“ผู้ใช้อสูริญญาระดับห้า อย่าบอกนะว่าตอนที่เขาสังหารปรมาจารย์อสูรมายาเมื่อคืน เขาเพิ่งจะอยู่ในเขตแดนอสูริญญาระดับสี่น่ะ”
เพราะเยี่ยเฉินเฟิงฝึกฝนด้วยทักษะกลืนิญญา คนทั่วไปจึงไม่สามารถตรวจจับระดับพลังที่แท้จริงของเขาได้ ทว่าในเสี้ยววินาทีที่เขาทะลวงผ่านเขตแดน พวกจีชิงเสวี่ยกลับบอกระดับพลังของเขาได้อย่างแม่นยำ
เมื่อรู้ว่าเยี่ยเฉินเฟิงเพิ่งจะบรรลุเขตแดนผู้ใช้อสูริญญาระดับห้า พวกจีชิงเสวี่ยก็เผยสีหน้าประหลาดใจ ตื่นตระหนกต่อพลังรบอันน่าหวาดกลัวของเขา
“เขาต้องแอบซ่อนความลับบางอย่างไว้เป็แน่”
เมื่อรับรู้ได้ว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา ดวงตากลมโตคู่สวยของจีชิงเสวี่ยกระพริบปริบๆ เกิดความสงสัยอันแรงกล้าเกี่ยวกับตัวเขาขึ้นมา
“ฟ้าสว่างแล้ว พวกเราลงจากเขากันเถอะ”
เยี่ยเฉินเฟิงเผอเรอออกมาหนึ่งคำรบ หลังตื่นจากการบ่มเพาะพลัง ในตอนที่ดวงตาล้ำลึกของเขาเปิดขึ้น ของเสียแต่ละอย่างก็ถูกระบายขับถ่ายออกมาอย่างต่อเนื่อง
“เป็ดวงตาที่งดงามมาก”
จีชิงเสวี่ยที่สังเกตเห็นประกายแสงในดวงตาของเยี่ยเฉินเฟิงก็เผลอเกิดอาการใจกระตุกเบาๆ นางรู้สึกว่ากลิ่นอายอันเป็เอกลักษณ์ของเขา คล้ายยาพิษที่ล่อลวงนางให้ติดกับ
ประมาณสามชั่วโมงผ่านไป ทั้งสามคนก็เดินทางออกจากเทือกเขาไป๋อวิ๋นมาถึงนอกประตูเมืองไป๋ตี้ที่มีผู้คนพลุกพล่านคึกคัก
“เอาล่ะ ตรงนี้น่าจะปลอดภัยแล้ว พวกเราแยกทางกันตรงนี้เลยก็แล้วกัน” เยี่ยเฉินเฟิงที่มองเห็นประตูเมืองไป๋ตี้ตั้งตระหง่านอยู่ไกลออกไปก็เอ่ยคำอำลา
“ท่าน...เดี๋ยวก่อน”
เห็นเยี่ยเฉินเฟิงพูดจบก็เดินจากไปทันที จีชิงเสวี่ยเผลอขบเม้มริมฝีปากอวบอิ่ม และเอ่ยปากรั้งเข้าไว้อย่างทันควัน
“ทำไม ยังมีเื่อะไรอีกหรือ?”
เยี่ยเฉินเฟิงมองจีชิงเสวี่ยที่คล้ายจะพูดบางอย่างแต่ก็ยั้งเอาไว้ จึงเอ่ยถามเสียงแ่เบา
“ท่าน...ท่านมีนามว่าอะไร ข้าจะไปหาท่านได้ที่ไหนบ้าง”
“หาข้า? หาข้าทำไม?”
“ทะ ท่านอย่าเข้าใจผิดนะ ข้าแค่อยากตอบแทนพระคุณที่ท่านช่วยชีวิตพวกข้าไว้”
จีชิงเสวี่ยไม่เคยเป็ฝ่ายซักถามเื่ราวของผู้ชายคนไหนมาก่อนเลย เมื่อเห็นสายตางุนงงของเยี่ยเฉินเฟิงใบหน้าของนางก็ปรากฏจ้ำแดงระเรื่อที่สองข้างแก้ม หัวใจเต้นกระหน่ำ กล่าวอธิบายอย่างขัดเขิน
“ไม่จำเป็หรอก ข้าช่วยพวกเ้าโดยไม่หวังผลตอบแทน ลาก่อน”
จบประโยค เยี่ยเฉินเฟิงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงหมุนตัวเดินจากไปทันที โดยมีสายตาของจีชิงเสวี่ยมองตามอย่างผิดหวัง
“ชิงเสวี่ย เ้ารู้สึกหรือไม่ว่าเขาคล้ายใครบางคน?” ไป๋ซีหย่าที่มองตามแผ่นหลังของเขาไปจนลับสายตาพลันคิดขึ้นมาได้ว่า แผ่นหลังของเขาคล้ายคลึงกับเยี่ยเฉินเฟิงมาก
“เหมือนใคร?”
“เฉินเฟิง”
“เฉินเฟิงหรือ...” จีชิงเสวี่ยกล่าวอย่างยิ้มๆ “ซีหย่า เ้าคงไม่คิดว่าเขาคือเยี่ยเฉินเฟิงปลอมตัวมาหรอกนะ”
“ยังไม่ต้องพูดถึงเื่ที่เขาไม่มีจิตอสูร ต่อให้เขามีจิตอสูรขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่มีพลังมากพอจะสังหารกับปรมาจารย์อสูรมายาหรอก เ้าอย่าคิดอะไรเพ้อฝันนักเลย”
พลันนึกถึงเยี่ยเฉินเฟิงที่ขี้ขลาดตาขาวแล้วยังตระหนี่ขี้งกขึ้นมา นางไม่เชื่อเด็ดขาดเลยว่าผู้ชายคนแรกที่ทำให้นางหวั่นไหว จะเป็คนเดียวกันกับเยี่ยเฉินเฟิงที่นางดูิ่ดูแคลนคนนั้น
“ว่าไงนะ พวกเฮยหลางสามคนนั้นตายที่ริมทะเลสาบไป๋หู ส่วนเฮยซาก็ขาดการติดต่อไป”
ภายในเรือนสี่ประสานที่ตั้งอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันงดงามทางทิศตะวันออกของเมืองไป๋ตี้ ชายหนุ่มผู้หนึ่งแผดเสียงออกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาสวมชุดคลุมยาวสีดำ ใบหน้าค่อนข้างซีดขาว จมูกงองุ้ม ดวงตาหย่อนคล้อยมีร่องลึก
“ไม่ได้เื่ เ้าพวกขยะไร้ค่า แค่ให้ลักพาตัวคนกลับมายังทำไม่ได้ ไปหาทางติดต่อเฮยซามาให้ได้ หากติดต่อได้แล้วก็สั่งให้เขารีบไสหัวกลับมาพบข้าทันที”
“แล้วก็ตามสืบเบาะแสของเยี่ยเฉินเฟิงต่อด้วย ได้เื่เมื่อไหร่รีบรายงานข้าทันที”
ชายหนุ่มที่กำลังหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่นี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็เจียงซานสุ่ย นายน้อยคนรองของตระกูลเจียงที่พายอดฝีมือบุกมาถึงเมืองไป๋ตี้ เพื่อเตรียมล้างแค้นพวกของเยี่ยเฉินเฟิง
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เจียงซานสุ่ยใช้ชีวิตอย่างราบรื่นมาตลอด ไม่มีใครกล้าขัดความ้าของเขาเลยสักครั้ง แต่เขาไม่คิดเลยว่านอกจากจีชิงเสวี่ยจะปฏิเสธการสู่ขอของเขาแล้ว นางยังใช้วิธีที่ตรงไปตรงมาและป่าเถื่อนโหดร้ายตบหน้าเขาอย่างจัง
ทำให้เขาต้องจมอยู่กับความรู้สึกอัปยศอดสู นึกภาพของจีชิงเสวี่ยที่ยอมใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเ้าขยะไร้ค่านั่นทีไร เจียงซานสุ่ยก็มีโทสะเสียจนอยากจะฆ่าคน
“เยี่ยเฉินเฟิง จีชิงเสวี่ย ข้าจะสอนให้พวกเ้ารู้เองว่าอะไรคือคำว่าเสียใจภายหลัง ข้าจะให้เ้าขยะเยี่ยเฉินเฟิงนั่นได้เบิกตาดูชัดๆ ว่ายามที่อยู่บนเตียงข้าย่ำยีนางแพศยานั่นอย่างไรบ้าง” เจียงซานสุ่ยเผยสีหน้าโหดร้ายทารุณ ดวงตาทอประกายโเี้
หลังจากแยกกับพวกจีชิงเสวี่ย เยี่ยเฉินเฟิงก็พักอยู่นอกเมืองไป๋ตี้ชั่วคราวเพื่อแปลงโฉมกลับเป็เหมือนเดิม ก่อนจะแอบกลับไปที่บ้านดินของตนเองอย่างเงียบเชียบ
เยี่ยเฉินเฟิงเพิ่งจะกลับมาถึงได้ไม่นาน จีชิงเสวี่ยก็ตามเข้ามาแบบติดๆ แถมยังพาคนอื่นเข้ามาด้วย ซึ่งก็คือไป๋ซีหย่าและท่านปู่ของนาง ไป๋ซีซาน ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเมืองไป๋ตี้ ปรมาจารย์อสูรมายาระดับห้า
“ท่านปู่ไป๋ ซีหย่า ข้าอยากคุยกับเฉินเฟิงตามลำพังสักหน่อย พวกท่านรอข้าอยู่ด้านนอกก่อนได้หรือไม่?” เมื่อัักลิ่นอายของเยี่ยเฉินเฟิงที่อยู่ในห้องตรงกลางได้ จีชิงเสวี่ยก็หันไปขอร้องกับคนที่เหลือ
“ได้ ข้าจะรอเ้าอยู่ตรงนี้”
ไป๋ซีซานพยักหน้ารับคำ เขาสวมชุดคลุมยาวสีขาว ใบหน้ามีสีเืฝาดดูสุขภาพดี แผ่กลิ่นอายเรียบง่ายสามัญแต่ทรงพลัง
“เฉินเฟิง ข้ามีเื่อยากคุยกับเ้า ขอเข้าไปได้ไหม?” จีชิงเสวี่ยยืนอยู่นอกประตูห้อง ยกมือขึ้นเคาะเรียกอีกฝ่ายเบาๆ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ประตูไม่ได้ลงกลอน เ้าเข้ามาได้เลย” เยี่ยเฉินเฟิงตอบกลับเสียงแ่
เมื่อเปิดประตูเข้าไป จีชิงเสวี่ยก็พบกับเยี่ยเฉินเฟิงที่นั่งอยู่บนเตียง สายตาของเขามองจ้องมาที่ตน นางจึงบอกกับอีกฝ่ายด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความรังเกียจ “เจียงซานสุ่ยมันมาแล้ว เมื่อคืนข้ากับซีหย่าเจอกับพวกนั้นและเกือบจะถูกจับตัวไป...”
จีชิงเสวี่ยเล่าเื่ที่เจอมาเมื่อคืนนี้ให้เยี่ยเฉินเฟิงฟังอย่างคร่าวๆ
“เ้าจะไปแล้วหรือ?” เยี่ยเฉินเฟิงเข้าใจความหมายแฝงในคำพูดของนางจึงเอ่ยปากถาม
“อืม เมืองไป๋ตี้อันตรายเกินไป เพื่อความปลอดภัยข้าเลยติดต่อหาท่านปู่แล้ว คาดว่าคืนนี้พวกยอดฝีมือที่ได้รับคำสั่งก็คงจะเดินทางมาถึงที่เมืองนี้” จีชิงเสวี่ยพยักหน้ารับ
“นี่คือเงินอีกเจ็ดแสนตำลึงที่ข้าติดค้างเ้าไว้ เก็บมันไว้ให้ดีแล้วเ้าก็รีบออกจากเมืองไป๋ตี้ให้เร็วที่สุดเลย หาสถานที่ห่างไกลผู้คนแล้วเปลี่ยนชื่อแซ่เสียใหม่ ไม่อย่างนั้นเ้าคงได้ตายเป็แน่”
“อีกอย่าง หลังจากนี้ไปพวกเราไม่ถือว่ามีความสัมพันธ์ใดต่อกันอีก เ้าห้ามบอกใครต่อใครว่าข้าเป็ว่าที่ภรรยาของเ้าอีก”
จีชิงเสวี่ยหยิบตั๋วเงินเจ็ดแสนตำลึงที่นางยืมมาจากตระกูลไป๋ยื่นให้เยี่ยเฉินเฟิง พร้อมกล่าวกำชับเขาอย่างเข้มงวด
“วางใจเถอะ ข้าไม่พูดพล่อยๆ ออกไปหรอก แล้วก็ไม่คิดจะใฝ่สูงไปเกาะตระกูลจีของเ้าด้วย” เยี่ยเฉินเฟิงรับตั๋วเงินเจ็ดแสนตำลึงมาจากนาง สีหน้าเผยแววเสียดสีเอ่ยวาจากระทบกระเทียบ “ส่วนเื่ที่ข้าจะอยู่หรือไป เ้าไม่จำเป็ต้องยื่นมือเข้ามายุ่งหรอก”
“เยี่ยเฉินเฟิง นี่เ้าไม่ได้ฟังที่ข้าพูดบ้างเลยหรือไง ถ้าหากเ้าไม่รีบหนีไปตอนนี้ ด้วยนิสัยของคนอย่างเจียงซานสุ่ยไม่มีวันปล่อยให้เ้ารอดไปได้แน่”
“ขอบคุณที่เป็ห่วง แต่ข้ามั่นใจว่าเจียงซานสุ่ยสังหารข้าไม่ได้หรอก”
แม้เยี่ยเฉินเฟิงจะพอคาดเดาได้ว่าข้างกายของเจียงซานสุ่ยยังมียอดฝีมือระดับปรมาจารย์อสูรมายาเหลืออยู่อีก แต่ตัวเขาที่ทะลวงผ่านเขตแดนผู้ใช้อสูริญญาระดับห้าและฝึกฝนเคล็ดวิชาหลอมกายาขั้นต้นได้สำเร็จ แล้วยังมีอาวุธลับอย่างยันต์เข็มทองอยู่อีกจึงไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด
“เยี่ยเฉินเฟิง นี่เ้าเสียสติไปแล้วหรือ เ้าไม่กลัวตายหรืออย่างไร?”
“พอเถอะจีชิงเสวี่ย ตอนนี้พวกเราไม่เกี่ยวข้องอะไรกันแล้ว ข้าจะเป็หรือตายเ้าก็ไม่ต้องมาสนใจใยดีหรอก” เยี่ยเฉินเฟิงกล่าวอย่างเฉยชา “นี่ก็ดึกมากแล้ว เ้ากลับไปเถอะ อย่ามาเสียเวลากับคนอย่างข้าอีกเลย”
“ได้! เยี่ยเฉินเฟิง หวังว่าเ้าจะไม่เสียใจกับสิ่งที่เ้าตัดสินใจในวันนี้นะ”
กล่าวจบ จีชิงเสวี่ยที่กำลังหัวเสียก็หุนหันออกไปทันทีอย่างไร้ซึ่งความลังเล
