เมื่อเทียบกับความเงียบเหงาของบ้านตระกูลสวี่แล้ว บ้านตระกูลลู่กลับคึกคักเป็พิเศษ
ภายในลานบ้านประดับประดาอย่างสวยงามเป็มงคล ทั้งประตูหน้าต่าง หรือแม้แต่ต้นหูกวางเก่าแก่ในลานบ้าน ก็ถูกติดด้วยตัวอักษรมงคลคู่สีแดงตัวใหญ่
ด้านหน้าลานบ้านวางโต๊ะไว้กว่าสิบตัว ส่วนด้านหลังลานบ้านตั้งเตาขนาดใหญ่ไว้หลายเตา หมูที่ฆ่าเมื่อวานนี้ถูกนำมาชำแหละและวางบนเขียง
พ่อครัวที่กำลังทำอาหารใช้ทัพพีขนาดใหญ่ผัดกับข้าว ส่วนพวกผู้หญิงที่เป็ลูกมือก็คุยกันไปพลาง สับผักไปพลาง เสียงมีดกระทบเขียงดังเซ็งแซ่
คุณนายลู่ทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อที่จะหาภรรยาให้หลานชายสุดที่รัก
ก่อนที่จะทะลุมิติมา สวี่จือจือเคยได้ยินเพื่อนร่วมชั้นเล่าว่าอาหารในงานเลี้ยงต้อนรับแขกของชาวชนบทนั้นอร่อยมาก เมื่อเห็นความวุ่นวายภายในลานบ้านตอนนี้ เธอจึงรู้สึกอยากอาหารขึ้นมา
“จิ่งซาน กลับมาได้ยังไง?” จ้าวลี่เจวียนป้าสะใภ้ใหญ่ของลู่จิ่งซานเอ่ยถาม เมื่อเห็นลู่จิ่งซานเข็นรถเข้ามาในขณะที่บนเบาะมีเด็กสาวนั่งอยู่ ส่วนโจวเป่าเฉิงก้มหน้าก้มตาไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ตามหลังมา
ใบหน้าที่เคยมีรอยยิ้มจางลงไปเล็กน้อย
“วันนี้ผมแต่งงานไม่ใช่เหรอครับ?” ลู่จิ่งซานถามกลับ
จ้าวลี่เจวียนถึงกับพูดไม่ออก แต่ก็รีบเค้นรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง “รีบเข้ามาเถอะ คุณย่ารอจนใจจะขาดแล้ว”
สวี่จือจือกะพริบตาปริบๆ
ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าเื่ภายในของบ้านตระกูลลู่ก็มีเยอะเหมือนกันนะ
ลู่จิ่งซานทำเพียงแค่ส่งเสียง “อืม” ถือเป็การตอบ แต่ไม่ได้รีบร้อนที่จะเข้าไปอย่างที่เธอพูด กลับเข้าไปช่วยพยุงสวี่จือจือลงจากรถก่อน “ถึงบ้านแล้ว”
“ค่ะ” สวี่จือจือยิ้มออกมา
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้เขียนถึงได้ชอบพ่อของตัวประกอบหญิงคนนี้ ถึงแม้ตอนนี้จะพูดจาหรือจัดการเื่ราวได้ไม่ดีนัก แต่เขาก็ดูพึ่งพาได้อยู่บ้าง
การแต่งงานคือเป้าหมายของการเริ่มต้นความรัก ในเมื่อทั้งสองแต่งงานกันแล้ว ก็จะต้องให้ทั้งสองสาบานตนต่อหน้าภาพถ่ายของประธาน แล้วถึงจะพาเข้าห้องหอได้
คุณนายลู่มีลูกชายสามคนและลูกสาวหนึ่งคน
ลูกชายคนโตลู่หวยไห่ ปีนี้อายุสี่สิบแปดปี เขากับภรรยาจ้าวลี่เจวียนต่างเป็ชาวนา ทั้งคู่มีลูกชายด้วยกันสามคนคือ ลู่จิ่งเซิง ลู่จิ่งเสวีย และลู่จิ่งเหนียน คนโตลู่จิ่งเซิงปีนี้อายุยี่สิบแปดปี แต่งงานแล้ว เขาและภรรยาคังจิ่นซีเป็คนงานอยู่ที่โรงงานหม้อแปลงไฟฟ้าของอำเภอ ทั้งคู่มีลูกชายอายุเจ็ดขวบด้วยกัน หลานชายคนที่สองลู่จิ่งเสวียอายุยี่สิบหกปี เขาแต่งงานกับหวังิ่ิ่จากหมู่บ้านเดียวกัน ลู่จิ่งเสวียเป็คนขับรถแทร็กเตอร์ของประชาคม ส่วนหวังิ่ิ่ไม่ได้ทำงานอยู่บ้านดูแลลูกสาวลู่เถียนเถียนที่อายุสามขวบ หลานชายคนที่สามลู่จิ่งเหนียน มีอายุเท่ากับลู่จิ่งซาน ถึงแม้จะไม่มีงานทำที่เป็ทางการ แต่เขาก็มีหัวทางธุรกิจ หาเงินจากการซื้อขายสิ่งของไปได้ไม่น้อย
ลูกชายคนที่สองลู่หวยเหรินอายุสี่สิบหกปี เขาเป็รองหัวหน้าเ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงงานหม้อแปลงไฟฟ้าในอำเภอ ภรรยาคนใหม่ของเขา เหอเสวี่ยฉิน เป็ครูที่โรงเรียนประถมศึกษาในประชาคม ทั้งคู่มีลูกชายลูกสาวฝาแฝด ลู่หลิงซานและลู่จิ่งฟาอายุสิบหกปี
ส่วนลู่จิ่งซานที่สวี่จือจือต้องแต่งงานด้วยนั้น เป็ลูกชายของลู่หวยเหรินและภรรยาคนก่อนกู้ฉิงโหรว ทั้งคู่ยังมีลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้วคือลู่ซือหยวน และลูกสาวที่อายุสิบเจ็ดปีลู่ซืออวี่
ภรรยาคนก่อนของกู้ฉิงโหรวเสียชีวิตขณะคลอดลู่ซืออวี่ เธอกับเหอเสวี่ยฉินเป็เพื่อนสนิทกัน มีข่าวลือว่าในปีที่กู้ฉิงโหรวใกล้ตาย เธอได้จับมือของเหอเสวี่ยฉินและฝากฝังลูกของตนเอาไว้กับอีกฝ่าย ดังนั้นใน่ที่ยังไว้ทุกข์ไม่ทันครบ ลู่หวยเหรินจึงแต่งงานใหม่กับเหอเสวี่ยฉิน ตอนที่เหอเสวี่ยฉินแต่งเข้ามานั้นก็ได้พาลูกชายที่เกิดกับสามีเก่าคือโจวเป่าเฉิง ซึ่งเป็คนที่มารับตัวเ้าสาวแทนลู่จิ่งซานในวันนี้มาด้วย
และลูกชายคนสุดท้ายของคุณนายลู่ ลู่หวยเฟิง เขาได้เข้าทำงานแทนกู้ฉิงโหรว และทำงานอยู่ที่โรงเรียนเดียวกันกับเหอเสวี่ยฉิน ภรรยาของเขาคือเริ่นอิ๋งอิ๋ง หญิงสาวที่กำพร้าพ่อแม่ภายในหมู่บ้าน ทั้งสองคนแต่งงานกันมาหลายปีแล้วแต่ก็ยังไม่มีลูก และอาศัยอยู่ที่โรงเรียนด้วยกัน
ส่วนป้าของบ้านตระกูลลู่ลู่ไห่เสียที่แต่งงานไปอยู่กับบ้านตระกูลจ้าวที่อยู่ห่างออกไปห้าลี้ยังไม่ต้องกล่าวถึง
บ้านตระกูลลู่ยังไม่ได้แยกบ้านกัน นอกจากลู่จิ่งเซิงและภรรยาที่อาศัยอยู่ในบ้านพักที่ทางหน่วยงานจัดไว้ให้ในอำเภอ และคนที่อาศัยอยู่ที่ประชาคม คนอื่นๆ ทั้งหมดก็อาศัยอยู่ในบ้านกระเบื้องหกห้องในหมู่บ้านผานสือ
ตอนนี้เหอเสวี่ยฉินกำลังจัดห้องหออยู่ พอเห็นทั้งสองคนเข้าไปก็หันมายิ้มให้ “พวกเธอคิดว่าห้องนี้เป็ยังไงบ้าง?”
“ออกไป” ลู่จิ่งซานพูดเสียงเย็น
“จิ่งซาน...” เหอเสวี่ยฉินมองเขาอย่างเศร้าสร้อย “ห้องหอในวันนี้ ฉันเป็คน...”
“ออกไปซะ” ลู่จิ่งซานพูดเสียงเ็า “อย่าให้ผมต้องพูดเป็ครั้งที่สาม”
“ก็ได้ ฉันไปก็ได้” เหอเสวี่ยฉินกลั้นน้ำตาแล้วเอามือปิดปากวิ่งออกไป
สวี่จือจือ “...”
ที่แย่กว่านั้นก็คือ หลังจากที่อีกฝ่ายออกไปแล้ว บรรยากาศในห้องก็เหมือนกับถูกแช่แข็งไปเสียแล้ว
ชวนให้หนาวจับใจ
ส่วนลู่จิ่งซานก็นั่งนิ่งอยู่ที่ริมหน้าต่าง เหมือนกับกำลังคิดอะไรอยู่
สวี่จือจือรู้สึกกระอักกระอ่วน
เธอควรจะออกไปไหม? จะออกไปดีไหม? หรือว่าจะออกไป?
ในตอนที่เธอใกล้จะทนกับบรรยากาศที่อึดอัดในห้องไม่ไหว กำลังคิดจะออกไปอยู่นั้น ลู่จิ่งซานก็หันมามองเธอเสียก่อน
“ฉัน...ฉัน...” สวี่จือจือมองเขาด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย “คุณอยากจะดื่มน้ำไหม?”
ขอชมเชยในความมีไหวพริบของตัวเอง!
“เมื่อกี้ทำให้คุณใหรือเปล่า?” ลู่จิ่งซานถาม
“ไม่...จะไม่...” ใได้ยังไง?
ท่าทางเหมือนจะฆ่ากันขนาดนี้จะไม่ให้กลัวได้ยังไง
“คุณพักผ่อนสักหน่อยเถอะ” ลู่จิ่งซานเหลือบมองเธอ “เดี๋ยวผมไปหาอะไรให้คุณกิน”
สวี่จือจือหน้าแดงขึ้นมา
ั้แ่เช้าเธอกินเพียงแค่ไข่ตุ๋นชามเดียว ตอนที่นั่งอยู่บนเบาะด้านหลัง ท้องของเธอก็เริ่มปั่นป่วนแล้ว
คิดว่าทุกคนคงจะพูดเล่นกันไป ลู่จิ่งซานคงจะไม่ได้ยิน แต่ใครจะไปรู้ว่าหูของเขาจะดีขนาดนี้
“ขอบคุณค่ะ” สวี่จือจือกล่าว
ลู่จิ่งซานพยักหน้าแล้วมองเธออีกครั้ง
เป็เด็กสาวที่สุภาพ มีมารยาท ดูไม่เหมือนกับคนที่มาจากครอบครัวแบบนั้นเลย
ไม่นานลู่จิ่งซานก็กลับเข้ามาพร้อมกับชามข้าวหมากในมือ “ผมเห็นว่านี่ก็พอใช้ได้ คุณชิมดูสิ”
ไม่เรียกว่าพอใช้ได้เท่านั้นหรอก ในยุคนี้การที่จะได้กินข้าวหมากแบบนี้ถือว่ามีความสุขสุดๆ
ข้าวหมากในแถบประชาคมชีหลี่นี้เรียกอีกชื่อว่าถังเจี้ยนหมี่ ใช้ข้าวเหนียวมาทำ โรยด้วยน้ำตาลทราย แล้วนำมาเทด้วยเหล้าข้าวหมักร้อนๆ เทน้ำตาลให้ละลาย แล้วนำไปคลุกกับข้าวเหนียวที่นึ่งสุกแล้ว
รสชาติอร่อยเป็พิเศษ
วันนี้บ้านตระกูลลู่ทำไม่มาก เพราะคุณนายลู่ชอบกิน พวกคนครัวก็เลยทำให้ไม่กี่ชามเพื่อเอาใจ
ใครจะรู้ว่าลู่จิ่งซานกลับเอาหนึ่งในจำนวนไม่กี่ชามนั้นมา
“คุณลองชิมดูไหม?” สวี่จือจือแบ่งข้าวหมากออกเป็ครึ่งหนึ่ง แล้วพูดกับลู่จิ่งซาน “คุณก็คงจะไม่ได้กินอะไรเหมือนกันใช่ไหมคะ?”
ในตอนแรกลู่จิ่งซานตั้งใจว่าจะไม่กินของหวาน แต่เมื่อสบเข้ากับดวงตาที่ใสเหมือนน้ำของสวี่จือจือ เขากลับพยักหน้าตกลงไปเสียอย่างนั้น
“การกินของหวานทำให้จิตใจเบิกบาน” สวี่จือจือพูดพลางยิ้มกว้าง “เป็ยังไงล่ะ ไม่ได้หลอกคุณใช่ไหม อร่อยมากใช่หรือเปล่า?”
ดูเหมือนว่า...จะไม่เลว!
แต่ลู่จิ่งซานเป็คนที่ไม่แสดงออกทางสีหน้า สวี่จือจือมองอยู่ตั้งนานก็ไม่เห็นว่าเขาจะมีท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไป
“คุณพักผ่อนก่อนสักหน่อย เดี๋ยวต้องไปคารวะสุราอีก” เขาจัดการข้าวหมากทั้งหมดลงท้อง แล้วพูดกับสวี่จือจือ “ถ้าคนในหมู่บ้านพูดอะไรไม่เข้าหู คุณอย่าไปใส่ใจนะ”
โดยเฉพาะพวกผู้ชายแก่ที่ชอบพูดจาหยาบคายโดยไม่คำนึงถึงสถานที่
“ฉันจะทำเป็ไม่ได้ยินก็แล้วกันค่ะ” สวี่จือจือยิ้มออกมา
ลู่จิ่งซานพยักหน้าแล้วหันหลังเดินออกไป
หลังจากที่ท้องอิ่ม สวี่จือจือถึงได้มีโอกาสสำรวจสิ่งที่เรียกว่าห้องหอ ไม่มีสิ่งของที่แสดงถึงการแต่งงานในยุค 70 อย่าง ‘สามหมุนหนึ่งดัง[1]’ แต่มีตู้ยืนและตู้แบบมีขา ทั้งคู่ติดตัวอักษรมงคลคู่พิงอยู่กับผนัง แล้วด้านหน้าต่างก็มีโต๊ะเครื่องแป้งวางอยู่อย่างสวยงาม
สวี่จือจือก็พลันเอามือตบหน้าผากของตัวเอง
ในห้องมีเตียงเตาแค่ตัวเดียว และบนเตียงเตานั้นก็ปูด้วยผ้าห่มลายมงคล
และแล้วปัญหาที่สำคัญก็มา
คืนนี้เธอจะต้องนอนยังไงล่ะ?
หรือว่าจะต้องทำเื่แบบนั้นกับลู่จิ่งซานจริงๆ น่ะเหรอ?!
.............................
[1] สามหมุนหนึ่งดัง หมายถึง จักรยาน นาฬิกา จักรเย็บผ้า และวิทยุ ซึ่งเป็ของใช้หรูหราในยุคนั้น และถือเป็เครื่องหมายของชีวิตที่มั่นคงและมีฐานะดีในสังคมจีนยุค 1960-1970
แผนผังครอบครัวสกุลลู่
คุณนายลู่มีลูกชาย 3 คน
1.ลู่หวยไห่+จ้าวลี่เจวียน มีลูกชาย 3 คน คือ ลู่จิ่งเซิง(+คังจิ่นซี) ,ลู่จิ่งเสวีย(+หวังิ่ิ่ มีลูกสาวชื่อลู่เถียนเถียน) และลู่จิ่งเหนียน
2.ลู่หวยเหริน+กู้ฉิงโหรว(ภรรยาเก่า) มีลูก 3 คน ลู่ซือหยวน ลู่ซืออวี่ ลู่จิ่งซาน(พระเอก)
ลู่หวยเหริน+เหอเสวี่ยฉิน(ภรรยาใหม่) มีลูกฝาแฝดคือ ลู่หลิงซาน ลู่จิ่งฟา โจวเป่าเฉิง(ลูกชายที่เกิดจากสามีเก่า)
3.ลู่หวยเฟิง+เริ่นอิ๋งอิ๋ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้