ตอนที่ 133 อวิ๋นเจวียนเอ๋อร์มาเยือน
เสียงะโดังลั่นนี้ช่างฟังดูไม่คุ้นหูเอาเสียเลย เสียงก็ดังจนอวิ๋นเจียวที่ตรากตรำมาค่อนคืนและเพิ่งหลับไปได้ไม่นานสะดุ้งตื่น ทั้งฟางซื่อและอวิ๋นโส่วจงต่างก็ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ พวกเขาเหนื่อยมาทั้งคืน เพิ่งจะได้พักผ่อน
“ท่านลุงรอง นั่นคืออาหญิงขอรับ”
ในใจของฉี่ชิ่งและฉี่เสียงพี่สาวแท้ๆ ของพวกเขาคืออวิ๋นฮวาเอ๋อร์ที่ถูกเถาซื่อแอบขายไปต่างหาก
ที่น่าเศร้าใจยิ่งกว่าคือที่บ้านหลังเก่าไม่มีใครจำอวิ๋นฮวาเอ๋อร์ได้เลยแม้แต่น้อย ทั้งเถาซื่อและผู้เฒ่าอวิ๋นต่างก็พร่ำบอกให้พวกเขาเรียกอวิ๋นเจวียนเอ๋อร์ว่าพี่หญิงใหญ่ ฉี่ชิ่งและฉี่เสียงไม่ยอมเรียกอยู่หลายครั้ง จึงถูกเถาซื่อลงโทษไปไม่น้อย
ฉี่เสียงวิ่งไปที่ประตู สีหน้าไม่สบอารมณ์ขณะเอ่ยปากเตือน “ท่านอา เบาเสียงหน่อยเถิด เจียวเอ๋อร์กำลังหลับอยู่ขอรับ”
อวิ๋นเจวียนเอ๋อร์มีใบหน้าละม้ายคล้ายเถาซื่อ ทั้งดวงตารูปสามเหลี่ยม สันจมูกแบนราบ ผิวพรรณคล้ำ ส่วนอวิ๋นเหมยเอ๋อร์นั้นค่อนข้างคล้ายผู้เฒ่าอวิ๋น ผิวพรรณค่อนข้างขาวกว่า สันจมูกก็โด่งกว่า
“แหม่ สายจนตะวันโด่งแล้ว ยังไม่ตื่นอีกหรือ ช่างเป็คุณหนูเสียจริง!” อวิ๋นเจวียนเอ๋อร์พูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
ที่หน้าประตูบ้านมีคนเฝ้าอยู่ นางบอกว่าเป็น้องสาวของอวิ๋นโส่วจงแต่ชายฉกรรจ์ที่เฝ้าประตูก็ไม่ยอมให้นางเข้าไป
“ไอ้หมาเฝ้าประตู!” อวิ๋นเจวียนเอ๋อร์สบถเสียงต่ำ
อวิ๋นฉี่เสียงได้ยินใบหน้าก็บูดบึ้งขึ้นมาทันที คนที่เฝ้าประตูคือผู้คุ้มกันที่อวิ๋นโส่วจงเชิญมาจากสำนักคุ้มกัน ไม่ใช่บ่าวไพร่ของตระกูลอวิ๋นเสียหน่อย
“ท่านอาพูดอะไร?”
จากนั้นเขาก็รีบหันไปขอโทษผู้คุ้มกัน “ขออภัยท่านลุงอย่าถือสาคำพูดของนางเลย”
ผู้คุ้มกันโบกมือ ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไร เพียงแต่พูดด้วยรอยยิ้มเ็า “เ้าหนู จำเอาไว้ หากหมามันเห่าเ้า เ้าจะไม่สนใจมัน หรือจะสั่งสอนมันจนร้องเห่าไม่ได้อีกก็ย่อมได้”
อวิ๋นเจวียนเอ๋อร์ได้ยินดังนั้นก็โกรธจนตัวสั่น นางชี้นิ้วไปที่ผู้คุ้มกันหมายจะด่าทอ เจียงต้าไห่สามีของนางจึงรีบดึงรั้งนางไว้ พร้อมกับเอามือปิดปากนาง “เจวียนเอ๋อร์! เ้าลืมไปแล้วหรือว่าเรามาที่นี่ทำไม?”
อวิ๋นเจวียนเอ๋อร์จึงได้สติ นางจ้องมองผู้คุ้มกันด้วยสายตาไม่เป็มิตร ก่อนจะก้าวเท้าหมายจะเข้าไปในบ้าน แต่ผู้คุ้มกันก็ยังคงขวางพวกเขาทั้งสองเอาไว้
“ใครส่งเสียงโวยวายอยู่หน้าบ้าน ไล่ออกไปให้พ้น!” ขณะนั้นอวิ๋นโส่วจงก็เดินออกมาจากในบ้านด้วยสีหน้าบึ้งตึง
อวิ๋นเจวียนเอ๋อร์และสามีรีบเปลี่ยนสีหน้าเป็ยิ้มแย้ม “พี่รอง ข้าอวิ๋นเจวียนเอ๋อร์ นี่เจียงต้าไห่สามีของข้า พี่น้องร่วมสายเืได้พบหน้ากัน ข้าจำท่านได้ั้แ่แรกเห็นแล้ว”
เจียงต้าไห่ยิ้มแหยๆ ก่อนจะยื่นขนมสองกล่องในมือให้อวิ๋นโส่วจง “พี่รองพวกท่านเดินทางไกลจากเมืองหลวง พวกข้ายังไม่มีโอกาสได้มาเยี่ยมเยียน ่นี้กิจการค้าขายรุ่งเรืองมาก จึงไม่มีเวลาว่างเลย”
“นี่ก็เพราะโส่วหลี่สอบได้เป็ถงเซิง ครอบครัวของพวกเราจึงได้มีโอกาสกลับมาสักครั้ง คิดจะมาเยี่ยมเยือนท่าน แต่พอเหมาะเจาะที่ท่านไม่อยู่ ของพวกนี้น้อยนัก อย่าได้รังเกียจเลย เป็น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากพวกข้า ให้หลานๆ ได้ลองชิม”
อวิ๋นโส่วจงพูดด้วยน้ำเสียงเ็า “ข้าไม่รู้ว่ามีญาติอย่างพวกเ้า ไล่ออกไป!”
บุตรชายของเขาเกือบเอาชีวิตไม่รอด ส่วนบุตรสาวของเขาก็ต้องเหนื่อยมาทั้งคืนเพื่อช่วยชีวิตพี่ชาย ตอนนี้คนที่เป็ต้นเหตุกลับยืนอยู่ตรงหน้าเขาเช่นนี้ โทสะของเขากำลังมองหาที่ระบายพอดี
“ขอรับ นายท่าน!” พอได้รับคำสั่งจากอวิ๋นโส่วจง ผู้คุ้มกันก็คว้าคอเสื้อของเจียงต้าไห่แล้วเหวี่ยงออกไป เจียงต้าไห่ล้มคะมำไปอย่างไม่เป็ท่าพลางร้องโอดโอย กล่องขนมในมือกระเด็นกระดอน ขนมข้างในกลิ้งกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น
พอเห็นสามีของตนถูกเหวี่ยงออกมาสติสัมปชัญญะอันน้อยนิดที่อวิ๋นเจวียนเอ๋อร์พยายามรักษาไว้ก็หายวับไปในทันที “โธ่เอ๊ยพี่รอง ท่านช่างใจดำอำมหิตนัก ทำร้ายน้องเขยตัวเองได้ลงคอ! ์ ท่านมองลงมาดูสิ จะฆ่าคนตายอยู่แล้ว!”
ต้องบอกว่า พร์ในการด่าทอของอวิ๋นเจวียนเอ๋อร์นั้น นางช่างเหมือนเถาซื่อไม่มีผิด! น่าเสียดายที่ชื่อเสียงของเถาซื่อในหมู่บ้านไหวซู่นั้นเลวร้ายเกินเยียวยาไปแล้ว
“หากลูกชายข้าถูกฟันบ้าง ข้าไม่มีทางปล่อยมันไปแน่ ต้องฟันกลับให้สาสม”
“ใช่ แค่โยนคนออกมา ถือว่าเมตตาพวกเขาเกินไปแล้ว!”
“คนหน้าไม่อาย ปล่อยให้บุตรชายตัวเองไปฟันบุตรชายบ้านอื่นจนาเ็สาหัส แล้วยังมีหน้ามาโวยวายถึงหน้าบ้านเขาอีก”
“ข้าว่านะ อวิ๋นโส่วจงใจดีเกินไป คนแบบนี้ต้องหักขาเสียให้เข็ด!”
อวิ๋นเจวียนเอ๋อร์ไม่คาดคิดมาก่อนว่าชาวบ้านที่มามุงดูเหตุการณ์จะเข้าข้างอวิ๋นโส่วจง นางไม่รู้จะพูดอะไรจึงได้แต่ร้องไห้โวยวายเสียงดัง
ส่วนเจียงต้าไห่ยังพอมีสติอยู่บ้าง เขารู้ดีว่าตนเองมาที่นี่เพื่ออะไร “ร้องไห้อยู่ได้เลิกร้องเสียที!”
เขาลุกขึ้นยืน เดินโซเซไปหาอวิ๋นโส่วจงอีกสองก้าว แต่พอเห็นสายตาของผู้คุ้มกันที่จ้องมองเขาก็รู้สึกหวาดกลัว ไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้ จึงได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้น ก้มศีรษะเล็กน้อย พูดกับอวิ๋นโส่วจงด้วยรอยยิ้ม “พี่รอง ข้ารู้ว่าเื่นี้เป็ความผิดของต้าเป่า ต้าเป่าน่ะ ตอนที่อยู่ในครรภ์มารดาของมันเกิดพลาดท่าหกล้ม เกิดมาเลยมีสติไม่สมประกอบ”
“ครั้งนี้ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเกิดคลุ้มคลั่งทำร้ายหลานชายได้อย่างไร หลานชายาเ็สาหัสเช่นนั้น ข้าเองก็เสียใจไม่ต่างกัน ท่านวางใจเถิด เดี๋ยวข้าจะพาต้าเป่ามาให้ท่านลงโทษ จะตี จะฆ่า จะสับ ข้าไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น”
พูดจบเขาก็แอบมองสีหน้าของชาวบ้านโดยรอบ คำพูดนี้ของเขา ทำให้สายตาที่ชาวบ้านมองเขามีความเปลี่ยนแปลงไป
“อวิ๋นเจวียนเอ๋อร์นิสัยเหมือนเถาซื่อไม่มีผิด แต่สามีนางดูเป็คนมีเหตุผล”
“ใช่ๆ ต่อให้ลูกชายจะเป็บ้า แต่ก็เป็ลูกชายแท้ๆ ของตนเอง ยอมพาลูกชายมารับโทษเช่นนี้ แสดงว่าในใจก็รู้สึกผิดอยู่บ้าง”
พอได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนรอบข้างค่อยๆ เปลี่ยนไป เจียงต้าไห่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาไม่เชื่อว่าอวิ๋นโส่วจงจะทำร้ายคนบ้า เมื่อมีกำลังใจมากขึ้นหลังก็ตรงขึ้นโดยปริยาย
อวิ๋นโส่วจงเดินออกจากประตูบ้าน ตรงไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเจียงต้าไห่ “บุตรชายของเ้าเป็บ้า อาจคลุ้มคลั่งขึ้นมาได้ เ้าก็ควรดูแลเขาให้ดี ไม่งั้นหากเขาไปทำร้ายผู้อื่นจะทำอย่างไร? ครานี้เป็บุตรชายของข้าที่โชคร้าย ต่อไปหากเป็ชาวบ้านคนอื่นๆ ถูกเขาทำร้ายเล่า?”
“เ้าก็จะทำเช่นนี้ ปัดความรับผิดชอบให้ลูกชายก็จบเื่หรือ? พูดเพียงแค่ว่าจะตีจะฆ่าก็ตามใจ ช่างพูดได้ดีนัก! ภายใต้ฟ้ากว้างและแสงแดดสว่างไสวนี้ ใครเล่าจะกล้าลงมือตีคนฆ่าคนโดยไร้เหตุผล? คิดว่ากฎหมายมีไว้เพื่อประดับบารมีหรืออย่างไร?”
“ข้าไม่มีอะไรจะพูดกับเ้า เื่นี้ข้าจะไปแจ้งความที่ศาลาว่าการอำเภอ ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็การลงโทษ หรือการจำคุก ล้วนมีกฎหมายเป็บรรทัดฐาน! แต่ข้าขอเตือนเ้าไว้คำหนึ่ง บุตรชายของเ้าเป็บ้า เขาทำร้ายผู้อื่น ส่วนเ้าที่เป็พ่อ ก็ต้องโทษฐานปล่อยปละละเลยบุตรชายจนก่อเื่เดือดร้อนเช่นนี้!”
อวิ๋นโส่วจงพูดจบก็ไม่ได้กลับเข้าบ้าน แต่เดินตรงไปยังบ้านของอาจารย์ตั่ง อวิ๋นฉี่ซานฟื้นแล้ว เขาต้องไปรายงานท่านอาจารย์สักหน่อย ไม่อย่างนั้นท่านอาจารย์คงเป็ห่วง
ชาวบ้านที่มุงดูเหตุการณ์ต่างก็ครุ่นคิดตามคำพูดของอวิ๋นโส่วจง ใช่แล้ว ในเมื่อเลี้ยงดูคนบ้า ก็ต้องดูแลให้ดีสิ พาออกมาเดินเพ่นพ่านทำไมกัน?
วันนั้นหลายคนเห็นเหตุการณ์ที่คนบ้าวิ่งไล่ฟันผู้อื่น ฉากนั้นช่างน่ากลัว หากไม่ใช่เพราะอวิ๋นโส่วเย่าคว้าขาของคนบ้าไว้ทันเวลา มีดเล่มนั้นคงฟันเข้าที่ศีรษะของอวิ๋นฉี่ซานเข้าอย่างจังไปแล้ว
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเจียงต้าเป่าที่ตอนนี้ยังคงเดินเพ่นพ่านอยู่ในหมู่บ้านโดยไม่มีใครดูแล คิดแล้วก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบราวกับมีคมมีดจ่ออยู่ที่คอ ไม่ได้การแล้ว พวกเขาต้องไปหาผู้ใหญ่บ้าน ไล่คนบ้าที่อาจคลุ้มคลั่งได้ทุกเมื่อออกจากหมู่บ้านไปเสีย!
เจียงต้าไห่ยืนนิ่งอึ้งกับคำพูดของอวิ๋นโส่วจง พอตั้งสติได้ก็รู้ทันทีว่าแย่แล้ว อวิ๋นโส่วจงผู้นี้ไม่ใช่คนที่จะไปหาเื่ได้ง่ายๆ โดยแท้ คงบีบบังคับเขาไม่ได้แล้ว!