รถม้าเคลื่อนมาถึงหน้าประตูจวนอ๋องอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เองม่อหลิงหานถึงได้ปล่อยเยว่เฟิงเกอ
ทันทีที่ได้รับอิสระ เยว่เฟิงเกอก็รีบร้อนลงจากรถม้า นางปิดปากขณะวิ่งเข้าจวนอ๋องมุ่งหน้าไปยังเรือนเยว่เหยา
น่าอับอายยิ่งนัก ระหว่างที่อยู่ในรถม้าเมื่อครู่นี้ม่อหลิงหานไม่เพียงจุมพิตนาง แต่ยังสอดมือเข้ามาในชุดนางอีกด้วย
ท่าทางเมื่อครู่ของม่อหลิงหานราวกับหมาป่าตัวโต ส่วนตัวนางไม่ต่างกับหนูน้อยหมวกแดง
ชิงจื่อะโลงจากรถม้า ตอนนี้ไม่เพียงใบหน้านางที่แดงก่ำ แต่สีแดงๆ นั้นเกือบจะลามไปถึงเท้าแล้ว
ฉากในรถม้าเมื่อครู่นี้เป็นางที่ไม่ทันระวังจึงเห็นเข้าพอดี ซึ่งตัวนางไม่เคยเห็นอะไรที่น่าเขินอายเช่นนี้มาก่อน เป็นานกว่าจะดึงสติกลับมาได้ สุดท้ายเพราะได้รับสายตาแหลมคมราวใบมีดของม่อหลิงหานสาดมา นางใมากจึงหันออกไปมองนอกหน้าต่าง ไม่กล้ามองอีก
เฉียวเฟยเห็นว่าชิงจื่อหน้าแดงแจ๋ อีกทั้งเมื่อครู่พระชายาก็ยังวิ่งปิดปากหายเข้าไปในจวนอ๋อง เขาก็พอจะเดาได้คร่าวๆ แล้ว
ม่อหลิงหานค่อยๆ ลงจากรถม้าแล้วเดินเข้าไปในจวน
ไม่นานนักข่าวที่ว่าจั้นอ๋องมีรสนิยมตัดแขนเสื้อก็ลือไปทั่วทั้งเมืองหลวง
แน่นอนว่าเื่นี้ยังลือไปถึงในวังอีกด้วย เมื่อฮ่องเต้ได้ยินข่าว ก็เรียกม่อหลิงหานเข้าวังทันที
หลังจากได้ทราบว่าที่จริงแล้วคนในอ้อมแขนของม่อหลิงหานตอนนั้นก็คือพระชายาของเขาเอง ใบหน้าของฮ่องเต้ถึงได้มีรอยยิ้มปรากฏขึ้น
“วันหน้าคิดจะทำอะไร จั้นอ๋องก็ควรสำรวมให้มากหน่อย มิฉะนั้นหากคนแคว้นอื่นรู้เข้า จะส่งผลต่อประโยชน์ในการรวบรวมสามแคว้นของเป่ยชวนเรา” แม้ปากฮ่องเต้จะกล่าวตำหนิม่อหลิงหาน แต่บนใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้ม
เมื่อเห็นว่าม่อหลิงหานพยักหน้ารับ ฮ่องเต้ก็กล่าวต่อไปว่า “วันหลังก็ให้พระชายาเ้าเข้าวังมาด้วยสิ เจิ้นอยากฟังความเห็นนางเกี่ยวกับวิธีการผนวกรวมกับแคว้นอื่น”
“พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ ลูกจะนำความนี้ไปบอกนางพ่ะย่ะค่ะ” ม่อหลิงหานตอบรับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เมื่อม่อหลิงหานกลับมาที่จวนอ๋องก็ไปยังเรือนเยว่เหยาด้วยอยากรู้ว่าเยว่เฟิงเกอกำลังทำอะไรอยู่
ตอนที่เขาเดินเข้าไปในสวนของเรือนเยว่เหยาก็เห็นว่าเยว่เฟิงเกอกำลังนั่งหันหลังให้เขาอยู่ตรงโต๊ะหิน ไม่รู้ก้มหน้าก้มตาทำอะไรอยู่
ท่าทางดูจดจ่อแน่วแน่มาก ไม่รู้ตัวกระทั่งตอนที่เขาเข้ามา
“กำลังทำอะไรอยู่หรือ? ” ม่อหลิงหานเดินมาถึงเื้ัเยว่เฟิงเกอ ถามด้วยความสงสัย
เมื่อครู่เยว่เฟิงเกอจดจ่อกับของที่อยู่ในมือเกินไป ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของม่อหลิงหานเลย จู่ๆ พอมาได้ยินเสียงของเขา นางถึงได้ใมาก
นางรีบเก็บของในมือ หันไปหัวเราะอย่างขัดเขิน “ท่านอ๋องมาแล้วหรือเพคะ”
“เ้ากำลังทำอะไร ในมือเ้าถืออะไรอยู่? ” ม่อหลิงหานเห็นว่าเยว่เฟิงเกอรีบร้อนเก็บของในมือ เขาก็ยิ่งสงสัยมากขึ้น
เยว่เฟิงเกอยัดของในมือเข้าในแขนเสื้อ โบกมือให้ม่อหลิงหาน “ไม่มีอะไรนี่ ท่านดูสิ ในมือข้าไม่มีอะไรเลย”
เยว่เฟิงเกอไม่มีทีท่าจะบอกเขาง่ายๆ ม่อหลิงหานก็ไม่คิดถามมากอีก เขานั่งลงบนเก้าอี้หินแล้วบอกเื่ที่ฮ่องเต้้าพบนางให้นางทราบ
เยว่เฟิงเกอคิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้ยังอยากฟังความคิดเห็นของนางเกี่ยวกับการรวบรวมแคว้นอื่นๆ ให้เป็หนึ่งอีก นางจึงดีใจยิ่ง เห็นได้ชัดว่าความคิดเห็นของนางมีประโยชน์มากในสายตาฮ่องเต้
“เช่นนั้นข้าจะเข้าวังวันพรุ่งนี้เลยก็แล้วกัน” เยว่เฟิงเกอตอบรับอย่างอารมณ์ดี
ม่อหลิงหานเห็นว่าเยว่เฟิงเกออารมณ์ดียิ่งนัก เขาก็อดยกมือขึ้นหยิกแก้มนางไม่ได้
เยว่เฟิงเกอยิ้มโง่งมตอบเขา
สุดท้ายม่อหลิงหานก็ไม่ได้ถามอีกว่าของในมือเยว่เฟิงเกอคืออะไร รอจนเขาจากไปแล้ว นางถึงได้หยิบหน้ากากหนังมนุษย์สองใบออกมา
หน้ากากหนังมนุษย์นี้ นางซื้อมาจากเถาเป่าในราคาห้าสิบมูลค่าการซื้อ
หากไม่ใช่เพราะ่นี้ม่อหลิงหานมาหาบ่อยๆ ซ้ำยังกอดยังหอมนางอีกด้วย นางก็คงไม่อาจได้รับมูลค่าการซื้อที่มากเพียงนั้นมาได้
ก่อนหน้านี้ที่เยว่เฟิงเกอประมือกับซ่างกวานม่อิก็ได้ทำลายหน้ากากหนังมนุษย์ไปสองใบ
นางคิดว่า วันหน้าหากนางออกไปเที่ยวเล่นนอกจวนอ๋องอีก ก็ควรต้องทำหน้ากากหนังมนุษย์ขึ้นมาบ้าง เช่นนี้จะได้ออกไปเที่ยวเล่นในฐานะของผู้อื่นได้แล้ว
เช่นนี้คนด้านนอกก็คงจำนางไม่ได้ และตอนที่นางปลอมเป็ชายก็จะได้ไม่มีใครมาว่านางว่าเป็ชายตัดแขนเสื้อของม่อหลิงหานอีก
ครั้งก่อนที่ม่อหลิงหานโอบนางในอ้อมแขนเดินอาดๆ อยู่บนถนนกลางตลาด ทำเอาผู้คนลือกันไปทั่วทั้งเมืองหลวง ไม่ว่าจะตรอกไหนซอยใด ชายหรือหญิงก็ล้วนรู้กันทั่ว
เยว่เฟิงเกอไม่กล้าออกจากจวนถึงหนึ่งเดือนเต็มๆ
นางขายหน้าเกินจะรับไหว
และตลอดหนึ่งเดือนที่อยู่แต่ในจวนอ๋องนี้ นางก็ว่างจนทนจะไม่ไหว
วันนี้ในที่สุดนางก็มีมูลค่าการซื้อที่มากพอให้ซื้อหน้ากากหนังมนุษย์ได้สองใบ
นางถือหน้ากากหนังมนุษย์นั้นไว้แล้วเดินเข้าไปในห้องตน นั่งลงหน้ากระจกแล้วทาบลงไปบนหน้า
เพียงไม่นานเยว่เฟิงเกอก็เปลี่ยนไปเป็คนละคน
ดวงตาดอกท้อน่ามองคู่นั้นดึงดูดิญญาคน ถัดมาเป็จมูกโด่งคมสัน และริมฝีปากบางที่ทำให้คนลุ่มหลง
หลังจากสวมอาภรณ์บุรุษเสร็จ เยว่เฟิงเกอก็กลายเป็ชายทรงเสน่ห์
คืนนี้ดึกแล้ว เยว่เฟิงเกอไม่รับอาหารเย็น เมื่อแอบซ่อนหน้ากากอีกใบไว้อย่างดีแล้วก็หยิบถุงเงินแอบออกไปจากจวนอ๋องอย่างเงียบเชียบ
วันนี้นางจะไปเที่ยวหอชมบุปผา สถานที่ที่นางยังไม่เคยไปมาก่อน
หลิ่วซานเหนียงคนนั้นก็เป็คนของหอชมบุปผา หลังจากถูกถานอี้และเฉียวเฟยตีตายก็ไม่มีใครมาเก็บเงินที่จวนอ๋อง
เพียงเท่านี้ก็รู้แล้ว สำหรับหอชมบุปผาแห่งนั้น หลิ่วซานเหนียงเป็คนที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ ทั้งยังไม่มีราคา เพราะหากตัวเด่นของหอชมบุปผาถูกตีตายเช่นนี้บ้าง ท่านแม่ของที่นั่นย่อมต้องมาขอคำอธิบายถึงจวนอ๋องแน่
เมื่อเยว่เฟิงเกอเดินออกไปนอกจวนก็คลี่พัดในมือแล้วเดินอาดๆ ออกไป
ตอนนี้นางแปลงกายเป็ชายอีกคนแล้ว จึงไม่กลัวว่าจะมีใครจำได้ว่านางคือพระชายา ทีนี้ก็สามารถไปเที่ยวหอชมบุปผาได้อย่างสบายใจ
เพียงไม่นานเยว่เฟิงเกอก็มาถึงหน้าหอชมบุปผา นางเงยหน้าขึ้นมอง
สถานที่แห่งนี้มีด้วยกันสามชั้น ทุกชั้นต่างติดโคมไฟไว้สว่างไสว ทั้งยังมีเสียงสำเริงสำราญของชายมากมายดังลอดออกมาเป็ระยะ มุมปากเยว่เฟิงเกอก็ให้โค้งขึ้นตามไปด้วย
นางเดินก้าวเข้าไปด้านใน ก่อนจะถูกสตรีอายุสี่สิบกว่าคนหนึ่งจับแขนไว้
“คุณชายท่านนี้ ท่านดูไม่คุ้นหน้าเลยเกรงว่าจะเพิ่งเคยมา ที่หอชมบุปผานี้ไม่ว่าจะสตรีเช่นใดก็ล้วนมีทั้งสิ้น คุณชายอยากจะให้ใครมาปรนนิบัติดีเ้าคะ? ” ใบหน้าของหญิงที่พูดอยู่นี้ลงเครื่องสำอางหนาหนัก คนกอดแขนพาเยว่เฟิงเกอเข้าไปด้านในด้วยท่าทีกระตือรือร้นยิ่ง
เยว่เฟิงเกอกดเสียงต่ำ “อันดับหนึ่งของพวกเ้าคือใคร ข้า้าอันดับหนึ่งของหอนี้มาปรนนิบัติ”
เมื่อได้ยินเยว่เฟิงเกอบอกว่า้าอันดับหนึ่งของหอมาปรนนิบัติหญิงคนนั้นก็มีสีหน้าลำบากใจ
“คุณชายท่านนี้ วันนี้ช่างบังเอิญนักเ้าค่ะ อันดับหนึ่งของหอข้ากำลังรับใช้คุณชายกระเป๋าหนักอีกท่านหนึ่งอยู่ เกรงว่าคืนนี้คงมารับใช้ท่านไม่ได้แล้ว ถ้าอย่างไรเปลี่ยนเป็คนอื่นดีหรือไม่เ้าคะ? ”
เยว่เฟิงเกอไม่ได้คิดว่าต้องได้ตัวหญิงอันดับหนึ่งของหอมาคอยสร้างความสำราญให้เท่านั้น อย่างไรเสีย นางก็เป็สตรีเช่นกัน ไม่ว่าอันดับหนึ่งของที่นี่จะงดงามสักเพียงไร นางก็ไม่สนใจ
เมื่อครู่ที่นางบอกว่าอยากได้อันดับหนึ่งมารับใช้ก็แค่พูดไปอย่างนั้น
เยว่เฟิงเกอให้ท่านแม่ของหอชมบุปผาหาสาวงามที่ร้องเพลงได้มาให้นาง จะอย่างไรนางก็ไม่คิดััใกล้ชิดทางกายกับอีกฝ่าย วันนี้ที่มาเพียงตั้งใจจะมาฟังเพลง เที่ยวเล่นให้สนุกเพียงครู่แล้วกลับจวน
ตอนที่เยว่เฟิงเกอกำลังจะพูดอะไรนั้นก็เห็นคนผู้หนึ่งเดินมาตรงหน้านาง ในอ้อมแขนของคนผู้นั้นยังโอบหญิงงามเอาไว้ด้วย...
เยว่เฟิงเกอคิดไม่ถึงว่า กงซุนหนานเสียนที่เคยออกมาจากทางลับในหอแปดทิศคนนั้นจะมาเที่ยวหอชมบุปผาด้วย นางจำได้ว่าม่อหลิงหานเคยบอกว่า เนื่องจากกงซุนหนานเสียนผู้นี้เคยกล่าววาจาล่วงเกินรัชทายาท จึงถูกขังไว้ในเรือนจิ้งจู๋ที่อยู่ในวัง ด้านนอกมีองครักษ์เฝ้าอยู่
หากเขาอยากจะเข้าออกจากเรือนจิ้งจู๋จำต้องได้รับความเห็นชอบจากองค์รัชทายาท
เดิมทีม่อหลิงหานยังคิดจะขอร้องแทนเขา แต่เขากลับปฏิเสธ
มิคาดกงซุนหนานเสียนผู้นี้จะวิ่งโร่ออกจากวังมาเที่ยวหอชมบุปผาได้