ตอนบ่ายทุกคนพูดคุยกันจนเกือบครบถ้วนแล้ว
คังเหว่ยสนใจในเื่การทำธุรกิจที่เขตเศรษฐกิจพิเศษเผิงเฉิงเป็อย่างมาก ระหว่างทางที่ขับรถไปส่งเซี่ยเสี่ยวหลานกลับบ้านพักก็คุยแล้วคุยอีก
เซี่ยเสี่ยวหลานถามเขาว่าตกลงการงานของเขาเป็อย่างไรกันแน่
คังเหว่ยตอบอย่างไม่ยี่หระ “อยู่อย่างไม่ดีไม่เลวไปวันๆ นั่นแหละ”
เซี่ยเสี่ยวหลานนับถือเขายิ่งนัก มีคนตั้งเท่าไรอยากเข้าทำงานในกระทรวงไปรษณีย์และโทรคมนาคม ทว่าคังเหว่ยมีจุดเริ่มต้นที่สูงเกินไป ดังนั้นเขาจึงเมินเฉยต่ออาชีพที่สบายเช่นนี้ งานสบายกัดกร่อนความทะเยอทะยานของคนมาก แต่ตราบใดที่มีใจ้าพัฒนาตนเองอยู่บ้าง ก็สามารถทำอาชีพสบายให้น่าทึ่งได้ ครอบครัวคังเหว่ยไม่มีทางไร้ซึ่งเครือข่าย ยังต้องกลัวที่จะไม่ได้รับการวางตัวในตำแหน่งสำคัญอีกหรือ?
ไม่รู้ว่าเพราะคังเหว่ยมุ่งมั่นไปแล้วไม่มีประโยชน์ หรือว่าเพราะจิตใจของเขาไม่ได้สนใจในสิ่งนี้โดยสิ้นเชิงกันแน่ แต่เซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่ถามให้มากความ
“ทางเผิงเฉิงนั้นฉันอยากทำให้เป็ธุรกิจยั่งยืน ทว่าสี่ปีในอนาคตข้างหน้าฉันต้องเรียนหนังสือที่ปักกิ่ง พวกเราจะโยนธุรกิจให้ไป๋เจินจูทั้งหมดไม่ได้ด้วย พอปิดภาคเรียนฤดูร้อนและฤดูหนาวฉันจะไปเผิงเฉิง เวลาปกติจะให้เธอดูแลที่นั่นบ่อยหน่อย”
เซี่ยเสี่ยวหลานมาปักกิ่งได้สามสี่วัน ไม่เคยเห็นคังเหว่ยไปเข้างานเลย เห็นได้ชัดว่าอาชีพของเขานั้นสบายจริงๆ
ในเมื่อว่าง เช่นนั้นก็ลงแรงมากสักหน่อยแล้วกัน
“ให้ฉันย้ายงานไปที่เผิงเฉิงหรือ?”
“ช่างเถอะ... เธอเก็บงานในปักกิ่งไว้ดีกว่า พอธุรกิจเริ่มดำเนินการค่อยดูสถานการณ์ก่อนแล้วกัน”
ในอนาคตกระทรวงไปรษณีย์และโทรคมนาคมสุดยอดมาก เซี่ยเสี่ยวหลานไม่กล้าวางแผนอาชีพแทนคังเหว่ย เผื่อไม่กี่ปีผ่านไปคังเหว่ยอยากตั้งใจสร้างผลงานสักอย่างที่กระทรวงขึ้นมา เวลานี้การย้ายจากปักกิ่งไปยังเขตเผิงเฉิงเป็เื่ง่าย แต่หากอยากย้ายกลับปักกิ่งอาจเกิดความยุ่งยาก
หนุ่มสาวอายุยี่สิบต้นๆ มีความคิดมากมาย อย่าว่าแต่แผนสำหรับอนาคตเลย กระทั่งนิสัยก็เอาแน่เอานอนไม่ได้
ในขณะที่ใกล้ถึงบ้านพักแล้วนั้น จู่ๆ ก็มีรถจักรยานยนต์พ่วงคันหนึ่งขับฉวัดเฉวียนออกมา เบียดเข้าจุดจอดรถของคังเหว่ย
“ให้ตาย! ทางกว้างออกขนาดนี้ ตาบอดรึ!”
พอคังเหว่ยเหยียบเบรกจอดเสร็จเรียบร้อยก็ลงจากรถทันที ผลปรากฏพบว่าเป็เ้าบ้าเส้ากวงหรงนั่น ยกยิ้มอย่างเ้าเล่ห์ ชัดเจนว่าจงใจพุ่งเข้ามาเอง
คังเหว่ยอยากชกเส้ากวงหรงสักยกเสียจริงๆ
เจอเ้านี่ติดกันสองวัน ปักกิ่งแคบเช่นนี้เลยหรือ?
“กวงจื่อ พี่น่ะอยากมีเื่หรือ?”
คังเหว่ยเกรี้ยวกราด แต่เส้ากวงหรงกลับยิ้มอย่างมีเลศนัย “อย่าเพิ่งตี บนรถนายพาใครมาน่ะ? ฉันว่าแล้วว่านายต้องมีใครบางคนซ่อนอยู่ สองวันมานี้รถไม่ห่างตัว แถมดึกดื่นค่ำมืดกว่าจะกลับบ้านไป หรือว่า...”
เส้ากวงหรงชะเง้อมองบนรถ
เซี่ยเสี่ยวหลานเห็นดังนั้นจึงเปิดกระจกรถลงเสียเลย “เขาพาฉันมาเอง”
ภายใต้ไฟส่องทาง ใบหน้าของเซี่ยเสี่ยวหลานสามารถขจัดความหนาวเย็นของพลบค่ำในเดือนมีนาคมไปได้ทันที
“ที่แท้คือพี่สะใภ้!”
เส้ากวงหรงกระตือรือร้นขึ้นมาทันใด “คังเหว่ย นายนี่ใช้ไม่ได้เลยนะ พี่สะใภ้มาปักกิ่งนายก็ไม่บอกฉันสักคำ”
เซี่ยเสี่ยวหลานลงจากรถเช่นกัน “บอกอะไรเล่า ฉันมาเพราะธุระตกแต่งบ้านของคังเหว่ยหรอก อีกสองวันก็กลับแล้ว”
เส้ากวงหรงถามเซี่ยเสี่ยวหลานว่าไปหาโจวเฉิงหรือยัง เขาอายุมากกว่าโจวเฉิง แต่กลับเรียกโจวเฉิงว่าพี่ เนื่องจากเป็การแสดงความนับถือ ด้วย ‘สถานะทางสังคม’ ของโจวเฉิง การที่เขาเรียกเซี่ยวเสี่ยวหลานว่าพี่สะใภ้ย่อมเป็ธรรมดา
เื่ที่เซี่ยเสี่ยวหลานตั้งใจเตรียมพร้อมสอบเกาเข่าในเดือนกรกฎาคมนั้นสำคัญยิ่งนัก คราวนี้เส้ากวงหรงไม่กล้าปากสว่าง โจวอี๋และต่งลี่ลี่ตามติดเขาทั้งวัน ทว่าเส้ากวงหรงก็ยังไม่ยอมดื่มสุรากับพวกเธอ เมื่อเขาไม่เมาก็สามารถควบคุมตนเองไม่ให้พูดเรื่อยเปื่อยได้ เพราะเกรงว่าพอต่งลี่ลี่ทราบเื่ก็จะผลุนผลันถ่อไปหาเซี่ยเสี่ยวหลาน เส้ากวงหรงกลัวโจวเฉิงจะโกรธจริง
“ไปหามาแล้ว เพิ่งกลับมาจากหน่วยงานน่ะ”
“พี่สะใภ้ ต้องให้ฉันเลี้ยงอาหารเธอสักมื้อหนึ่งนะ มาถึงปักกิ่งนี่แล้ว จะปล่อยให้คังเหว่ยเอาหน้าคนเดียวไม่ได้หรือเปล่า? แม้ฉันไม่มีเงินเท่าคังเหว่ย ทว่าอาหารหนึ่งมือย่อมเลี้ยงไหวอยู่แล้ว เธอชี้สักสถานที่ตามใจชอบในปักกิ่งเลย ฉันรับรองว่าไม่มีสะดุด!”
เส้ากวงหรงยืนยันจะเลี้ยงอาหารเซี่ยเสี่ยวหลาน เซี่ยเสี่ยวหลานจึงหาข้ออ้างปฏิเสธไม่ได้
“เธอไม่ได้เจอโจวเฉิงตั้งนานเหมือนกันสินะ? ถ้ามะรืนเขาลางานได้ ฉันจะเรียกเธอไปกินข้าวด้วยกัน”
เส้ากวงหรงยินดีปรีดา
เซี่ยเสี่ยวหลานพูดจาชัดเจน ไม่อ้อมค้อม จิตใจไม่คับแคบ
“พี่สะใภ้ พวกเราตกลงกันแล้วนะ!”
คังเหว่ยเหมือนยังมีอะไรจะพูด อย่างไรเสียอีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงบ้านพัก เซี่ยเสี่ยวหลานจึงเดินกลับไปเอง
เส้ากวงหรงตัดพ้อด้วยความไม่พอใจ “วันนี้นายไปเยี่ยมโจวเฉิงก็ไม่เรียกฉันสักคำ ใจแคบเกินไปแล้วหรือเปล่า?”
คังเหว่ยแค่นยิ้ม “ฉันเห็นว่า่นี้พี่อยู่ใกล้ชิดกับพวกต่งลี่ลี่ จะกล้าบอกพี่ที่ไหน? พี่หลงต่งลี่ลี่เข้าแล้วใช่หรือไม่ หน้าตาขี้เหร่แบบนั้นยังกล้าสร้างปัญหาอีก”
ว่ากันอย่างไม่อคติ ต่งลี่ลี่ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่
เส้ากวงหรงไหวตัวไม่โต้แย้ง “นายเกลียดต่งลี่ลี่ขนาดนั้นเลยหรือ?”
ต้องขนาดนั้นเชียวหรือ ไม่ได้มีความพยาบาทอะไรกันเสียหน่อย
“คราวก่อนพี่ปากมากพูดเื่ของพี่สะใภ้ไปทั่ว โจวอี๋ก็เปิดเผยเื่พี่สะใภ้ต่อหน้าผู้ใหญ่ทันที เล่นเอาพี่เฉิงจื่อทำอะไรไม่ถูก ฉันเองก็โดนน้ากวนจับไปสอบสวนอยู่ตั้งครึ่งวัน... ใครบ้างไม่รู้ว่าต่งลี่ลี่ชอบพี่เฉิงจื่อ เธอกับโจวอี๋เป็เพื่อนรักกันด้วย โจวอี๋จะช่วยต่งลี่ลี่อย่างไม่ต้องสงสัย”
คังเหว่ยได้ฟังชัดเจนแจ่มแจ้งที่ห้องรับแขกบ้านโจว กวนฮุ่ยเอ๋อบอกว่าคบหากันได้ แต่ยืนหยัดไม่อนุญาตให้โจวเฉิงแต่งงานกับเซี่ยเสี่ยวหลานอย่างเด็ดขาด
ทว่าโจวเฉิงจะเลิกรากับเซี่ยเสี่ยวหลานได้ไหม?
ไม่ต้องพูดถึงนิสัยของโจวเฉิง ต่อให้คังเหว่ยมอง หากเซี่ยเสี่ยวหลานแสนดีกับใครเข้า ชายคนไหนจะทำใจปล่อยมือได้ อย่างเช่นเื่ส่งแพะไปยังหน่วยงานของโจวเฉิงในวันนี้ อาจเอิกเกริกไปบ้าง เอาแต่ใจไปหน่อย แต่น่าประทับใจมากกว่า
ทำไมเซี่ยเสี่ยวหลานถึงทำอะไรใหญ่โตแบบนี้ได้นะ? หากเป็ต่งลี่ลี่จะกล้าหรือไม่? ต่งลี่ลี่ไม่กล้า! ต่งลี่ลี่มีทุกสิ่งทุกอย่างเพราะว่าเธอแซ่ ‘ต่ง’ ต่างจากเซี่ยเสี่ยวหลานอย่างสิ้นเชิง ที่เซี่ยเสี่ยวหลานหน้าใหญ่ใจโตโปรยเงินทองได้ เป็เพราะเซี่ยเสี่ยวหลานหาเงินด้วยตนเองทั้งหมด พื้นฐานของทั้งสองจะเหมือนกันหรือ
พอคังเหว่ยบอก เส้ากวงหรงก็เข้าใจทันที
แอบสืบข่าวคราวจากเขายังพอทน แต่การนำเื่ราวไปแฉต่อหน้าผู้ใหญ่ มิใช่้าทำลายความสัมพันธ์ของโจวเฉิงหรือ?
เส้ากวงหรงรู้ดีว่าโจวเฉิงมีนิสัยอย่างไร เขาตระหนกรู้จนเหงื่อโทรมกาย โจวอี๋พูดจาน่าฟัง ต่งลี่ลี่ก็ท่าทางใจกว้างเปิดเผย คาดไม่ถึงว่าสองสาวจะแฝงเจตนาร้ายเช่นนี้ ตามจีบผู้ชายไม่ใช่สิ่งน่าอาย มีหญิงสาวที่ชอบโจวเฉิงอยู่มากมาย ทว่าการจีบก็ขึ้นอยู่กับความสามารถส่วนบุคคล เธอแสดงตัวชัดเจนว่าจะจีบ แม้โจวเฉิงมีคนรักอยู่แล้ว ก็ขัดขวางคนตามจีบเขาไม่ได้สินะ!
แต่ใช้วิธีประเภทนี้ นี่คิดแยกโจวเฉิงกับเซี่ยเสี่ยวหลานออกจากกัน และค่อยขึ้นรับตำแหน่งเองหรือ?
ไม่มีผู้ชายคนไหนรู้สึกดีแน่
ไม่ว่าชายหรือหญิง พฤติกรรมแบบนี้ล้วนน่ารังเกียจ ใช้ความสามารถที่แท้จริงของตนแย่งมากับอาศัยผู้หลักผู้ใหญ่กดดันจนคู่รักแตกแยกเป็คนละเื่กันโดยสิ้นเชิง!
“ให้ตาย ยายสองคนนั้น!”
เส้ากวงหรงนึกถึงว่า่นี้ตนเองโดนโจวอี๋และต่งลี่ลี่เรียกมาพาไปราวกับคนโง่ เขามีใจระแวงก็จริง แต่หญิงสาวสองคนนี้ร้ายกาจเหลือทน คนใสซื่อบริสุทธิ์แบบเขา ไม่ช้าก็เร็วต้องตกหลุมอยู่ดี
เส้ากวงหรงทำหน้าโศกเศร้า “ครั้งก่อนไม่ควรดื่มจนเมาเลย อะไรที่ไม่ควรพูดก็ดันพูดไปแล้ว นายว่าฉันเลี้ยงข้าวพี่สะใภ้ที่ไหนดีถึงจะชดเชยคืนได้?”
คังเหว่ยยิ้มเยาะอย่างเป็สุขบนความทุกข์ของเขา “ต้องเฉือนเนื้อบนตัวของพี่และเอากระดูกต้มน้ำแกงถวายขอร้องถึงเรียกว่ามีความจริงใจ ฉันจำได้ว่าพี่มีบ้านหนึ่งห้องนอนอยู่ข้างนอก พี่จะตกแต่งภายในเสียหน่อยหรือไม่? พี่ยังจำลุงของพี่สะใภ้เธอได้สินะ ตอนนี้เขาทำอาชีพนี่โดยเฉพาะ ฉันเองก็เริ่มตกแต่งแล้ว ใช้่ที่พี่สะใภ้ยังอยู่ปักกิ่ง ขอให้เธอออกแบบให้เสียสิ”
ปกติเส้ากวงหรงอาศัยที่บ้าน เนื่องจากเปลี่ยนแฟนค่อนข้างบ่อย จึงขอบ้านหนึ่งห้องนอนจากที่ทำงาน บางครั้งก็อาศัยในบ้านหลังนั้น
การตกแต่งภายในไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่เส้ากวงหรงไม่มีเงินเท่าคังเหว่ยน่ะสิ
เขาเป็คนมีเงินเท่าไรใช้จ่ายเท่านั้น ช่องทางทำเงินน้อย ก่อนตรุษจีนเพิ่งซื้อรถจักรยานยนต์คันใหม่ แม้ตอนนี้เงินในกระเป๋ายังไม่เกลี้ยงกว่าใบหน้า ทว่าจะให้เขาควักเงินเป็พันหยวนออกมานั้นไม่มีจริงๆ
คังเหว่ยหน่ายใจที่เขาทำเื่น่าละอายลงไป เส้ากวงหรงก็คิดว่าเสียหน้าเหมือนกัน ดังนั้นเพื่อกอบกู้ความรู้สึกที่เสียไปแล้วกลับมา เขาจึงแตะบ่าของคังเหว่ย
“เงินส่วนนี้นายออกแทนพี่ชายก่อนทีสิ รอฉันขายรถได้จะคืนให้นาย”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้