จางอวี้เต๋อมองไปที่สัมภาระเล็กๆ นั้นด้วยแววตาที่คาดเดาได้ยาก เพราะว่าแปดร้อยตำลึงนี้ ชีวิตของเขาผันผวนขึ้นลงอย่างน่าใจหาย จนเกือบตายอยู่ในห้องขังอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่
“ท่านแม่ทัพ ข้ามีเื่หนึ่งอยากไหว้วาน!”
“มีอะไรหรือ?” ซูจื่อเยี่ยคิดว่าเขาจะไม่กล้าเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ จึงนั่งรอจางอวี้เต๋ออยู่ครู่หนึ่ง
“ไม่รู้ว่าพี่สาวข้านั้นเป็เช่นไรบ้าง? หลานสาวของข้าเห็นทีคงหลักแหลมนัก” ในสายตาของจางอวี้เต๋อเผยความคาดหวัง เขา้ากลับไปเยี่ยมบ้าน
ซูจื่อเยี่ยมองจิ้นจงแวบหนึ่ง จากนั้นจิ้นจงก็เดินหน้าขึ้นมา โน้มตัวบอกเล่าเื่ราวของตระกูลหลิวที่นายของตนให้สืบมาอย่างละเอียด และไม่ได้ใส่สีตีไข่แต่อย่างใด
“บ้าจริง ตอนนั้นหลิวซานกุ้ยรับปากข้าว่าจะดูแลพี่สาวข้าเป็อย่างดี” เดิมทีสีหน้าของจางอวี้เต๋อก็แย่อยู่แล้ว ตอนนี้กลับยิ่งซีดเผือด
“หลิวฉีซื่อร้ายกาจเกินไป อีกทั้งก่อนหน้านี้หลิวซานกุ้ยก็เชื่อฟังผู้าุโยิ่งนัก หลิวฉีซื่อจึงจับจุดอ่อนข้อนี้ของเขาได้” จิ้นจงบอกกล่าวเื่นี้ให้เขาฟัง
จางอวี้เต๋อนั้นอึดอัดใจ ที่มากไปกว่านั้นคือความโกรธและโมโห ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะเขาอายุยังน้อย คงไม่ทำให้พี่สาวและมารดาของตนเองลำบากเช่นนี้ เพราะความวู่วามของเขา พี่สาวของตนแต่งเข้าบ้านตระกูลหลิวแต่กลับยืดอกไม่ได้ด้วยซ้ำ
“แม่ทัพ ข้า้ากลับไปเยี่ยมที่บ้าน” จางอวี้เต๋อมองซูจื่อเยี่ยอย่างจริงจัง ความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่นั้นทำให้คนไม่อาจเมินเฉยได้
ซูจื่อเยี่ยถอนหายใจเล็กน้อย “เช่นนั้นก็ดี หมอบอกว่าฤดูร้อนปีหน้าร่างกายของเ้าจะหายดี ข้าตั้งใจว่าถึงตอนนั้นจะให้เ้าพาขบวนพ่อค้าไปยังเขตฝูโจว โจวจื่อทงจะจัดการให้เ้าออกทะเลไปกับขบวนเรือพ่อค้า”
ดวงตาของจางอวี้เต๋อเผยความซาบซึ้งออกมา ชั่วชีวิตนี้ของเขาชื่นชอบการค้าขาย
“เพียงแต่พี่สาวกับท่านแม่ของข้าได้รับความลำบากมากเกินไป” เขามองไปทางห่อผ้าที่จิ้นจงวางไว้ตรงหัวเตียง “ไม่ทราบว่าจะช่วยข้าส่งเงินเหล่านี้ไปได้หรือไม่?”
เขาคิดได้แค่นี้ เพราะตัวเขาเองยังต้องนอนพักฟื้นและขยับตัวไม่ได้ แล้วจะไปช่วยพี่สาวตนเองให้ยืดอกได้อย่างไร เช่นนั้นแล้วเขาก็จะใช้เงินช่วยแทน!
“ไม่ต้องรีบร้อน!” ซูจื่อเยี่ยพูดออกมาเพียงแค่นี้
จิ้นจงเองก็ช่วยโน้มน้าว “คุณชายจางพักรักษาตัวเถอะ คุณหนูรองของจางกุ้ยฮัวเป็ผู้มีพระคุณช่วยชีวิตของนายท่าน แล้วจะปล่อยให้นางเสียผลประโยชน์ได้อย่างไรกัน ท่านวางใจได้”
จางอวี้เต๋อตีความหมายจากคำพูดของเขาได้สองแง่ หนึ่งคือพี่สาวของตนมีชีวิตที่ดีกว่าแต่ก่อนแล้ว ส่วนข้อสองคือมีแม่ทัพหนุนหลังอยู่ หลานสาวคนรองของตนต่อไปคงมีแต่ก้าวย่างที่ง่ายดายดุจดั่งการเดินบนก้อนเมฆ
ซูจื่อเยี่ยมองไปที่ดวงตาที่ซาบซึ้งของเขา พร้อมกับกลอกตาเล็กน้อย ตีสุนัขก็ต้องดูว่าเ้าของเป็ใคร แม่สาวน้อยหลิวเต้าเซียงเป็ ‘ของเล่น’ ของเขา ยามว่างได้ฟังเื่ราวที่นางก่อขึ้นหรือไม่ก็แกล้งนางเล่น ล้วนเป็วิธีที่ฆ่าเวลาอันน่าเบื่อได้ดีอย่างยิ่ง
ในที่สุดจางอวี้เต๋อก็อยู่คนเดียวในบ้านหลังนั้นเพื่อพักฟื้น ส่วนเื่ที่เขาไหว้วาน ซูจื่อเยี่ยได้สั่งการให้คนจัดการแล้ว
หลังจากที่ออกจากเรือนหลังนั้น ซูจื่อเยี่ยก็เดินออกมาจากประตูที่ไม่ได้โดดเด่นมากนัก แล้วขึ้นรถม้าผ้าม่านสีครามที่ไม่สะดุดตาออกไป
“นายท่าน คนในตระกูลหลิวนั้นอ่อนไหว คราวก่อนที่นายท่านส่งให้คนไปสืบเื่หลิวสี่กุ้ย ปรากฏว่าตามคาด เขาเกิดความสงสัยต่อบ้านเกิด ใน่ฤดูใบไม้ร่วง จึงส่งบุตรชายและบุตรสาวกลับไปร่วมเทศกาล”
จิ้นจงนั่งอยู่บนพื้นของรถม้า ซึ่งปกคลุมด้วยผ้าห่มขนสัตว์หนาๆ โดยมีเตาทองแดงขนาดเล็กวางอยู่ตรงกลาง จากนั้นโยนถ่านไม้เข้าไปไม่กี่ก้อนแล้วเป่า ถ่านก็ติดไฟลุกโชนขึ้นมา
ที่แท้การที่หลิวจื้อเซิ่งกับหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์กลับไปร่วมเทศกาล เป็เื่ที่เขาแอบส่งคนไปชักใยอยู่เื้ั
ซูจื่อเยี่ยเอนกายลงบนหมอนนุ่มๆ ด้วยท่าทีของคุณชายผู้สูงศักดิ์ที่เกียจคร้าน หากว่าหญิงสาวในเมืองหลวงได้พบเห็นคงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง
“หืม? เห็นทีแม่สาวน้อยคงต้องปวดขมับอีกแล้ว”
จิ้นจงกระซิบบอกปฏิกิริยาของหลิวเต้าเซียงออกมาอย่างละเอียด
“หลิวฉีซื่อถูกโน้มน้าว จึงตามหลิวจื้อเซิ่งกับหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์กลับมาในจังหวัด นางที่คิดว่าตนเองฉลาดล้ำในชีวิตนี้ แต่กลับถูกบรรดาลูกชายขุดหลุมพรางให้”
ซูจื่อเยี่ยเหมือนกำลังฟังละครมากกว่า และฉากนี้ดูเหมือนจะยังไม่ถึงจุดที่น่าติดตามที่สุด
เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย ใบหน้ากำลังเคลิบเคลิ้ม เื่เช่นนี้สนุกกว่าการฟังทำนองเพลงเอี๊ยดอ๊าดเ่าั้อีก
เขารู้สึกภูมิใจอีกครั้งกับการตัดสินใจที่ชาญฉลาดของตน ถึงได้มีฉากละครสนุกเช่นนี้
จิ้นจงรู้ว่าเขากําลังฟังอยู่และพูดว่า “นางไม่มีทางรู้ได้ ครอบครัวของหลิวสี่กุ้ยนั้นวางแผนให้นางเข้าไปเห็นความรุ่งเรืองในจังหวัด แล้วหาคนเป่าหูฮูหยินหวงลับหลัง เมื่อฮูหยินหวงได้เห็นนางที่ออกเรือนไปหลายสิบปี จึงรู้สึกสลดเล็กน้อย ได้ยินว่าหลิวฉีซื่ออยู่ที่หมู่บ้านสามสิบลี้มีเพียงที่นาดีสามสิบไร่ จึงโน้มน้าวให้นางซื้อที่ดินในจังหวัด”
คํากล่าวนี้ตรงตามความปรารถนาของหลิวสี่กุ้ย จึงรีบตีเหล็กตอนร้อน แล้วโน้มน้าวให้หลิวฉีซื่อซื้อที่ดินในจังหวัด
“โอ๊ย คราวนี้แม่สาวน้อยคงกังวลใจ หากว่าหลิวฉีซื่อคิดเื่ซื้อที่นาดีในจังหวัด เห็นทีคงยังไม่คิดเื่แยกบ้าน”
ซูจื่อเยี่ยไม่สามารถระงับความสนุกสนานเมื่อเห็นคนเป็ทุกข์ได้
ไม่รู้ว่าแม่สาวน้อยที่เปรียบดั่งต้นหญ้าที่กล้าแกร่ง จะจัดการเื่นี้อย่างไร?
เขาอยากรู้อยากเห็นและตั้งตารอคอย
“จิ้นจง หิมะตกอีกแล้ว”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ นายท่าน ใกล้จะถึงตรุษจีนแล้ว” จิ้นจงตอบอย่างตรงไปตรงมา เขารู้ว่าการที่นายของตนพูดเช่นนี้ ไม่ได้หมายถึงหิมะตกจริงๆ แต่คงเพราะเื่บางอย่างที่เกี่ยวกับตัวเขา
ซูจื่อเยี่ยก้มศีรษะแล้วยิ้มอย่างเ็า ผ่านไปชั่วครู่ก็เอ่ยถามเื่ส่งของขวัญตรุษจีนไปให้บ้านแม่สาวน้อย
ไม่ต้องรอให้จิ้นจงได้รายงานก็เอ่ยอีกว่า “ข้าเฝ้ามองแม่สาวน้อย ถึงแม้ว่านางจะชื่นชอบเงินทอง แต่กลับหามาอย่างถูกทำนองคลองธรรม ไม่จำเป็ต้องทำให้ของขวัญดูชัดเจนเกินไป เพราะกลัวว่าหากมอบของดีเกินไป ครอบครัวของนางก็คงรักษาไว้ไม่ได้”
หากแบกรับคำกล่าวหาที่ว่าไม่กตัญญูรู้คุณ เดาว่าหลิวซานกุ้ยกับจางกุ้ยฮัวคงถูกกดขี่จนยืดอกไม่ได้
แววตาของซูจื่อเยี่ยเผยความไม่พอใจออกมา นี่ทำให้เขานึกถึงพระชายาที่อาศัยระดับที่าุโกว่ามักจะหาเื่ผู้น้อยอย่างเขา จากนั้นก็สั่งสอนเขาอยู่นานครึ่งค่อนวัน
เื่เช่นนี้ นับั้แ่ปีที่เขาอายุสิบขวบก็ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลย แต่ในใจของเขารังเกียงและชิงชัง เหมือนหินที่ถูกลมแดดลมฝน จากนั้นก็สั่งสมเป็ความไม่พอใจขึ้นมาหลายชั้น
เขามีความรู้สึกเดียวกัน จึงเห็นใจกับสถานภาพของหลิวซานกุ้ยยิ่งนัก
“นายท่าน ได้ยินพ่อบ้านซุนบอกว่า ท่านพ่อของคุณหนูรองท่านนั้นคล้ายกับคนผู้หนึ่งในเมืองหลวง”
จิ้นจงไม่กล้าเอ่ยนามของคนผู้นั้น
ซูจื่อเยี่ยส่งเสียงเยือกเย็น “ใต้หล้ามีคนที่คล้ายกันถมเถไป”
บางสิ่งควรพูดและบางสิ่งไม่ควรพูด
หิมะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ รอยเคลื่อนผ่านของรถม้าไม่นานนักก็ถูกหิมะกลบหายไป ไม่มีใครรู้ความลับใต้ชั้นหิมะ เพียงแต่มองเห็นหิมะขาวโพลนและทิวทัศน์สวยงามไร้สิ่งแปดเปื้อน
หลังจากซูจื่อเยี่ยกลับมาที่จวน เขาก็ส่งจิ้นจงไปจัดการเื่ของขวัญตรุษจีน
ทางด้านตระกูลหลิวก็เชิญคนมาช่วยปั้นอิฐดินไม่น้อย คนมีเงินในชนบทเวลาสร้างบ้าน มักจะเชิญคนมาช่วยปั้นอิฐ แล้วค่อยเชิญช่างมาเผาให้กลายเป็อิฐแข็ง
พื้นที่แปลงผักที่โล่งอยู่นั้น มีอิฐตั้งเรียงกันสูงเท่าคน เป็อิฐดำที่เลื่อมแวววาวกองเป็ระเบียบ
“น้องรอง บ้านเราจะสร้างเรือนใหม่จริงหรือ?” หลิวชิวเซียงถูมือ แล้วค่อยเอามาอังปากเพื่อรับลมอุ่น อย่างน้อยก็ทำให้มือน้อยๆ อบอุ่นขึ้นได้บ้าง
หลิวเต้าเซียงมองดูชาวบ้านที่ยุ่งวุ่นวายอย่างเ็า แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบ “ท่านพี่ นั่นคือของท่านย่า”
บ้านของท่านย่า ไม่ใช่ของครอบครัวนาง
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิวชิวเซียงเ็าเล็กน้อย “ถ้าเช่นนั้นก็คงต้องให้ครอบครัวเราสักห้องสิ!”
“ลองดูเมื่อถึงเวลาก็แล้วกัน!” หลิวเต้าเซียงรู้สึกเพียงว่าหลิวฉีซื่อไม่มีทางให้พวกนางย้ายเข้าไปพักแน่
เวลาที่หลิวฉีซื่อมองสองพี่น้อง มักใช้สายตาสูงส่งที่ฮูหยินสูงศักดิ์มองดูทาสผู้ต่ำต้อย
ความรู้สึกนี้ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ และคิดเพียงว่า้าแยกบ้าน
นางไม่ได้เห็นทรัพย์สมบัติของตระกูลหลิวอยู่ในสายตา แต่กลัวว่าหลิวฉีซื่อจะไม่ยอมเสียคนงานที่ต้องจ่ายค่าจ้างเพิ่มสี่คน
ถูกต้อง นี่คือสิ่งที่มองเห็นจากสายตาของหลิวฉีซื่อ
ครอบครัวฝั่งนางเป็เพียงคนรับใช้ของตระกูลหลิว
แม้แต่ชุ่ยหลิวและอิงเอ๋อร์ก็ยังกินดี แต่งกายดีกว่าพวกนางเสียอีก
ช่างใช้ชีวิตดุจดั่งคุณหนูอย่างไรอย่างนั้น
มนุษย์ย่อมต้องแบ่งระดับชั้น หลิวเต้าเซียงไม่ได้โมโห เพียงแต่ร้อนใจมากขึ้นและปรารถนาจะแยกบ้านโดยเร็ว
นางยินยอมที่จะไม่เอาเงินของตระกูลหลิวแม้แต่แดงเดียว!
นางไม่สามารถเอ่ยออกมาได้ เพราะจะทำให้หลิวฉีซื่อสงสัยเอาได้
หลิวซานกุ้ยเองก็เช่นกัน เพราะจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของเขา หรือบางทีในอนาคตอันใกล้ เื่นี้อาจจะเป็อุปสรรคต่อการขึ้นเป็ขุนนางของเขาได้
ไม่กตัญญู
เขาจะถูกบัณฑิตทั่วหล้าตรึงเข้ากับไม้กางเขนคุณธรรม
หลิวเต้าเซียงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่อึมครึม รู้สึกเพียงว่า์กับนางไม่ได้ห่างกันมากนักและมันกำลังจะกดทับลงมาแล้ว
“หิมะใกล้ตกแล้ว!”
หลิวชิวเซียงมองนางอย่างไม่กระจ่างและพูดว่า “อืม มิน่าอากาศถึงได้เย็นลง น้องรอง เรากลับเข้าห้องเถิด”
งานเกษตรที่ค่อนข้างยุ่งในที่สุดก็ผ่านพ้นไปแล้ว คนตระกูลหลิวนับว่ามีเวลาว่างอย่างแท้จริง
“ท่านพี่ อีกไม่กี่วันข้าอยากไปที่ตำบล” หลิวเต้าเซียงเดินไปด้วยกันกับพี่สาว
หลิวชิวเซียงมองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจมาทางนี้จึงกระซิบว่า “เ้ากําลังจะขาย...”
หลิวเต้าเซียงยิ้มและยักคิ้วให้นาง แน่นอนก็ต้องเอาไก่สิบตัวที่เลี้ยงที่บ้านป้าหลี่ไปขายอยู่แล้ว
“เดิมทีข้าคิดจะเก็บสองตัวไว้ให้ท่านยายเรา แต่คราวก่อนท่านพี่ก็เห็นแล้วว่า ท่านยายเห็นเราไปบ่อยๆ จึงเลี้ยงไก่เพิ่มอีกสิบกว่าตัว ข้าจึงคิดว่า ท่านยายคงไม่ขาดแคลนไก่ ถึงตอนนั้นเราค่อยเอาอั่งเปาให้ท่านย่า”
หากพูดกันตามเหตุผล น่าจะเป็เฉินซื่อที่ต้องให้พวกนาง อย่างน้อยก็สักหนึ่งถึงสองอีแปะ นับว่าเป็น้ำใจของเฉินซื่อ
อย่างไรก็ตาม หลิวเต้าเซียงและหลิวชิวเซียงสามารถสร้างรายได้ของตัวเอง การนำเงินเหล่านี้ไปตอบแทนท่านยายที่รักและเอ็นดูพวกนางจึงนับว่าเป็ความสุขอย่างหนึ่ง
“เซียงเซียง คุณไม่คิดจะเก็บไก่เอาไว้มาแลกพื้นที่เพาะเลี้ยงจริงๆ หรือครับ?”
สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดไม่ค่อยดีใจกับเื่นี้เท่าไรนัก
หากจะถามว่าทำไม?
ก็นับั้แ่ปลายเดือนตุลาคม ไข่ที่หลิวเต้าเซียงแลกได้เงินทั้งหมดห้าสิบหกตำลึงเศษ ทางโปรดิวเซอร์ได้กำหนดกฎระเบียบว่า แบ่งไก่ให้นางสี่ร้อยตัว นางก็ไปหาเกาจิ่วแล้วจัดการขายไก่ทั้งสี่ร้อยตัวให้เขา ได้เงินมาหกสิบตำลึง
นางใช้เวลาครึ่งเดือนในการขายไก่เ่าั้ และเหตุผลนั้นก็เหมือนกับการขายไข่ไก่ เพราะไปรับซื้อมาจากบ้านใกล้เรือนเคียง
เกาจิ่วได้รับคําสั่งจากซูจื่อเยี่ยให้รับทุกสิ่งที่นางส่งมา ของทั้งหมดถูกส่งไปยังเมืองหลวง
ไก่สี่ร้อยตัวที่ส่งไปยังซูจื่อเยี่ยนั้นไม่เพียงพอสำหรับเขาที่จะไว้ใช้รับแขกด้วยซ้ำ
เกาจิ่วไม่ทราบว่าหลิวเต้าเซียงเป็คนี้เีมาก เมื่อมีข้ออ้างอยู่แล้ว นางจึงขี้คร้านที่จะคิดหาข้ออ้างใหม่ และี้เีหาคนซื้อไก่รายใหม่ จึงตั้งใจว่าไก่ของเดือนธันวาคมก็ยังคงขายให้เกาจิ่ว
“ไม่ล่ะ ใกล้ตรุษจีนแล้ว ในมือฉันต้องมีเงินมากกว่านี้”
ในเดือนที่มีเทศกาลตรุษจีนนาง้าไปที่บ้านของเกาจิ่วอย่างเงียบๆ เพื่อดูว่าจะสามารถคุยกับเขาได้หรือไม่ เื่ที่จะซื้อที่ดินแล้วสร้างบ้านสักหลัง
ตอนนี้ยังไม่ได้แยกบ้าน การซื้อที่ดินจึงยังไม่สะดุดตานัก
-----
