กู้เจิงอ้าปากค้าง นางนึกถึงวันที่นางเล่าแผนการให้ตวนอ๋องฟัง มิน่าเล่าวันนั้นตวนอ๋องถึงตัดสินใจร่วมหุ้นกับนางทันทีโดยไม่คิด แถมยังซ่อนจุดประสงค์แบบนี้เอาไว้ ช่างน่ารังเกียจเสียจริง นางมองสามีด้วยสีหน้าผิดหวัง สิ่งที่นางตั้งใจจะทำกลายมาเป็สิ่งที่ให้คนอื่นมาหาประโยชน์ได้อย่างไรกัน?
แต่นางก็แอบคิดในอีกมุมหนึ่งว่า นางก็เป็หนึ่งในพรรคพวกขององค์รัชทายาทด้วยเหมือนกัน นางก็ควรจะช่วยทำงานให้องค์รัชทายาทด้วยใช่ไหม
“ข้าควรจะต้องช่วย ใช่ไหมเ้าคะ?” กู้เจิงถามสามี “หากวันใดองค์รัชทายาท” นางลดเสียงลงกระซิบเบาๆ “ได้ขึ้นเป็ฮ่องเต้ ข้าจะได้รางวัลใช่ไหมเ้าคะ?”
เสิ่นเยี่ยนคิ้วกระตุก เขามองภรรยาที่มองมาอย่างคาดหวัง ก่อนจะพยักหน้า “ไม่ต้องรอจนถึงวันนั้น เมื่อหอสมุดประสบความสำเร็จก็ย่อมต้องได้รับรางวัลแน่นอน”
กู้เจิงดีใจสุดๆ “แล้วข้าจะติดต่อกับพ่อบ้านของจวนเยี่ยนได้ยังไงเ้าคะ?”
“เื่เช่นนี้เ้าไม่ต้องออกหน้า ตวนอ๋องได้ติดต่อให้แล้ว อีกวันสองวันปาเม่ยจะมาหาเ้า เดินมาไกลขนาดนี้แล้ว เ้าส่งข้าแค่นี้เถอะ” เสิ่นเยี่ยนไม่ยอมให้ภรรยาเดินไปส่งอีก
“ท่านพี่” กู้เจิงดึงแขนเขาไว้ เอ่ยเสียงนุ่ม “เื่หอสมุด ข้าอยากดูแลด้วยตนเอง ไม่อยากยืมมือผู้อื่นเ้าค่ะ” แม้คนผู้นี้จะเป็องค์รัชทายาทก็ตาม แต่อย่างไรเื่นี้ก็เป็ความคิดของนางั้แ่ต้น ไม่ว่าคนอื่นจะมีจุดประสงค์อะไร แต่นางก็้าที่จะทำที่นี่ให้ดี
“หลังจากเช่าร้านแล้ว เื่ทุกอย่างจะให้เ้าเป็คนจัดการเอง”
“จริงหรือเ้าคะ?” กู้เจิงตาเป็ประกาย
เสิ่นเยี่ยนหลุดยิ้ม “หากเ้าของร้านไม่ใช่เยี่ยนจื่อเซี่ยน เ้าก็สามารถออกหน้าคุยได้”
กู้เจิงชะงักงัน “เื่นี้ยังมีความเกี่ยวโยงอย่างอื่นอีกหรือเ้าคะ?”
ตอนนี้เป็เวลาเที่ยงวัน รอบด้านไม่มีใครอยู่ เสิ่นเยี่ยนเองก็ไม่เคยคิดจะปิดบังนาง เขาพูดเสียงเบาว่า “ท่านผู้นั้น้าให้ตวนอ๋องดึงตัวแม่ทัพเยี่ยนมาร่วมด้วย แต่ถูกแม่ทัพเยี่ยนปฏิเสธ ตอนแรกที่ข้าอยากให้เ้าเช่าร้านนี้ก็เพราะมีแผนการในใจ แต่ก็ไม่เคยคิดลึกซึ้งไปไกลปานนั้น แต่ตอนนี้เรียกได้ว่าน้ำมาคลองเกิด* หากวันหน้าแม่ทัพเยี่ยนพบว่าร้านถูกเช่าโดยตวนอ๋อง นั่นก็เท่ากับว่าเป็การช่วยท่านผู้นั้นทางอ้อม อย่าว่าแต่จุดยืนของแม่ทัพเยี่ยนเลย ถ้าคนนอกรู้เข้าจะคิดอย่างไรกัน?”
(*หมายถึง เมื่อเงื่อนไขต่างๆ พร้อมจะสุกงอม)
กู้เจิงได้ยินก็อึ้งไป สมองของนางไม่ได้วนเวียนอยู่กับเื่ทางการเมืองนัก คนในราชสำนักที่รู้จักก็มีแค่
ตวนอ๋อง นางคิดตามอยู่พักหนึ่งถึงค่อยเข้าใจ “ดังนั้นกล่าวได้ว่าแม่ทัพเยี่ยนไม่ได้อยู่พวกเดียวกันกับพวกเรา แต่หลังจากมีความเกี่ยวข้องกันเพราะร้านนี้แล้ว ในสายตาของคนนอกก็จะมองว่าเราเป็พวกเดียวกันหรือเ้าคะ? เขาเองก็จำใจต้องมาร่วมลงเรือลำเดียวกัน แล้วต่อไปเขาจะร่วมทำการใหญ่ด้วยกันอีกหรือเ้าคะ?”
เสิ่นเยี่ยนพยักหน้ารับ ก่อนจากไป
จนกระทั่งเสิ่นเยี่ยนเดินไปไกลจนลับสายตา แต่ทว่ากู้เจิงยังคงคิดไม่ตกอยู่
“คุณหนู กลับเข้าบ้านกันเถอะ หนาวมากเลยเ้าค่ะ” ชุนหงเร่งเร้าคุณหนูของนางเพราะรู้สึกหนาว
กู้เจิงพ่นไอร้อนใส่มือ เสิ่นเยี่ยนพูดว่าน้ำมาคลองเกิดอะไรกัน เขาได้คาดการณ์ไว้แต่เนิ่นๆ แน่ว่าคงได้ใช้ประโยชน์จากร้านนี้เพื่อปูทางให้ตวนอ๋อง นางอดพึมพำไม่ได้ “จะทุ่มเทแรงกายแรงใจให้ตวนอ๋องขนาดนี้ไปทำไมกัน?”
“คุณหนูพูดว่าอะไรนะเ้าคะ?”
“ชุนหง เ้าว่าตวนอ๋องไว้ใจได้หรือไม่?”
ชุนหงนิ่งคิด ก่อนจะพยักหน้า “ไว้ใจได้นะเ้าคะ”
“ทำไมล่ะ?”
ชุนหงโพล่งออกมา “พวกเราช่วยท่านอ๋อง ท่านอ๋องย่อมต้องดีต่อพวกเราเช่นกันเ้าค่ะ”
“ก็จริง” กู้เจิงคิดว่านางอาจจะระแวงมากเกินไป ถึงยังไงเสิ่นเยี่ยนก็เป็ถึงคนสนิทของตวนอ๋อง
กู้เจิงกับชุนหงพากันค่อยๆ เดินกลับบ้าน ระหว่างทางพบกลุ่มเด็กวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน แต่จู่ๆ ก็มีเสียงดัง ‘ปัง’ ะเิขึ้นที่ใต้เท้าของกู้เจิง เป็เสียงประทัดนั่นเอง
สองนายบ่าวร้องออกมาด้วยความใในทันที
เหล่าเด็กๆ แถวนั้นงอตัวหัวเราะเสียงดัง
ชุนหงโมโหสุดขีด เด็กพวกนั้นทำหน้าล้อเลียนใส่พวกนางอีกด้วย ชุนหงจึงวิ่งไล่ใสกลุ่มเด็กโดยไม่ยั้งฝีเท้า หมายจะสั่งสอนพวกเขา
กู้เจิงตบหน้าอกด้วยอารามใ นางยกกระโปรงขึ้นแล้วไล่ตามชุนหงไป พอวิ่งมาถึงสี่แยก ก็เห็นชุนหงยืนกระทืบเท้ามองซ้ายแลขวา “ปล่อยให้พวกเขาหนีไปได้เสียแล้ว คุณหนู พวกเขาต้องเป็เด็กที่โยนประทัดเข้ามาในลานบ้านวันนั้นแน่เ้าค่ะ”
สำหรับเื่แบบนี้ กู้เจิงก็ไม่รู้จะทำยังไง เด็กในหมู่บ้านแต่ละคนล้วนมีนิสัยซุกซนเกเร พ่อแม่ของพวกเขาก็ไม่ค่อยมีเวลามาสนใจคอยสั่งสอน
เมื่อกู้เจิงกลับมาถึงบ้าน นางกับชุนหงก็ช่วยกันยกโต๊ะและเก้าอี้เล็กๆ มาวางไว้ในลานบ้านเพราะวันนี้แดดดี นางหยิบหนังสือออกมาเพื่อนั่งอ่าน ถึงแม้จะอ่านออกเขียนได้แล้ว แต่ความรู้เกี่ยวกับโลกใบนี้ของนางยังมีน้อยนิด
หลังจากอ่านหนังสืออยู่นั้น กู้เจิงก็นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนขึ้นมาอีก
ตวนอ๋องมาเกิดใหม่จริงๆ น่ะหรือ? อนุรัก? กู้เจิงส่ายหัว นางลองคิดในอีกด้าน ที่เขาบอกว่าเสิ่นเยี่ยนเป็เสนาบดี หรือศัตรูทางการเมือง? ในเมื่อเป็ศัตรูทางการเมือง แล้วทำไมตอนนี้ถึงสนิทสนมกันขนาดนี้?
กู้เจิงนึกถึงเื่ที่ตวนอ๋องเคยช่วยแม่สามีของนางไว้ หลังจากเกิดเื่นี้ขึ้น ตระกูลเสิ่นกับตวนอ๋องที่ตอนนั้นยังเป็เพียงองค์ชายห้าก็เริ่มมีการติดต่อสานสัมพันธ์กัน
ไม่หรอก เื่ที่เกิดขึ้นนี้คงไม่ใช่ว่าตวนอ๋องวางแผนไว้กระมัง? ชั่วขณะนั้น กู้เจิงไม่อาจอธิบายความรู้สึกในใจได้ จะร้ายกาจเกินไปแล้ว แม้จะไม่รู้ว่าเสิ่นเยี่ยนจะกลายเป็เสนาบดีตอนอายุเท่าไหร่ แต่ด้วยสติปัญญาความสามารถของเขา แน่นอนว่าจะต้องมีผลงานั้แ่อายุยังน้อยแน่นอน ใช่แล้ว เสิ่นเยี่ยนเคยบอกว่าเมื่อสามปีก่อนเขาสอบเข้ารับราชการ โดยได้รับการแนะนำจากกรมกลาโหม ไม่ต้องผ่านการสอบถงเซิง
เมื่อสามปีก่อน เสิ่นเยี่ยนอายุสิบหก หากปีนั้นได้เข้าสอบในพระราชวังและได้รับคำชื่นชมจากฮ่องเต้ อนาคตย่อมรุ่งเรืองก้าวหน้า
กู้เจิงนึกเื่หนึ่งขึ้นมาได้อีก การสอบของเสิ่นเยี่ยนในครั้งนี้ไม่ได้ดีนัก มักจะอยู่อันดับที่หกหรือเจ็ดเสมอ น่าแปลกที่ล้วนแล้วแต่เป็อันดับที่พอเหมาะพอดี ถึงจะไม่ติดในสามอันดับแรก แต่ก็ไม่อยู่ในลำดับท้ายมากนัก ไม่สะดุดตาผู้คน แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีตัวตนอยู่
หรือจะเป็ความ้าของตวนอ๋อง? ต้องใช่แน่นอน
กู้เจิงตบโต๊ะอย่างแรงแล้วลุกขึ้นยืน
“คุณหนู เป็อะไรหรือเ้าคะ?” ชุนหงที่กำลังอ่านหนังสืออยู่สะดุ้งใ
“ต่ำช้าเสียจริง” กู้เจิงสบถด่าเสียงดัง แล้วนั่งลงอย่างอึดอัดใจอีกครั้ง
“หา?” ชุนหงสับสนมึนงง
อาศัยบุญคุณที่ช่วยชีวิตมาพัวพันกับเสิ่นเยี่ยน ทั้งยังแสดงความปรารถนาดีต่างๆ คอยทำให้คนตระกูลเสิ่นประทับใจในตัวเขามากยิ่งขึ้น และทำให้เสิ่นเยี่ยนกลายมาเป็ที่ปรึกษาคนสนิทของเขาอย่างค่อยเป็ค่อยไป กู้เจิงใคร่ครวญว่าหากเื่นี้เป็ความจริง การคิดคำนวณวางแผนของตวนอ๋องนี้ก็ช่างเ้าเล่ห์นัก
เมื่อดวงตะวันเริ่มลับขอบฟ้า อุณหภูมิก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ยามพลบค่ำนายบ่าวทั้งสองจึงสวมเสื้อกันหนาวตัวหนาก่อนจะไปกินอาหาร
เสิ่นเยี่ยนกลับมาถึงในตอนที่ทุกคนกินอาหารกันเกือบเสร็จแล้ว โชคดีที่ข้าวยังร้อนอยู่ เขาจึงซดน้ำแกงและกินข้าวสองชามใหญ่ ทุกคนในตระกูลรุมล้อมกันเข้ามาพูดคุยกับเสิ่นเยี่ยน
เื่ในวังหลวงและท้องพระโรงถือเป็สิ่งที่ห่างไกลสำหรับชาวบ้านทั่วไป แต่ตอนนี้มีคนในตระกูลได้ทำงานในสำนักราชเลขา พวกเขาย่อมต้องสนใจว่าข้างในเป็อย่างไร เหล่าขุนนางมักจะทำอะไร ซึ่งเสิ่นเยี่ยนล้วนตอบด้วยรอยยิ้ม
หลังจากสนทนากันเสร็จ ยามกลับไปถึงบ้านก็ดึกมากแล้ว หลังล้างหน้าล้างตัวเสร็จกู้เจิงจึงเข้านอนทันที
“เ้ามีอะไรจะถามข้าหรือ?” ตอนกินข้าวเสิ่นเยี่ยนรับรู้ได้ว่าภรรยามีเื่ในใจบางอย่าง เขามองเห็นท่าทางอึกๆ อักๆ เหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูด
“ไม่มีเ้าค่ะ” กู้เจิงอยากถามเื่เมื่อสามปีก่อนมาก แต่นางคงถามไม่ได้ เสิ่นเยี่ยนฉลาดเฉลียวขนาดนี้ หากถามออกไปเขาต้องรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติแน่
“จริงหรือ? งั้นข้านอนแล้วนะ” เขาว่าพลางหลับตาลง
กู้เจิงเขยิบตัวแนบชิดสามี สักพักก็กอดแขนเขาไว้ และร้องเรียกขึ้น “ท่านพี่?”
“หืม?”
“บอกว่าจะนอนไม่ใช่หรือเ้าคะ?”
“อืม จะหลับแล้ว”
กู้เจิงเบ้ปาก “ท่านพี่ ท่านเล่าข้าเื่ในราชสำนักให้ข้าฟังบ้างสิเ้าคะ”
“เ้ากังวลว่าหากรู้มากไปจะส่งผลไม่ดีต่อตัวเองไม่ใช่หรือ?”
“ท่านบอกข้ามาตั้งขนาดนี้แล้ว หากรู้มากกว่านี้อีกหน่อยจะเป็ไรไปเ้าคะ” คนสองคนที่เป็คู่อริทางการเมืองในชาติที่แล้ว แต่ชาตินี้กลับกลายมาเป็พันธมิตร ไม่ว่าจะคิดอย่างไรเสิ่นเยี่ยนล้วนเป็คนเสียเปรียบ คิดไปคิดมา เื่พวกนั้นนางไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นในตอนนี้นางจึงอยากรับรู้แผนการของเสิ่นเยี่ยนกับตวนอ๋องให้มากขึ้น นางจะพยายามทำให้เสิ่นเยี่ยนเสียเปรียบให้น้อยที่สุด
“ก็ดีเหมือนกัน” เสิ่นเยี่ยนรู้สึกว่าในเมื่อตัวเองเข้ามาอยู่ในวังวนน้ำขุ่น* แล้ว ไม่ว่าจะเป็ภรรยาหรือพ่อแม่ก็ควรจะรับรู้เื่ราวเอาไว้บ้าง จึงเอ่ยขึ้นว่า “ในราชสำนักแบ่งเป็สองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งนำโดยองค์รัชทายาท อีกฝ่ายนำโดยองค์ชายสาม ตวนอ๋องเป็ของพรรคพวกขององค์รัชทายาท อย่างจวนหนิงกงเจวี๋ย หรือทางบ้านพ่อตาทั้งหมดล้วนเป็คนขององค์รัชทายาท แต่แม่ทัพเยี่ยนจื่อเซี่ยน รวมถึงแม่ทัพใหญ่เซี่ยกงเจวี๋ยที่กลับเมืองต้าเยว่มาอย่างเงียบเชียบนั้นไม่ใช่คนของใครเลย พวกเขาเป็คนที่จงรักภักดีต่อฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน หนึ่งในพวกขององค์ชายสาม...” เสียงของเสิ่นเยี่ยนหยุดลง เขาก้มลงมองภรรยาที่พ่นลมหายใจสม่ำเสมอ นางหลับไปแล้ว
(*อุปมาถึงเื่ที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม)
แล้วไหนที่บอกว่าอยากรู้เื่ราวเล่า?