญญากับมันไม่ใช่ข้า”
กระนั้นแล้ว ทั้งหมดก็เพ่งสายตาไปที่โหยวเสี่ยวโม่ทันใด หากในกลุ่มคน ไม่มีหลิงเซียว ก็มีเพียงโหยวเสี่ยวโม่ มีคนหนึ่งที่ข่มความริษยาจ้องมองโหยวเสี่ยวโม่ไม่ไหวติง
ฉันพลันเหลยจวี้รู้สึกไม่พอใจ แย่งทังอวิ๋นฉีพูดขึ้น “หลินเซียว เ้าก็เกินไปหน่อยนะ หมาป่าเืสีขาวตัวนี้พวกข้าเจอมันก่อน เ้ามีสิทธิ์อะไรไปยกให้โหยวเสี่ยวโม่ หากไม่ใช่พวกข้าทำมันาเ็ก่อน เ้าคิดว่าเ้าจะกำราบมันได้รึไง?”
พลังของหมาป่าเืสีขาวก่อนหน้านี้เป็เพียงขั้นห้า แต่นั่นคือก่อนจะเจอกับเหลยจวี้ หลังจากนั้นมันได้ผ่านการต่อสู้จนพลังเพิ่มเป็ขั้นหกแล้ว นั่นก็คือพลังชั้นดวงดาว
เพราะหลินเซียวเองก็มีพลังชั้นดวงดาว หากอยากทำสัญญากับหมาป่าเืสีขาว พลังก็ต้องเหนือกว่าหมาป่าตัวนี้อย่างมากถึงจะทำได้ ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่านี่เป็ผลงานของพวกเขา
เหลยจวี้พูดจบ คนอื่นๆ ก็เห็นตามกัน ผู้าุโทั้งสองก็พยักหน้า จ้องหลิงเซียวสายตากล่าวโทษ
หลิงเซียวหงายฝ่ามือขึ้น น้ำเสียงหน่ายใจ ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มเย้ยหยันแล้วเอ่ย “ข้าพูดเมื่อไหร่กัน ว่าศิษย์น้องโหยวทำสัญญากับหมาป่าเืสีขาวตอนที่พวกเ้าเจอมัน?”
เหลยจวี้ตะลึงชั่วครู่ พลันเอ่ยเสียงเยือกเย็น “เ้าหมายความว่าไง? เ้าคงไม่ได้กำลังจะบอกว่าหมาป่าเืสีขาวตัวนี้ถูกพวกเ้าทำสัญญาไว้นานแล้วหรอกนะ อย่าล้อเล่นกันเลย หากพวกเ้าทำสัญญากับมันจริง แล้วจะปล่อยให้มันหนีไปได้ยังไง อีกอย่างเ้ามีหลักฐานอะไรที่บ่งบอกว่าพวกเ้าทำสัญญากับมันก่อนที่พวกข้าจะเจอ?”
หลิงเซียวคิดไว้อยู่แล้วว่าเขาต้องพูดแบบนี้ จึงไม่รีบร้อน มองเขาแล้วเอ่ยอย่างมีเหตุผล “ทำไมข้าต้องพิสูจน์ คนที่มีสมองย่อมต้องรู้อยู่แล้ว ใครจะไปสามารถทำสัญญากับสัตว์ปีศาจขั้นหกในเวลาอันสั้นแค่นี้ได้ ถึงแม้สัตว์ปีศาจตัวนี้จะกำลังอ่อนแออยู่ก็ตาม การทำสัญญาก็ต้องใช้เวลา แต่หากพวกเ้ายอมรับไม่ได้จริงๆ ละก็ เ้าจะไปถามหมาป่าเืสีขาวดูเองก็ได้”
ถูกเขาประชดประชันว่าไม่มีสมอง หน้าเหลยจวี้กับผู้าุโทั้งสองถึงกับดูไม่จืด
แม้จะรู้ว่าที่เขาพูดนั้นถูก แต่พวกเขาก็ไม่อยากปล่อยวางจากหมาป่าเืสีขาวกึ่งขั้นแปดตัวนี้อย่างง่ายดาย อีกอย่างหมาป่าเืสีขาวตัวนี้ตอนนี้ก็มีพลังถึงขั้นหกแล้ว หายากยิ่งนัก
แต่ สายตาทั้งหมดก็เลื่อนกลับไปที่หมาป่าเืสีขาวและโหยวเสี่ยวโม่อีกครั้ง อันที่จริงไม่ต้องก็รู้คำตอบได้ ดูท่าทางของโหยวเสี่ยวโม่กับหมาป่าเืสีขาวก็รู้แล้ว ดูยังไงก็ไม่เหมือนนายบ่าวที่พึ่งผูกสัญญากันไม่นาน
เนื่องจากหมาป่าเืสีขาวได้รับาเ็ โหยวเสี่ยวโม่กลัวว่าอาการจะหนักกว่าเดิม จึงให้มันนอนลงบนพื้น
หมาป่าเืสีขาวเชื่อฟัง นอนลงอย่างว่าง่าย แล้วหงายหนังท้องโผล่ออกมา จากนั้นเผยสีหน้ารู้สึกผิดมองโหยวเสี่ยวโม่ เมื่อถูกถลึงตาใส่ก็ครางหงิงๆ น่าสงสาร ราวกับกำลังอ้อนเ้านายมันอยู่
แต่โหยวเสี่ยวโม่ไม่ได้ใจอ่อน หากไม่ใช่เพราะมันกำลังาเ็ เขาล่ะอยากอัดมันสักที แม้จะชื่นชอบการต่อสู้แต่ก็ไม่ต้องถึงขั้นทำให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพแบบนี้นี่นา อีกอย่าง เจอใครไม่เจอ ดันไปเจอเ้าพวกนี้เสียได้ แล้วยังพาพวกเขามาอีก เลี้ยงไม่เชื่องจริงๆ!
โชคดีที่เขามียารักษาาแ ไม่เช่นนั้นคงรักษายากเอาการ
แต่ยารักษาาแที่เขาหลอมไว้ไม่สามารถเอาออกมาได้ เพราะยาพวกนั้นล้วนเป็ยาคุณภาพสูง ทังอวิ๋นฉีเองก็เป็นักหลอมยา หากเห็นก็ต้องรู้คุณภาพของยาแน่ จึงทำได้เพียงใช้ยาที่ได้มาจากการต่อสู้ แม้คุณภาพจะไม่ดีนัก แต่อย่างน้อยก็รักษาาแได้
หากพูดถึงว่า พวกเขาเป็เพียงนายบ่าวที่พึ่งผูกสัญญากันได้เพียงสิบห้านาที คงไม่มีใครเชื่อ
จะมีนายบ่าวที่ไหนที่จะเข้าใจสื่อถึงกันได้รวดเร็วขนาดนี้? จะมีสัตว์ปีศาจตัวไหนที่อ้อนนายมันหลังจากพึ่งรู้จักกันได้สิบห้านาที? สัญญาณทุกอย่างชี้ชัด เื่จริงคงเป็อย่างที่หลิงเซียวพูดมา หมาป่าเืสีขาวตัวนี้ทำสัญญากับพวกเขามานานแล้ว
เหลยจวี้ยังไม่ยอม ท่าทางอยู่ไม่เป็สุข
่เวลานั้นเอง มีคนหนึ่งจู่ๆ ก็เบียดตัวออกมาด้านหน้า คนนั้นก็คือเจียงหลิว
เจียงหลิวตอนนี้เป็ถึงศิษย์โปรดของผู้นำทัพ์ เพื่อรับประกันความปลอดภัยของเขา ผู้าุโทั้งสองซึ่งมีผู้าุโหวัง พลังชั้นดวงดาวเจ็ดดาวและอีกท่านหนึ่งสี่ดาว การรวมกลุ่มนี้นับว่าไม่น่ามีใครทำอะไรพวกเขาได้ในแดน์วิมาน เห็นได้ว่าทังฝานใส่ใจแค่ไหน
เนื่องจากเจียงหลิวก่อนหน้านี้ไม่ได้พูดอะไร แล้วยืนอยู่หลังสุด ดังนั้นโหยวเสี่ยวโม่จึงไม่สังเกตเห็น ตอนนี้เขายืนมาอยู่ตรงหน้า สายตาเกือบทั้งหมดก็มาจรดที่เขา
เจียงหลิวท่าทีเหนียมอาย ถูกทุกคนจ้องจนทำตัวไม่ถูก มองหลิงเซียวแล้วเอ่ย “ข้ารู้สึกว่าไหนๆ หมาป่าเืสีขาวตัวนี้ก็ทำสัญญากับศิษย์พี่โหยวแล้ว ถ้างั้นเ้านายมันก็มีแค่ศิษย์พี่โหยวคนเดียวเท่านั้น พวกเราแย่งชิงกันไปก็ไม่เกิดประโยชน์ หรือว่าเราถอยกันคนละก้าว พวกเราก็ยังพอมีเวลา แดน์วิมานมีสัตว์ปีศาจเยอะแยะมากมาย ต้องได้เจออีกแน่ ศิษย์พี่หลิง ท่านว่าถูกรึเปล่า?”
โหยวเสี่ยวโม่วิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าวิธีการพูดของเจียงหลิวมีความนัยแฝง
หากเป็แต่ก่อน เขาคงไม่ไตร่ตรองคำพูดเขาอย่างถี่ถ้วน แต่ั้แ่เขาตั้งใจว่าจะขีดเส้นกั้นกับเจียงหลิว ในใจก็เริ่มระแวงอยู่บ้าง อย่างเช่นคำพูดเขาตอนนี้
จงใจไม่พูดถึงเื่ที่เขาผูกสัญญากับเ้าบอลใหญ่มานาน เหมือนกำลังบอกว่าเขาอาศัยจังหวะรีบทำสัญญากับเ้าบอลใหญ่ ดังนั้นจึงทำให้เกิดสถานการณ์ตอนนี้ ใจความจริงๆ ก็ยังกล่าวโทษเขาว่าแย่งทำสัญญากับสัตว์ปีศาจของพวกเขา ทำไมเขาถึงไม่รู้ก่อนหน้านี้นะ ว่าเพื่อนร่วมบ้านเกิดจะเป็คนใจคด คิดไม่ซื่อแบบนี้?
ดีล่ะ เขาคงใจกว้างไปสินะ!
หลิงเซียวเพียงยิ้ม แต่ไม่พูดอะไร
ทังอวิ๋นฉีที่อยู่ข้างๆ ก็รีบเสริม “ที่ศิษย์น้องเจียงพูดมาถูกต้อง ตอนนี้ควรเป็เวลาที่เราต้องร่วมใจกัน ก็แค่สัตว์ปีศาจตัวเดียว พวกเราค่อยหาใหม่ก็ได้ แดน์วิมานอันกว้างใหญ่ไพศาล ไม่มีทางหาไม่เจอ ท่านว่าถูกหรือไม่ ผู้าุโหวัง?”
“คุณหนูพูดถูกต้อง” ผู้าุโรีบพยักหน้า
เหลยจวี้เห็นสามในห้าเห็นพ้องต้องกันแล้ว แม้จะไม่เห็นด้วย แต่ก็ต้องประนีประนอม
“ในเมื่อพวกเ้าจะไปหาสัตว์ปีศาจ งั้นพวกเราก็แยกกันตรงนี้ดีกว่า” หลิงเซียวเดินไปข้างโหยวเสี่ยวโม่ จู่ๆ ก็หันมาพูดกับพวกเขา ความหมายนั่นชัดว่า้าแยกกับพวกเขาที่นี่
คนทั้งหมดชะงักพลัน โดยเฉพาะทังอวิ๋นฉี ใบหน้าสะสวยรีบเอ่ยอย่างร้อนรน “ศิษย์พี่ พวกเราไปด้วยกันไม่ดีกว่ารึไง? อีกอย่างพวกท่านมีกันแค่สองคน หากเจออันตรายเข้าจะทำยังไง มีคนมากกว่าก็ช่วยเหลือกันได้ดีกว่าไม่ใช่รึ?”
“ข้ากับศิษย์น้องโหยวต้องไปหาหญ้าเซียน พวกเ้าไปหาสัตว์ปีศาจ คงไม่สะดวก…”
หลิงเซียวไม่ทันพูดจบ ทังอวิ๋นฉีก็รีบขัดขึ้น
“สะดวกสิ พวกเราก็ไปหาหญ้าเซียนกับศิษย์พี่ด้วยได้นี่นา อีกอย่างแหล่งที่มีหญ้าเซียนก็ต้องมีสัตว์ปีศาจคุ้มกันอยู่แล้ว พวกข้าก็จะได้จับสัตว์ปีศาจด้วยพอดี ส่วนพวกท่านก็ขุดหญ้าเซียน มีแต่ได้กับได้!”
“งั้นก็ได้” หลิงเซียวไตร่ตรองแล้วตกลง
โหยวเสี่ยวโม่อยากจะบอกว่า ข้ายังไม่ได้พูดอะไรสักคำ!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้