เมื่อออกจากสหกรณ์ออมทรัพย์แล้ว ทั้งสองพ่อลูกก็มุ่งตรงไปหาซื้อของที่ตลาด เื่ที่พบเจอกับยุภา พวกเขาไม่ได้เก็บมาใส่ใจและไม่ได้เอามาสนทนาพูดคุยกันด้วยซ้ำ ประหนึ่งว่าเจอกับคนแปลกหน้าคนหนึ่งเท่านั้น สองพ่อลูกเดินซื้อของในตลาดกันอย่างสนุกสนาน พบเจออะไรก็น่าซื้อกลับไปฝากแม่ที่บ้านทั้งหมด พริบตาเดียวมือและแขนทั้งสองข้างของพ่อและลูกต่างเต็มไปด้วยของพะรุงพะรัง เมื่อจนปัญญาที่จะหิ้วเพิ่ม พวกเขาก็พากันเดินออกจากตลาดเพื่อไปขึ้นรถที่สถานีรถประจำทางที่อยู่ใกล้ ๆ กัน
แต่เมื่อถึงทางออกตลาด ทั้งสองก็พากันหยุดเดินอย่างกะทันหัน เหลียวมองไปที่ร้านด้านขวามือโดยพร้อมเพรียงกัน และหันมองสบตากันยิ้ม ๆ ไม่พูดพร่ำทำเพลง สองพ่อลูกก็เดินหิ้วข้าวของที่มีอยู่เต็มมือเข้าไปในร้านนั้นทันที
บรรดาสร้อยสีทองเหลืองอร่ามที่แขวนโชว์อยู่บนตู้โชว์ซึ่งบุด้วยผ้ากำมะหยี่สีแดงช่างแวววาวสวยงามเป็อย่างมาก อนงค์กานต์ไล่ดูสร้อยที่ส่องประกายระยิบระยับนั้นอย่างมีความสุขขณะที่กำลังรอกานต์เลือกสร้อยคอให้แม่อยู่
"นิดว่าแม่จะชอบลายไหน” กานต์ตัดสินใจไม่ถูก ไม่ว่าเส้นไหนก็ดูสวยเหมาะกับภรรยาทั้งหมด จึงเลือกหันมาถามลูกสาวแทน
อนงค์กานต์มองสร้อยคอน้ำหนักหนึ่งบาทหลายลายที่วางเรียงอยู่บนตู้ สวย ๆ ทั้งนั้น เธอเองก็เลือกไม่ถูกเหมือนกัน “เอาแบบทน ๆ ค่ะให้แม่ใส่แขวนพระ”
เ้าของร้านได้ยินก็แนะนำสร้อยที่มีลายตันให้ สวยน้อยกว่าลายโปร่งหน่อย และเส้นเล็กกว่าลายโปร่งในน้ำหนักเดียวกัน แต่มีความคงทนมากกว่า สามารถสวมใส่ติดคอได้ทุกวัน กานต์เลือกตามคำแนะนำของเ้าของร้าน ทองหนึ่งบาทตอนนี้อยู่ที่ราคา 4,800 บาท มีค่ากำเหน็จอีก 100 บาท รวมที่จ่ายเป็ 4,900 บาท เมื่อเทียบกับราคาที่เจอในชาติที่แล้วราคามันถูกกว่าหลายเท่านัก ยิ่งถ้าเป็ทองแท่งที่ไม่มีค่ากำเหน็จด้วยแล้ว ขายหุ้นคราวหน้าควรกันเงินส่วนหนึ่งมาซื้อทองแท่งเก็บไว้น่าจะดี
"นิดอยากได้สักเส้นไหมลูก”
"ไม่อยากได้ค่ะ ยังไม่ได้ใส่ไปไหน ที่โรงเรียนก็ห้ามใส่เครื่องประดับด้วย” อนงค์กานต์ตอบแบบไม่คิดสักนิด อาจเพราะร่างกายนี้อายุยังน้อย ความรักสวยรักงามจึงยังไม่เกิด ซื้อไว้ตอนนี้ก็กลัวทำหายอีก รอโตอีกหน่อยถ้าอยากได้ค่อยซื้อดีกว่า
"งั้นไป กลับบ้านได้แล้ว แม่ชะเง้อรอแล้วมั้งตอนนี้” หลังจากนั้นสองพ่อลูกก็ไม่ได้แวะที่ไหนอีกตรงดิ่งขึ้นรถกลับบ้านทันที
-----
"พี่ยุภา เข้าบ้านมาก็หงุดหงิดเลยนะ ไปเจออะไรมาล่ะ แล้ววันนี้ไม่ไปสอนเหรอ” อำภาเอ่ยทักพี่สาวและถามออกมาเป็ชุด เมื่อเห็นยุภาเดินกระฟัดกระเฟียดเข้าบ้านมา
"อย่าเพิ่งถาม ร้อน หงุดหงิด! นังใจ!...นังใจ! อยู่ไหน! เห็นฉันเข้าบ้านมาก็รีบหาน้ำมาให้หน่อยสิ คนใช้สมัยนี้เป็อะไร ต้องให้นายวิ่งไปกราบมาให้รับใช้แล้วเรอะ!?" หลังจากกระแทกเสียงตอบน้องสาว ก็หันไปบ่นด่าคนงานที่บ้านอีกยืดยาวเพราะอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ข้างในยังหาที่ระบายไม่ได้
"อะ...นี่...ดื่มดับอารมณ์ก่อน" ยื่นแก้วน้ำเย็นให้พี่สาวพร้อมโบกมือไล่คนงานในบ้านให้ออกไป "ไหนเล่ามาสิพี่ ไปเจอเื่อะไรมาถึงอารมณ์เสียขนาดนี้"
"ตอนไปยื่นเื่เงินกู้ที่สหกรณ์ ฉันเจอใครเธอรู้ไหม นายกานต์กับลูกสาวสารเลวของมันน่ะสิ..." พลางเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ่สายแบบใส่สีตีไข่เพิ่มเข้าไปให้อำภาฟังอย่างออกรส "ถ้าเธอเห็นสายตาดูถูกของมันที่มองมา เธอก็จะโมโหแบบฉันนี่แหละ เจ็บใจนัก พอมีเงินเข้าหน่อยก็ทำท่าเป็เ้าใหญ่นายโต มองไม่เห็นหัวคน"
"แปลกนะพี่ มันไปได้เงินมาจากไหน ลำพังเงินเดือนครูบ้านนอกก็แค่สี่พันบาท เมียมันก็เป็แม่ค้าหาเช้ากินค่ำ ไม่น่าจะหาเงินมาปิดหนี้ได้ไวขนาดนั้น?...เล็กว่าเงินที่ได้มาต้องเป็เงินสกปรกแน่ ๆ" พร้อมเบะปากหยันอยู่ในที "ดีนะที่ไม่ยอมให้มันใช้นามสกุลเราต่อ ถ้าเื่แดงขึ้นมาชื่อเสียงเราป่นปี้หมด ไม่ได้! เล็กต้องไปเล่าวีรกรรมของมันให้พ่อกับแม่ฟังก่อน" ว่าแล้วก็กระวีกระวาดลุกเดินไปหานายอารักษ์และนางวัลภาที่หลังบ้าน โดยมียุภามองตามไปด้วยแววตาสมใจ ดี! ให้พ่อได้รับรู้ด้วย จะได้หาคนไปจัดการบีบหัวไอ้คนนอกคอกคนนั้นไม่ให้ชูหน้าผยองขึ้นมาอีก!!
-----
อนงค์ยิ้มกว้างอย่างรู้ทันเมื่อเห็นสองพ่อลูกหิ้วของอยู่เต็มมือและแขนเดินเข้าบ้านมา เธอนึกแล้วไม่มีผิด ปล่อยไปกันเองสองคนเหมือนปล่อยเสือเข้าป่า คงซื้อของสนุกเลยสิ ไม่มีใครห้ามใครกันเลย ไม่รู้เดินหิ้วขึ้นรถโดยสารมาได้อย่างไร
"ซื้ออะไรมากันเยอะแยะพ่อลูก" พร้อมกับเดินเข้าไปช่วยหิ้วของที่อยู่ในมือลูกสาวและหันมาถามสามีต่อ "เื่เรียบร้อยหมดแล้วใช่ไหมคะ" กานต์ยิ้มและพยักหน้ารับ ขณะเดินไปที่แคร่ใต้ถุนบ้าน และวางข้างของทั้งหมดไว้บนนั้น
"เรียบร้อยหมดแล้วจ้ะ หลังจากนั้นก็พานิดไปซื้อของที่ตลาดก่อนกลับ อะไรก็ดูน่าซื้อไปหมด อ้อ..นิด หาของที่ซื้อมาฝาก ทอง นวล และเพ็ญ ให้พ่อหน่อย ใกล้จะกลับบ้านกันแล้วมั้ง" ตอนนี้ก็เกือบสี่โมงเย็น น่าจะเตรียมของเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว อนงค์กานต์ง่วนหาอยู่สักพักก็ยื่นถุงทั้งหมดให้พ่อ "มีขนมกับเนื้อตากแห้ง ซื้อมาฝากทั้งสามคน นงช่วยแบ่งส่วนแยกถุงแล้วเอาไปให้พวกเขาด้วยนะจ๊ะ"
เมื่อทั้งสามคนคล้อยหลังออกจากบ้านไป ครอบครัวพ่อแม่ลูกก็ช่วยกันเอาของที่ซื้อมาทั้งหมดเก็บเข้าที่ก่อนเดินขึ้นบ้านไปพักผ่อน เมื่อถึงบนบ้าน กานต์ก็ยัดกล่องพลาสติกเล็ก ๆ กลม ๆ ใส่มือของอนงค์ "พี่และนิดซื้อมาฝากจ้ะ"
อนงค์แบมือออกเพื่อมองให้ชัดก่อนยกยิ้มขึ้น แม้เธอจะไม่เคยมีโอกาสเป็เ้าของมาก่อน แต่ทำไมจะไม่รู้ว่ากล่องพลาสติกกลมสีแดงกล่องนี้ใส่อะไรไว้ข้างใน ทั้งชีวิตเธอที่ผ่านมา มีเพียงแหวนนากวงเล็ก ๆ ที่กานต์มอบให้ในวันแต่งงานเท่านั้นที่เป็เครื่องประดับติดตัวที่มีค่า ซึ่งเธอได้สวมติดอยู่ที่นิ้วนางข้างซ้ายตลอดไม่เคยถอดนับั้แ่แต่งงานมา
"ซื้อมาทำไมกันก็ไม่รู้ของแพงขนาดนี้" ปากก็พร่ำบ่นไปแต่การแสดงออกกลับตรงกันข้าม ดวงตาของอนงค์เปล่งประกายระยิบระยับ แสดงถึงความพึงพอใจและความดีใจอย่างเหลือล้น เธอหยิบสร้อยขึ้นมาสวมที่คอทันที พลางส่องกระจกยืนหมุนร่างไปซ้ายทีขวาทีเพื่อที่จะได้เห็นสร้อยทองที่สวมอยู่ให้ชัด กานต์และลูกที่ยืนมองอยู่ด้านข้างพากันยิ้มอย่างมีความสุขไปด้วย ดั่งคนเขาว่าไว้ การที่ได้ทำให้คนที่เรารักมีความสุข มันทำให้เรามีความสุขมากกว่าอะไรทั้งหมด
