หมู่บ้านหลี่เป็หมู่บ้านใหญ่ มีทั้งหมดสี่สิบกว่าครัวเรือน ในนั้นมียี่สิบกว่าครอบครัวใช้แซ่หวัง ตระกูลหวังจึงเป็ตระกูลใหญ่ ส่วนตระกูลอื่นๆ ล้วนเป็ผู้ที่ย้ายมาจากนอกพื้นที่ั้แ่เมื่อสิบห้าปีก่อน ครอบครัวแซ่หลี่มีเพียงบ้านของหลี่ซานครอบครัวเดียวเท่านั้น
หลี่ิ่หานยังไม่ตื่นดี เอามือขึ้นมาขยี้ตาอย่างมึนงง
หลี่อิงฮว๋าเห็นชายฉกรรจ์อายุสี่สิบกว่าปี ใบหน้าแดงก่ำ สวมเสื้อผ้าสีเขียว ถือตะกร้าไผ่สานใบใหญ่ไว้ในมือ ท่าทางดูคุ้นเคยอยู่บ้าง แต่กลับคิดไม่ออกว่าเป็ใคร จึงเอ่ยถามไปว่า “ไม่ทราบว่าท่านคือใคร มาหาบ้านตระกูลหลี่ด้วยเื่ใดหรือขอรับ?”
หลี่ิ่หานตื่นเต็มตาแล้ว เมื่อเห็นชายฉกรรจ์ผู้นั้นจึงรีบกระซิบบอก “พี่สาม เขาคือคนขายเนื้อแซ่จางในเมืองขอรับ” ปีที่แล้วตอนวันเกิดอายุสามสิบปีของหลี่ซาน จ้าวซื่อพาหลี่ิ่หานไปซื้อเนื้อหมูจากตัวเมืองเพื่อนำกลับมาห่อเกี๊ยว ทั้งยังทำก๋วยเตี๋ยวเนื้อให้หลี่ซานกินอีกด้วย หลี่ิ่หานยังเคยคุยกับคนขายเนื้อแซ่จางผู้มีใบหน้าแดงก่ำคนนี้อยู่ประโยคหนึ่ง
คนขายเนื้อแซ่จางมองสำรวจผู้เยาว์ที่มีใบหน้าคล้ายกันถึงเจ็ดส่วน เขาสอบถามมาจากตัวเมืองจนชัดเจนดีแล้ว และรู้ว่าครอบครัวหลี่มีฝาแฝดสองคู่ หรือว่าเ้าเด็กที่อยู่ตรงหน้านี่จะเป็ฝาแฝดคู่หนึ่งในนั้น จึงเอ่ยไปตรงๆ “ข้าคือจางต้าเป่ามาจากตัวเมือง พ่อของข้าส่งข้ามาที่บ้านหลี่เพื่อขอบคุณ ที่หมอเทวดาน้อยแซ่หลี่ช่วยชีวิตเอาไว้”
หลี่ิ่หานเข้าใจกระจ่างขึ้นมาโดยพลัน “อ้อ... ที่แท้ ท่านปู่ที่น้องสาวข้าช่วยไว้คราวก่อนเป็พ่อของท่านลุงจางนี่เอง”
คนขายเนื้อแซ่จางหัวเราะ จากนั้นจึงเดินทางไปที่หมู่บ้านหลี่กับผู้เยาว์ทั้งสอง ระหว่างทางยังอดที่จะถามไม่ได้ว่า “วิชาแพทย์ของน้องสาวเ้าเรียนมาจากผู้ใดหรือ?”
หลี่อิงฮว๋ากรอกตาไปมา จากนั้นจึงค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “ท่านตาที่เสียไปแล้วของข้าเป็ซิ่วไฉ ที่บ้านจึงมีตำราแพทย์คัดด้วยลายมืออยู่หลายเล่ม…” นี่คือความจริง เขาไม่อาจบอกกับผู้อื่นว่า วิชาแพทย์ของหลี่หรูอี้เรียนมาจากความฝัน
คนขายเนื้อแซ่จางตบศีรษะของตนหนึ่งครั้ง “ที่แท้มารดาบ้านเ้าก็มาจากครอบครัวบัณฑิต วิชาแพทย์ของหมอเทวดาน้อยแซ่หลี่ก็เรียนมาจากมารดานี่เอง”
“แม่ข้าไม่เป็วิชาแพทย์หรอกขอรับ เพียงท่องตำรายาได้หลายเทียบเท่านั้น” หลี่อิงฮว๋ามิได้กล่าวเกินจริงแต่อย่างใด จ้าวซื่อรู้ว่าจะออกเทียบยาให้ผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยได้อย่างไร ทั้งยังเคยใช้ประกอบกิจการมาแล้ว
หลี่ิ่หานถูกหลี่อิงฮว๋าไล่ให้กลับไปแจ้งที่บ้านก่อน เขาวิ่งไปจนกระทั่งถึงบ้าน และไปหยุดอยู่ตรงหน้าของจ้าวซื่อที่กำลังนั่งปักผ้าอยู่ในห้องโถง เขากล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านแม่ คราวที่แล้วน้องสาวช่วยท่านปู่ไว้คนหนึ่ง ท่านปู่คนนี้เป็บิดาของคนขายเนื้อแซ่จางในตัวเมือง คนขายเนื้อแซ่จางถือของมาขอบคุณน้องสาวแล้วขอรับ ตอนนี้เขาอยู่ระหว่างทางมาบ้านพวกเรา พี่สามอยู่เป็เพื่อนเขาขอรับ”
จ้าวซื่อได้ยินว่าจะมีแขกผู้ชายมาที่บ้าน อีกทั้งสองพี่น้องหลี่ซานก็ไม่อยู่ นางไม่สะดวกพบแขก แต่แขกมาพบหลี่หรูอี้ นางจำต้องอยู่เป็เพื่อน
เพื่อป้องกันมิให้ผู้อื่นครหา นางจึงตัดสินใจพบแขกที่ลานด้านหน้าอันเปิดโล่ง
หลี่หรูอี้กำลังย้ายสมุนไพรที่เพิ่งตากจนแห้งอยู่ในห้องเบ็ดเตล็ด นางถูกจ้าวซื่อเรียกออกไปสอบถามอย่างละเอียด
“ท่านปู่เป็คนอ้วน จู่ๆ ก็หมดสติล้มลงบนถนน มีชายฉกรรจ์สองคนเข้าไปแบกเขา แต่ร่างของท่านก็หนักมาก หมอที่ร้านยากล่าวว่า เขาป่วยเพราะล้ม นี่มิใช่ครั้งแรกที่เป็เช่นนี้ คราวนี้สาหัสมากนัก ช่วยเหลือมิได้แล้ว จึงให้พวกเขาแบกกลับไป ข้าผ่านทางไปพอดีจึงคิดใช้วิธีรักษาม้าตายประหนึ่งม้าเป็[1]หยิบยืมเข็มเงินจากท่านหมอ แล้วรักษาท่านปู่จนได้สติเ้าค่ะ”
จ้าวซื่อจับจ้องไปยังบุตรีสุดที่รักพลางเอ่ยถาม “เ้าเรียนวิชาแพทย์มาจากที่ใด ทั้งยังรู้จักการฝังเข็มด้วย?”
“มีคนสอนข้าในฝันเ้าค่ะ” ก่อนหน้านี้หลี่หรูอี้เคยอธิบายแล้ว ซึ่งตอนนั้นจ้าวซื่อก็อยู่ด้วย อาจเป็เพราะจ้าวซื่อคิดไม่ถึงว่าจะมีบุตรชายของผู้ป่วยมาขอบคุณถึงประตูบ้าน นางจึง้าสอบถามให้แน่ชัด
ตอนที่อยู่บ้านเดิม จ้าวซื่อเคยอ่านหนังสือเบ็ดเตล็ดมาบ้าง หลายปีก่อนยามหนีจากภัยพิบัติ นางพบเื่แปลกประหลาดมากมาย เคยเห็นสิ่งต่างๆ มากกว่าสตรีในหมู่บ้านเสียอีก จึงกล่าวกำชับว่า “หากไปด้านนอกอย่าได้กล่าวเช่นนี้ เมื่อครู่พี่สามอธิบายกับคนขายเนื้อแซ่จางไปแล้วว่า มีหนังสือแพทย์ของท่านตาเ้าอยู่ในบ้าน แม่เป็คนท่องเทียบยาให้เ้าฟัง ต่อไปให้เ้ากล่าวกับผู้อื่นเช่นนี้”
“เ้าค่ะ” ในโลกเดิมหลี่หรูอี้มิใช่คนชอบพูดจาโอ้อวด ดังนั้นย่อมฟังคำของจ้าวซื่อเอาไว้
สายตาของจ้าวซื่อกวาดมองไปยังหลี่ิ่หานที่มีเหงื่อไหลเต็มหลัง พาลนึกไปถึงบุตรชายคนโตและบุตรชายคนรอง ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีสภาพเช่นเดียวกัน จึงถามไปว่า “ตอนเช้าพวกเ้าสี่คนผลัดกันแบกฟืนไปขายที่ตลาดหรือ?”
หลี่ิ่หานพยักหน้า
หลี่หรูอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “ท่านแม่ ฟืนหนึ่งมัดหนักมาก ข้าบอกไม่ให้พวกเขาไปขายฟืนแล้ว พวกเขาก็ไม่ฟัง”
หลี่ิ่หานรีบกล่าว “ต้าหู่กับซื่อโก่วจื่อในหมู่บ้านอายุน้อยกว่าข้าตั้งหลายเดือน ต้นฤดูใบไม้ผลิก็แบกฟืนไปขายที่ตลาดแล้ว” ในใจกังวลว่า จ้าวซื่อจะริบเงินทองแดงที่พวกเขาได้จากการขายฟืน “ท่านแม่ ข้าไปเช็ดตัวก่อนนะขอรับ”
หลี่หรูอี้เห็นจ้าวซื่อมิได้ขวางไว้ ในใจพลันรู้สึกขมขื่น นี่ล้วนเป็เพราะครอบครัวยากจนเหลือเกิน จึงยิ่งต้องตัดสินใจให้แน่วแน่ว่าจะทำการค้าเล็กๆ เพื่อหาเงินให้ได้
หลี่ิ่หานไปตักน้ำเย็นที่ถังในครัวขึ้นมาครึ่งกะละมัง เตรียมเช็ดตัว
หลี่หรูอี้เสียงดัง “พี่สี่ ท่านเพิ่งเหงื่อออก ห้ามใช้น้ำเย็นเช็ดตัวเป็อันขาด ข้าต้มน้ำร้อนอยู่พอดี ไม่สิ้นเปลืองอันใด ท่านใช้น้ำร้อนเช็ดตัวเถิด” บริเวณรอบๆ หมู่บ้านหลี่ล้วนเป็ูเาใหญ่ มีต้นไม้มาก อีกทั้งครอบครัวหลี่ก็มีบุรุษที่ขยันขันแข็งอยู่หกคน ฟืนในบ้านใช้อย่างไรก็ไม่หมด ตอนเช้านางต้มน้ำร้อนสำหรับเช็ดตัวให้หลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคังไปแล้ว
หลี่ิ่หานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ต้มให้มากหน่อย อีกสักครู่พี่สามก็ต้องเช็ดตัวเช่นกัน”
ไม่นานคนขายเนื้อแซ่จางก็มาถึงบ้านครอบครัวหลี่ เมื่อพบหลี่หรูอี้ เขาก็คุกเข่าก้มศีรษะขอบคุณแทนบิดา จากนั้นจึงวางตะกร้าไผ่สานทิ้งไว้แล้วกลับไปโดยไม่ดื่มน้ำสักอึก
บนตะกร้าไผ่สานใบใหญ่ถูกคลุมไว้ด้วยผ้าสีดำผืนหนึ่ง ด้านในมีกลิ่นคาวเือันเข้มข้นโชยออกมา ไม่ทราบว่าบรรจุสิ่งใดไว้ด้านใน
หลี่หรูอี้คาดเดาไปว่าคนขายเนื้อแซ่จางขายเนื้อหมู เช่นนั้นในตะกร้าไผ่สานใบใหญ่จะต้องบรรจุเนื้อหมูไว้แน่ ตอนนี้ครอบครัวคล้ายจะขาดแคลนไปทุกสิ่งทุกอย่าง เนื้อหมูเป็ของดี หากนำไปตุ๋นยังขายหาเงินได้อีกจำนวนหนึ่ง หากคิดทำการค้าขายเกี่ยวกับอาหารก็นับว่ามีเงินทุนแล้ว ในใจพลันรู้สึกยินดี “ท่านอย่าเพิ่งไป ข้ามีคำพูดฝากไปบอกท่านปู่จางหน่อยเ้าค่ะ”
“หมอเทวดาน้อยแซ่หลี่ พูดมาเถิดขอรับ” เช่นนี้แล้วคนขายเนื้อแซ่จางจึงค่อยมีเวลามองสำรวจหลี่หรูอี้ นางสวมอาภรณ์ตัวใหญ่สีเทาที่มีรอยปะชุนไปทั่ว รูปร่างไม่สูง เส้นผมดูยุ่งเหยิง ผิวเหลืองเล็กน้อย ดวงตางามดุจผลซิ่งดูมีจิติญญา ปากนิดจมูกหน่อย นับว่างดงามมาก คอเชิดเล็กน้อยดูมีบารมี ดูฉลาดเฉลียวกว่าคุณหนูในห้องหอที่อยู่ในเมืองเสียอีก
หลี่หรูอี้กล่าวไปตามตรง “กินของคาวให้น้อย และให้นำผลสีแดงบนูเามาตากแห้งแล้วนำไปต้มน้ำดื่มทุกวัน เช่นนี้จะมีประโยชน์ต่อร่างกายเ้าค่ะ” ท่านปู่จางเป็คนร่างอ้วน ป่วยเป็โรคเืออกในสมอง ไขมันในเืสูง และความดันโลหิตสูง กินผลสีแดงบนูเาจะช่วยลดไขมันในเืและช่วยลดความดันโลหิต
ซึ่งผลสีแดงบนูเาก็คือ ผลซานจา นั่นเอง
เมืองเยี่ยนอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของแคว้นต้าโจว บริเวณูเาใกล้ๆ มีซานจาป่ามากมาย จะออกผลมากที่สุดในฤดูใบไม้ร่วง บนต้นมีผลซานจาป่า สีแดงอยู่เต็ม เป็เช่นนี้ทั่วทั้งูเา
ชาวบ้านจึงพากันขึ้นเขาไปเก็บผลซานจาป่ามากินเอง หรือไม่ก็นำไปขายที่ตัวอำเภอ
ขายในอำเภอฉางผิง ผลสดใหม่หนึ่งกองใหญ่หนักห้าชั่ง ขายได้หนึ่งทองแดง หากเป็ซานจาตากแห้งหนึ่งกองใหญ่หนักประมาณสามชั่ง ขายได้หนึ่งทองแดง
เมื่อคนขายเนื้อแซ่จางได้ยินว่า เป็ผลแดงบนูเาที่มีราคาถูกมาก บนใบหน้าจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม หลังจากขอบคุณอีกครั้งก็เดินจากไป
คนในครอบครัวหลี่รอจนกระทั่งคนขายเนื้อแซ่จางเดินไปไกลจึงค่อยนำตะกร้าไผ่สานใบใหญ่มาเปิดดู นำผ้าสีดำที่คลุมอยู่้าออก เดิมทีทุกคนต่างคิดว่าเป็เนื้อหมูหนึ่งตะกร้า ผู้ใดจะทราบว่าเป็เครื่องในหมูที่มีกลิ่นเหม็นและขาหมูสองขาที่เต็มไปด้วยขน
เครื่องในหมูประกอบด้วยไส้ หัวใจ ตับ ซี่โครง ราคาถูกมาก หนึ่งตะกร้าเพิ่งจะยี่สิบกว่าชั่ง ทั้งหมดเป็เงินไม่กี่อีแปะ
ขาหมูสองขาหนักประมาณสี่ชั่ง อย่างมากก็หนึ่งอีแปะ เป็ของที่ขายพ่วงไปตอนขายเนื้อ
ฤดูร้อนอากาศยิ่งร้อน เครื่องในหมูมีกลิ่นคาว หากจัดการไม่ดีย่อมเป็ตัวเรียกพวกแมลงวัน ทั้งยังขายไม่ออกอีกด้วย
หวี่ๆๆ แมลงวันได้กลิ่นเครื่องในหมูพลันบินเข้ามา หนุ่มน้อยทั้งสี่แห่งบ้านหลี่รีบโบกมือไล่ปัดแมลงวันเป็การใหญ่
จ้าวซื่อเห็นบุตรีสุดที่รักมีสีหน้าผิดหวังจึงรีบกล่าวไปว่า “ยังดีที่เป็เนื้อ”
หลี่อิงฮว๋ารีบกล่าวเสริม “เมื่อปีก่อนมีหมอพเนจรมาในหมู่บ้าน ตรวจโรคออกเทียบยาให้ครอบครัวข่ง ท่านย่าข่งให้ผักปวยเล้งไปกำหนึ่งขอรับ”
.......................................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] รักษาม้าตายประหนึ่งม้าเป็ เป็สำนวนจีน มีความหมายว่า ทั้งๆ ที่รู้ว่าทำไม่ได้ก็ยังลองทำด้วยความหวัง